บทที่ 78 ทดสอบกันและกัน

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

‘เก้า: เมื่อไม่นานมานี้ข้าฉวยโอกาสตอนที่ผู้นำเต๋าหลับแอบกลับไปทำธุระที่นิกายปฐพี ผลลัพธ์คือถูกซุ่มโจมตี หนีมาจนถึงเมืองหลวงแห่งต้าฟ่งถึงรักษาชีวิตไว้ได้ เพื่อหลบหนีการตามล่า จึงได้มอบกระจกที่ถูกผนึกให้กับ…น้องชายเฉินจิ้นหนาน’

เจ้าไม่ใช่แค่บอกเพศของข้าเท่านั้น แต่ยังแอบบอกอายุด้วย…สวี่ชีอันโมโหนิดหน่อย เดิมทีเขายังสามารถทำตัวเป็นคนไร้เพศหรือไม่ก็ผู้อาวุโสในพรรคฟ้าดินได้อยู่เลย

‘เก้า: จากนั้นก็ได้รับความช่วยเหลือจากน้องชายเฉินจิ้นหนาน สังหารจื่อเหลียนและพ้นเคราะห์ครั้งนี้มาได้’

‘สอง: หมายเลขสาม ท่านอยู่ในหน่วยงานใดหรือ’

นี่เท่ากับเจ้าถามหาที่อยู่ของคนทางอินเทอร์เน็ตเลยนะ ข้าบอกเจ้าไปก็ผีน่ะสิ…แสงแห่งจิตวิญญาณของสวี่ชีอันส่องวาบ เขาเลียนแบบน้ำเสียงของสวี่เอ้อร์หลาง

‘สาม: หน่วยงานหรือ หน่วยงานราชการของเมืองหลวงก็เป็นเพียงพวกกับข้าวในหลุมศพ[1]เท่านั้น’

หมายเลขสามราวกับดูถูกดูแคลนหน่วยงานราชการอย่างนั้นล่ะ น้ำเสียงค่อนข้างเย่อหยิ่งอยู่สักหน่อย ขุมอำนาจฝั่งขุนนางในเมืองหลวงก็มีอยู่ไม่กี่แห่ง อันดับแรกตัดนิกายมนุษย์ไปได้เลย นักบวชจินเหลียนไม่มีทางร่วมมือกับนิกายมนุษย์แน่

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคงไม่บรรยายถึงหน่วยงานราชการเมืองหลวงเช่นนี้ แล้วเป็นสำนักโหราจารย์หรือว่าสำนักศึกษาอวิ๋นลู่กันนะ

น้ำเสียงเช่นนี้ช่างคล้ายกับพวกปัญญาชนลัทธิขงจื๊อที่อ้างตนว่า ‘ความรู้อื่นล้วนด้อยค่า มีเพียงร่ำเรียนตำราที่สูงส่ง’

หมายเลขสองและหมายเลขหกคาดเดาอยู่หน้ากระจกโดยพร้อมเพรียงกัน

‘สอง: หมายเลขหนึ่งก็อยู่ในเมืองหลวง ไม่แน่ว่าพวกเจ้าสองคนอาจรู้จักกัน หมายเลขหนึ่ง ข้ารู้ว่าเจ้าอ่านอยู่หน้ากระจก เจ้าเคยได้ยินเรื่องนี้หรือไม่’

‘หนึ่ง: ที่ร้านกุ้ยเยว่ของเมืองชั้นในมีลูกค้าชาวยุทธ์เสียชีวิต นอกเมืองทางตะวันตกหกสิบลี้ เนินเขาแห่งหนึ่งถูกเจาะทะลวงด้วยวิธีการปริศนา’

หยุดไปพักหนึ่ง หมายเลขหนึ่งก็ส่งข้อความต่อ

‘หนึ่ง: การโจรกรรมในอวิ๋นโจวสงบลงแล้วหรือ’

น่าสนุก!

