ตอนที่ 89 จดหมายที่ตอบกลับมา

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เฉิงเจียตะโกนเรียกชุ่ยหวนให้ต้มชาเขียวหลงจิ่งแห่งทะเลสาบซีหูมาให้อย่างเอาใจ

 

 

โจวเสาจิ่นหยอกเย้านางว่า “ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าก็มีชาที่ดีขนาดนี้อยู่ด้วย! แล้วเหตุใดตอนที่ข้ามาเมื่อครั้งก่อนเจ้าถึงใช้ชาต้าหงเผามาต้อนรับข้าเล่า ยังพูดอะไรทำนองว่าหากข้าอยากได้ของอะไรของเจ้าก็ให้หยิบเอาไปได้เลยอีก แค่ใบชายังเสียดาย ยังจะกล่าวคำพูดประเภทนี้อีก!”

 

 

ไม่ใช่ว่าชาหลงจิ่งแห่งทะเลสาบซีหูจะดีกว่าชาต้าหงเผา เพียงแต่ว่าชาหลงจิ่งแห่งทะเลสาบซีหูจะดื่มในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ส่วนชาต้าหงเผาจะดื่มในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ตอนนี้เข้าฤดูร้อนแล้ว ฉะนั้นชาต้าหงเผาของฤดูใบไม้ร่วงในปีที่แล้วย่อมเทียบไม่ได้กับชาหลงจิ่งแห่งทะเลสาบซีหูของฤดูใบไม้ผลิในปีนี้

 

 

เฉิงเจียหัวเราะพลางกล่าว “ไม่ใช่อย่างนั้นๆ เรื่องพวกนั้นล้วนเป็นเรื่องที่บรรดาป้าแม่บ้านเป็นคนตัดสินใจให้ เจ้าก็รู้ ข้าถูกขังอยู่ที่นี่ ไหนเลยจะมีแก่ใจดื่มชากันเล่า!” เมื่อกล่าวถึงท้ายประโยค ในน้ำเสียงมีความขมขื่นแฝงอยู่ด้วยหลายส่วน

 

 

โจวเสาจิ่นไม่เชื่อ

 

 

“เจ้าเคลือบแคลงในตัวข้าได้อย่างไรกัน” เฉิงเจียแสร้งทำทีเป็นโกรธและพุ่งตัวเข้าใส่

 

 

โจวเสาจิ่นลุกขึ้นและวิ่งหนีไป

 

 

ทั้งสองคนเล่นซนและหัวเราะกันอย่างสนุกสนานอยู่ครู่หนึ่ง

 

 

เฉิงเจียถามโจวเสาจิ่นถึงเหตุการณ์ที่ไปเป็นแขกที่จวนตระกูลกู้ขึ้นมา

 

 

โจวเสาจิ่นทราบดีว่านางรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก จึงเล่าเรื่องที่ไปตระกูลกู้ให้นางฟังอย่างละเอียด

 

 

เฉิงเจียตั้งใจฟังอย่างกระตือรือร้น ประเดี๋ยวก็กล่าวว่า ตามที่เจ้ากล่าวมา แสดงว่าอู๋เป่าจางผู้นั้นก็ถูกพวกคุณหนูซุนปฏิเสธแล้วสิ ประเดี๋ยวก็กล่าวว่า สรุปแล้วตระกูลกู้มีคุณหนูกี่คนกันแน่ คุณหนูสิบเจ็ดผู้นั้นดีจริงๆ อย่างที่เจ้าว่ามาขนาดนั้นเลยหรือ…กระทั่งเล่าถึงตอนที่นายหญิงผู้เฒ่าเรียกพวกนางไปเล่นไพ่ด้วย เฉิงเจียก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา พลางกล่าว “จะว่าไปแล้วการเล่นไพ่ไม่เก่งมากก็มีข้อดีของมัน นายหญิงผู้เฒ่าย่อมจำพี่ชูจิ่นได้แม่นยำ ไม่แน่ว่าวันไหนที่นึกขึ้นมาได้ อาจจะส่งเทียบเชิญมาเชิญพี่ชูจิ่นไปเล่นไพ่ด้วยเป็นการเฉพาะเลยก็เป็นได้”

 

 

หากเป็นเช่นนั้นได้ก็ดี

 

 

ตระกูลกู้เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในหมู่ตระกูลบัณฑิตของทางตอนใต้ ส่วนตระกูลเลี่ยวก็เป็นหนึ่งในตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดต่อกันมาเช่นเดียวกัน การที่พี่สาวสนิทสนมกับคนจากตระกูลกู้เช่นนี้ ล้วนมีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสีย

 

 

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้เล่าเรื่องการสมรสหลังความตายให้เฉิงเจียฟัง แต่ใช้โอกาสนี้สอบถามถึงเรื่องของเฉิงฉือขึ้นมา “…จากที่นายหญิงผู้เฒ่ากล่าวมา แสดงว่าท่านน้าฉือไปเยี่ยมเยียนนางอยู่บ่อยๆ…เจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับท่านน้าฉือหรือไม่”

 

 

“ไม่รู้หรอก” เฉิงเจียงไม่ได้ใส่ใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเพียงแต่ได้ยินท่านพ่อของข้ากล่าวว่าท่านอาฉือนั้นมีความสามารถมาก ทำการค้าเก่งยิ่งนัก ยังมีเรือขนาดใหญ่ที่ล่องขึ้นเหนือลงใต้อีกด้วย ยาชั้นดีที่ร้านของพวกข้าได้รับมานั้น ล้วนส่งกลับมากับเรือของท่านอาฉือทั้งนั้น” ขณะที่นางพูด ก็หันไปขยิบตาให้โจวเสาจิ่น และกล่าวว่า “เนื่องจากจวนหลักนั้นร่ำรวยมาก ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ่งแล้วใหญ่มีเงินมากมาย เจ้าตั้งใจช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวคัดพระธรรมให้ดี นางย่อมไม่ปฏิบัติกับเจ้าอย่างอยุติธรรมแน่นอน”

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

 

 

เฉิงเจียกวักมือเรียกป้าแม่บ้านเข้ามา ยื่นเทียบเชิญส่งให้กับป้าแม่บ้านผู้นั้น กล่าวว่า “เจ้ารีบเอาไปให้ท่านแม่ของข้าดู ถามท่านแม่ของข้าด้วยว่า จะให้ข้าไปหรือไม่”

 

 

จวนสามนั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็นิยมชมชอบผู้มีอำนาจมาโดยตลอด

 

 

โจวเสาจิ่นมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเจียงซื่อต้องอนุญาตให้เฉิงเจียไปเป็นแขกที่จวนเหลียงกั๋วกงอย่างแน่นอน และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดนางถึงขอเทียบเชิญจากอาจู

 

 

ป้าแม่บ้านจากไปอย่างรวดเร็ว

 

 

โจวเสาจิ่นไม่อยากพบเจียงซื่อ นางจึงลุกขึ้นกล่าวอำลา

 

 

เฉิงเจียกลับดึงนางเอาไว้ พลางกล่าว “เทียบเชิญนี้เป็นเจ้าที่ช่วยจัดหามาให้ข้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอยู่พบท่านแม่ของข้าก่อนแล้วค่อยไปเถิด”

 

 

ในความคิดของนางแล้ว ที่ผ่านมามารดาค่อนข้างให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและลาภยศ การที่โจวเสาจิ่นสามารถช่วยนางให้ได้รับเทียบเชิญจากจวนเหลียงกั๋วกงได้ใบหนึ่งนั้น สำหรับมารดาแล้ว ถือเป็นเรื่องที่มีเกียรติและน่ายินดียิ่งนัก จึงควรจะต้องกล่าวคำขอบคุณต่อโจวเสาจิ่น แต่จากมุมมองของโจวเสาจิ่นแล้ว เจียงซื่อผู้นี้ไม่เพียงเห็นแก่หน้าตา ยังชื่นชอบการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น อีกทั้งยังใจแข็งกระด้างยิ่งนัก ตอนที่ยังไม่มีความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ก็ดีกับเฉิงเจียเป็นอย่างมาก แต่พอมีความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์กลับไม่ใจอ่อนเลยแม้แต่นิดเดียว นางไม่ชอบคนประเภทนี้ อยู่ให้ห่างเข้าไว้จะดีกว่า