สวี่ชีอันเลิกหางคิ้ว

เขาได้กลิ่นของสงครามวังหลัง

หมายเลขสองลากหมายเลขหนึ่งลงน้ำ ขณะเดียวกันก็บอกเขาว่า ‘หมายเลขหนึ่งกับเจ้าล้วนอยู่ในเมืองหลวง’

เห็นได้ชัดว่ามุ่งเป้าไปที่หมายเลขหนึ่ง เหตุผลนั้นเรียบง่ายยิ่ง จากบทสนทนาเมื่อครู่นี้ทำให้ทุกคนต่างก็รู้แล้วว่าหมายเลขสามเป็นคนเมืองหลวง

แต่ตัวของหมายเลขสามเองกลับไม่รู้ข้อมูลของคนอื่นๆ หมายเลขสองจะไม่เปิดเผยก็ได้

ทว่าหมายเลขหนึ่งก็โต้กลับแบบตาต่อตาฟันต่อฟันทันที แล้วโยนข้อมูลออกมาอย่างใจกว้าง เห็นชัดว่าเขาส่งช่องทางให้สวี่ชีอันได้ฉีดวัคซีนป้องกันไว้ ขณะเดียวกันก็โจมตีกลับหมายเลขสองด้วย

หมายเลขสองอยู่ที่อวิ๋นโจว…โจรกรรม…เขาก็เป็นคนในหน่วยงานราชการด้วยหรือ

อวิ๋นโจวประสบปัญหาเรื่องการโจรกรรมทุกปี จึงถูกผู้คนจากเมืองอื่นๆ ขนานนามว่า ‘เมืองโจร’

สวี่ชีอันเกิดความคิดหลากหลายผุดขึ้นไม่ขาดสาย ส่วนหมายเลขหกและหมายเลขสองก็กำลังขบเคี้ยวข้อมูลจากหมายเลขหนึ่งอยู่

นอกเมืองทางตะวันตกหกสิบลี้ เนินเขาแห่งหนึ่งถูกเจาะทะลวง…ข้อมูลน้อยมาก ไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นฝีมือของสายการฝึกตนใด แต่มั่นใจได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงแน่

‘สอง: จะไปสงบได้อย่างไร จักรพรรดิต้าฟ่งเป็นลิงไร้สมอง วันดีคืนดีคิดแต่จะบำเพ็ญตนเป็นเซียน ไม่รู้ความเจ็บปวดในโลกมนุษย์แล้ว’

คำพูดนี้ฟังดูแล้ว…หมายเลขสองน่าจะไม่ใช่ผู้กินเงินเดือนราชสำนักสินะ…สวี่ชีอันคาดเดา

‘สอง: ไม่ต้องพูดถึงปีก่อนๆ พูดถึงแค่ปีนี้ ข้าตรวจสอบทะเบียนสำมะโนครัวในอำเภอต่างๆ ของอวิ๋นโจวและสำรวจไปทุกที่ ประมาณการอย่างคร่าวๆ ว่ามีชาวบ้านอย่างน้อยหกร้อยคนหลบหนีกลายเป็นผู้ลี้ภัย ไม่ก็เป็นโจรปล้นสะดม’

ผู้ลี้ภัยก็คือคนที่ไม่มีที่อยู่ เป็นชาวบ้านที่ไม่อาจจ่ายเงินภาษีได้จึงทิ้งที่ดินแล้วหลบหนีไป

ไม่มีที่แล้วแต่คนยังต้องมีชีวิตอยู่ บางคนจึงไปขอทาน บางคนไปทำงาน บางคนก็ตรงไปเป็นโจรแล้วปล้นชิงพลเมืองดี กลายเป็นวงจรอุบาทว์อย่างหนึ่ง

หมายเลขสองกล่าวต่อ ‘สอง: ข้าปราบโจรภูเขาสิบกว่าแห่ง พบว่าเบื้องหลังของพวกเขามีอิทธิพลล้ำลึกยิ่งกว่าซ่อนอยู่’

‘หนึ่ง: มีสัญญาณแล้วหรือ’

‘สอง: ไม่มี…จริงสิ ช่วงนี้สถานการณ์ของเมืองหลวงเป็นอย่างไรบ้าง’