 

 

“ใครจะรู้ว่าท่านป้าใหญ่หลูจะว่าอย่างไรบ้าง” นางกล่าวเย้าแหย่ไปว่า “ข้าไม่อยากรั้งอยู่ที่นี่เพื่อดูพวกเจ้าแม่ลูกทะเลาะกันจริงๆ ถึงเวลานั้นข้าต้องช่วยเจ้าหรือช่วยท่านป้าใหญ่หลูดี? ข้ากลับเรือนหว่านเซียงก่อนดีกว่า รอให้เจ้าตัดสินใจได้แล้วค่อยส่งสาวใช้ไปแจ้งข้าสักหน่อยก็พอ”

 

 

เฉิงเจียรู้สึกว่าที่โจวเสาจิ่นพูดมาก็มีเหตุผล จึงจำต้องปล่อยนางไป

 

 

ทว่าระหว่างทาง นางก็ยังได้พบกับเจียงซื่อที่รายล้อมไปด้วยบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่ง

 

 

“เสาจิ่น!” เจียงซื่อทักทายโจวเสาจิ่นมาตั้งแต่ไกลๆ “ได้ยินมาว่าเจ้าช่วยลูกเจียให้ได้รับเทียบเชิญจากจวนเหลียงกั๋วกงได้ใบหนึ่ง เจ้าช่างมีน้ำใจจริงๆ! ไม่แปลกใจที่ลูกเจียของข้ามักจะพูดอยู่เสมอว่าเจ้าคือน้องสาวที่ดีของนาง มีเรื่องอะไรดีๆ ก็ไม่ลืมนาง” รอจนนางเดินเข้ามาใกล้ ก็จับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มากยิ่งขึ้น “ไม่รู้ว่าที่จวนเหลียงกั๋วกงมีกฎระเบียบอะไรบ้าง พวกข้าต้องเตรียมของอะไรให้นางบ้าง ถึงเวลาจะได้ไม่ทำให้ซอยจิ่วหรูต้องขายหน้า” ยังกล่าวอีกว่า “เสาจิ่น สองสามวันก่อนป้าได้รับปิ่นปักผมหยกมาหลายคู่ ฝีมือการสลักและคุณภาพของหยกก็ถือว่าใช้ได้ ประเดี๋ยวข้าจะให้สาวใช้นำไปส่ง ให้เจ้ากับพี่สาวของเจ้าเอาไว้ประดับเล่น”

 

 

โจวเสาจิ่นประหลาดใจเล็กน้อย

 

 

ชาติก่อน นางดีกับเฉิงเจียขนาดนั้น ทำเรื่องต่างๆ มากมายให้เฉิงเจีย เจียงซื่อกลับไม่เคยกล่าวขอบคุณนางเลยสักประโยค หรือมอบเข็มและด้ายให้นางเลยสักเล่ม

 

 

นางพลันเข้าใจเหตุผลที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่ค่อยชอบสมาคมกับจวนสามเท่าไหร่นัก กล่าวคือ ในสายตาของจวนสามนั้น มีแต่เรื่องผลประโยชน์ ไม่มีเรื่องความรักหรือความรู้สึก ต่อให้มีความรัก ก็เป็นความรักที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขของผลประโยชน์ ความรู้สึกที่มีต่อผู้คนนั้นช่างใจจืดใจดำเกินไปแล้ว

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตนกับเจียงซื่อนั้นไร้ประโยชน์ที่จะสนทนาให้มากความ จึงกล่าวขอบคุณนางยิ้มๆ ว่า “เสื้อผ้าและเครื่องประดับของข้ากับพี่สาวล้วนเป็นท่านป้าใหญ่ของข้าเป็นผู้ช่วยจัดเตรียมให้ ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่ามีกฎระเบียบอะไรบ้างเจ้าค่ะ”

 

 

ให้ท่านป้าใหญ่กับนางไปคุยกันเอาเองก็แล้วกัน นางยอมรับว่าไม่มีทักษะทางด้านนี้

 

 

“เป็นเช่นนี้!” เจียงซื่อกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นอีกสักประเดี๋ยวข้าจะไปสอบถามป้าใหญ่ของเจ้าก็แล้วกัน”

 

 

โจวเสาจิ่นจึงแยกย้ายกับเจียงซื่อ

 

 

เมื่อกลับถึงเรือนหว่านเซียง พี่สาวยังไม่กลับมา กลับเป็นภรรยาของหม่าฟู่ซานที่นำจดหมายที่บิดาเขียนให้นางกับพี่สาวมาส่งให้นาง

 

 

จดหมายที่ส่งไปช่วงกลางเดือนหก กลางเดือนเจ็ดถึงได้รับตอบกลับมา

 

 

ใช้เวลาไปและกลับเกือบหนึ่งเดือน

 

 

ในยามปกติที่พี่สาวเขียนจดหมายให้บิดานั้น อย่างมากที่สุดก็ใช้เวลาประมาณครึ่งเดือนก็ได้รับข่าวคราวกลับมาแล้ว

 

 

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะบิดารู้สึกว่ายากที่เขาจะตอบจดหมายฉบับนี้

 

 

โจวเสาจิ่นลูบซองจดหมายเบาๆ ครู่ใหญ่กว่าจะใช้กรรไกรตัดซองจดหมายให้เปิดออก

 

 

บิดาตอบนางเกี่ยวกับสีและประเภทของเสื้อผ้าที่เขาชอบสวมใส่มาเพียงสั้นๆ แต่กลับใช้ความยาวถึงสองในสามส่วนของจดหมายกล่าวถึงเรื่องบ้านเก่าของตระกูลจวงที่ถนนกวนเจีย

 

 

เขาไม่ได้เอ่ยถึงข้อพิพาทระหว่างตระกูลจวงและตระกูลเฉิงทั้งสองครอบครัว เพียงบอกโจวเสาจิ่นว่า สมบัติของตระกูลจวงส่วนไหนบ้างที่ตกไปเป็นของท่านลุงตระกูลจวง และส่วนไหนบ้างที่ยกให้จวงซื่อ ซึ่งเป็นการตัดสินใจของนายท่านผู้เฒ่าจวงผู้เป็นท่านตาของนาง ถึงแม้ว่านายท่านผู้เฒ่าจวงจะเป็นเพียงซิ่วไฉผู้หนึ่งเท่านั้น แต่ก็ได้เดินทางขึ้นเหลือล่องใต้ มีความรู้และความคิดที่เปิดกว้าง การที่เขาทำเช่นนี้ก็ย่อมมีเหตุผลของเขา เป็นบุตรหลาน จึงไม่ควรไปสงสัยการตัดสินใจของนายท่านผู้เฒ่าจวง ฉะนั้นไม่ว่าสุดท้ายแล้วท่านลุงตระกูลจวงจะจัดการกับบ้านหลังนี้อย่างไร โจวเสาจิ่นล้วนไม่ควรยื่นมือเข้าไปแทรกแซง และไม่ควรคิดอยากจะซื้อบ้านหลังนั้นกลับมาด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ท่านลุงตระกูลจวงเป็นคนที่มีพฤติกรรมมิชอบผู้หนึ่ง นางไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเขาเป็นดีที่สุด หากมีเรื่องอะไร สามารถบอกกับเขาได้โดยตรง และสามารถสอบถามจากเขา คนฉลาดย่อมไม่เชื่อถือในข่าวลือ

 

 

บิดาน่าจะเข้าใจความหมายในสิ่งที่นางกล่าวแล้ว ด้วยเหตุนี้ก็เลยให้นางไม่ต้องสนใจเรื่องบ้านที่ถนนกวนเจีย…

 

 

และก็กล่าวได้ว่า บิดาทราบเรื่องของมารดาเป็นอย่างดี

 

 

มารดาซื่อสัตย์และตรงไปตรงมากับบิดา ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งอก สายตาตกไปอยู่บนซองจดหมายที่บิดาเขียนให้พี่สาวฉบับนั้น

 

 

บิดาจะพูดอะไรกับพี่สาวบ้างนะ?

 

 

โจวเสาจิ่นกระตือรือร้น อยากอ่านจดหมายฉบับนั้นยิ่งนัก

 

 

นางหยิบขึ้นมาและวางลง วางลงแล้วก็หยิบขึ้นมาใหม่ สุดท้ายก็คิดวิธีที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็พอใจขึ้นมาได้วิธีหนึ่ง กล่าวคือ นางจะนำจดหมายที่บิดาเขียนให้นางนั้นเอาไปเก็บเสีย รอให้โจวชูจิ่นกลับมา นางก็จะสามารถอ่านจดหมายที่บิดาเขียนให้พี่สาวพร้อมกับพี่สาวได้

 

 

เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนปกปิดพี่สาวเอาไว้ นางรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก แต่โจวชูจิ่นกลับไม่ได้สงสัยอะไร ยิ้มพลางอ่านจดหมายพร้อมๆ กันไปกับนาง

 

 

ในจดหมาย โจวเจิ้นกลับคิดเห็นต่อเรื่องนี้ด้วยอีกน้ำเสียงหนึ่ง

 

 

เขากำชับโจวชูจิ่นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอย่าปล่อยให้โจวเสาจิ่นออกไปข้างนอกตามอำเภอใจ ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่ต้องซื้อบ้านที่ถนนกวนเจียกลับมา สุดท้ายกล่าวว่า รอให้ถึงช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง งานในราชสำนักหยาเหมินก็จะเบาบางลง เขาจะส่งผู้ช่วยคนหนึ่งของตัวเองกลับมาที่จินหลิง หากมีเรื่องอะไร ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกที

 

 

โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นต่างมองหน้ากันอย่างฉงน

 

 

เป็นเพียงเรื่องบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ติดกับตระกูลเฉิงเท่านั้น บิดาถึงกับต้องส่งผู้ช่วยของตัวเองกลับมาที่จินหลิง

 

 

โจวชูจิ่นไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก โจวเสาจิ่นกลับเข้าใจดี บิดาคงจะเกิดความสงสัยขึ้น จึงอยากส่งคนที่ตัวเองไว้ใจกลับมาดูด้วยตาตัวเองสักหน่อย

 

 

เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน

 

 

บางทีนางอาจจะสามารถตรวจสอบอะไรบางอย่างผ่านผู้ช่วยของบิดาก็เป็นได้ นางเองก็จะได้ไม่ต้องไปหว่านหาอย่างกระจัดกระจายให้ยุ่งยากด้วยตัวเอง

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางเก็บจดหมาย กล่าวปลอบพี่สาวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็มอบให้ท่านพ่อเป็นผู้จัดการก็ดีแล้วเจ้าค่ะ ท่านกับข้าก็จะได้ไม่ต้องกังวลใจ”

 

 

โจวชูจิ่นกล่าวขึ้นอย่างไม่ค่อยพึงพอใจว่า “นี่เป็นเรื่องของพวกเรา จะมอบให้ผู้อื่นจัดการได้อย่างไร เจ้าก็เถอะ ขอเพียงให้ผ่านพ้นไปได้ เรื่องอะไรก็ไม่เคยเป็นกังวลเลย”

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา โดยถามถึงเรื่องของขวัญที่จะมอบให้อาจูขึ้นมา “…คืออะไรหรือเจ้าคะ”

 

 

“เป็นชุดเครื่องเขียนพู่กัน หมึก และกระดาษเหวินเต๋อเก๋อชุดหนึ่ง” โจวชูจิ่นหยิบให้นางดู พลางถอนหายใจกล่าวขึ้นว่า “…เอามาจากห้องหนังสือของท่านลุงใหญ่เหมี่ยน เห็นว่าในเวลานั้นมีขายเพียงหนึ่งร้อยชุดเท่านั้น และแต่ละชุดก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย เดิมทีท่านลุงใหญ่เหมี่ยนตั้งใจจะมอบชุดนี้ให้กับน้องชายเก้าก็เลยเลือกสุภาพบุรุษสามสหายมา ที่นำออกมาให้พวกเรามอบเป็นของขวัญนี้ กล่าวว่าเนื่องจากพวกเราเป็นตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดกันมาช้านาน การมอบของเหล่านี้จึงดีที่สุด”

 

 

“นี่คงไม่ดีนักกระมัง” โจวเสาจิ่นรู้สึกขอบคุณท่านลุงและท่านป้ายิ่งนัก กล่าวขึ้นว่า “นี่ไม่เท่ากับว่าแย่งของของพี่ชายเก้ามาหรือเจ้าคะ”

 

 

“ข้าเองก็บอกไปเช่นนั้น” โจวชูจิ่นกล่าวอย่างไม่มีทางเลือกว่า “แต่ท่านป้าใหญ่กล่าวเอาไว้แล้ว สิ่งของนั้นไร้ชีวิต ส่วนคนยังมีชีวิตอยู่ ในอนาคตให้ข้าค่อยหาของที่ดียิ่งกว่านี้มามอบให้น้องชายเก้าสักชิ้น”

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า “จะหาได้จากที่ใดกันเจ้าคะ หรือไม่เขียนจดหมายให้ท่านพ่อสักฉบับ ให้ท่านพ่อช่วยคิดหาหนทางให้!”

 

 

ใบหน้าของพี่สาวกลับแดงเรื่อขึ้น กล่าวอย่างคลุมเครือว่า “เรื่องนี้เจ้าอย่าใส่ใจเลย ข้ารับปากเอาไว้แล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าเพียงนำของไปมอบเป็นของขวัญก็พอ”

 

 

ทว่าในใจกลับคิดถึงคำพูดกึ่งเย้าแหย่กึ่งจริงจังของท่านป้าใหญ่ วันนี้พวกเรามอบให้ผู้อื่น ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้อาจจะมีคนมอบให้พวกเราบ้างก็ได้ ขอเพียงพวกเจ้าได้แต่งกับสามีที่ดี ชุดเครื่องเขียนพู่กัน หมึก และกระดาษเพียงชุดหนึ่งนับว่าเป็นอะไร ต่อให้เป็นเครื่องทองโบราณมีค่าป้าใหญ่ก็ไม่เสียดาย

 

 

โจวเสาจิ่นกลับคิดว่ายอมไม่ได้จริงๆ จึงคิดหาวิธีซื้อกลับมาจากผู้ที่ครอบครองคนอื่นให้ได้สักชุดหนึ่งแม้ต้องจ่ายในราคาสูงก็ตาม

 

 

สองพี่น้องต่างคนต่างก็มีความคิดของตัวเอง ชั่วขณะหนึ่งต่างก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก จากนั้นจึงเชิญฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมาช่วยพวกนางเลือกเครื่องประดับที่จะใช้สวมใส่ในเทศกาลวันสารทจีน

 

 

กั่วเอ๋อร์ได้รับคำสั่งจากเจียงซื่อให้นำปิ่นปักผมหยกมาส่งให้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “…กล่าวว่าให้คุณหนูใหญ่สองคู่ คุณหนูรองสองคู่เจ้าค่ะ”

 

 

กล่องแกะสลักสีแดง แกะสลักเป็นลายดอกบัวอย่างงดงาม ทำให้คนเพียงแค่มองก็รู้สึกได้ว่าสิ่งของที่อยู่ในกล่องต้องเป็นของที่มีค่าเป็นอย่างมากอย่างแน่นอน

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ และรั้งให้กั่วเอ๋อร์อยู่ดื่มน้ำชาและทานของว่างก่อน

 

 

ทว่ากั่วเอ๋อร์ไม่ยินยอม กล่าวยิ้มๆ ว่า “ทางด้านโน้นฮูหยินใหญ่กำลังช่วยคุณหนูใหญ่เลือกเสื้อผ้าและเครื่องประดับสำหรับสวมใส่ในเทศกาลวันสารทจีน ยังรอให้ข้ากลับไปเปิดห้องเก็บของเจ้าค่ะ!”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่ได้คะยั้นคะยออีก ให้ซือเซียงหยิบถุงเงินที่บรรจุเอาไว้ด้วยลิ่มเงินคู่หนึ่งมอบให้กั่วเอ๋อร์และส่งนางออกประตูไป

 

 

…………………………………………………………………….