สวี่ชีอันไม่รอให้หมายเลขหนึ่งตอบ แต่ชิงใส่ข้อความลงไปก่อน ‘สาม: รองเจ้ากรมโจวถูกไล่ออกสงครามการเมืองเริ่มขึ้นแล้ว แต่ว่าการสิ้นอำนาจของรองเจ้ากรมโจวค่อนข้างจะไร้แก่นสาร เหตุเพราะว่าลูกชายคนเดียวถูกความงามบังตา จึงวางแผนจะทำให้บุตรีคนรองของเวยอู่โหวแปดเปื้อน’

คำพูดนี้ของเขาไม่ใช่แค่ส่งข้อมูลให้กับหมายเลขสอง แต่ยังแสดงให้เห็นถึงระดับชั้นของเขา ขณะเดียวกันก็ทดสอบหมายเลขหนึ่งไปด้วย

ผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการต่อสู้ในราชสำนักล้วนรู้ดีว่าเหตุผลที่รองเจ้ากรมโจวสิ้นอำนาจแท้จริงนั้นเป็นเพราะคดีเงินภาษี

สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือ หมายเลขหนึ่งไม่ได้แก้ไขให้

‘หนึ่ง: นักบวชจินเหลียน ข้าสอบถามให้ท่านแล้ว ช่วงเวลาแน่นอนที่ตำหนักศึกษารองปราชญ์เอกของสำนักศึกษาอวิ๋นลู่ถูกปิดคือหกสิบวันก่อน วันนั้นคนนอกที่อยู่ในสำนักศึกษาอวิ๋นลู่ นอกจากองค์หญิงใหญ่แล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่ระดับล่างคนหนึ่งนามว่าสวี่ชีอันอยู่ด้วย’

“!!!”

สวี่ชีอันใจเต้นแรง รู้สึกตื่นตระหนกเหมือนถูกเปิดโปง ที่อยู่ถูกเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต

เจ้าหมายเลขหนึ่งนี่เป็นใคร ทำไมต้องตรวจสอบเรื่องเมื่อหกสิบวันก่อนด้วย…สวี่ชีอันนึกออกแล้ว หกสิบวันก่อน เอ้อร์หลางพาเขาไปเยี่ยมเยียนสำนักศึกษาอวิ๋นลู่ เขาพลันนึกสนุก จึงเขียน ‘บทกวีสี่ประโยค’ ลงบนศิลาจารึก

ทำให้เกิดนิมิตปราณใสพุ่งขึ้นฟ้าที่ตำหนักศึกษารองปราชญ์เอก

ขณะเดียวกัน เขาก็สงสัยมากว่าทำไมนักบวชจินเหลียนถึงสนใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสำนักศึกษาอวิ๋นลู่

ตามหลักเหตุผลแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ปัญญาชนของราชวิทยาลัยหลวงควรจะกังวลสิ เกี่ยวอะไรกับนักบวชนิกายปฐพีอย่างเจ้ากัน

‘หนึ่ง: ถึงอย่างนั้น เจ้าหน้าที่ระดับล่างผู้นั้นก็ธรรมดาสามัญ นอกจากความสามารถด้านกวีที่ไม่เลวแล้ว ตัวเขาก็เป็นเพียงระดับหลอมจิตเท่านั้น ไม่ใช่นักเรียนของสำนักศึกษาอวิ๋นลู่ และยิ่งไม่ใช่ปัญญาชน’

‘เก้า: อืม ข้าเข้าใจแล้ว’

‘สาม: เหตุใดท่านนักบวชจึงสนใจเรื่องปรากฏการณ์ของสำนักศึกษาอวิ๋นลู่หรือ’ สวี่ชีอันลองเอ่ยทดสอบดู

‘เก้า: ข้าอยากรู้ว่าศิลาจารึกของรองปราชญ์เอกเฉิงซื่อแตกหรือไม่’

‘สาม: เรื่องนี้สำคัญด้วยหรือ’

‘เก้า: สำคัญพอควร’

มันแตกน่ะ…สวี่ชีอันไม่ได้บอกนักบวชจินเหลียน แม้อยากจะพูด แต่ก็ไม่ใช่ตอนนี้

‘สาม: ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขอคำแนะนำจากทุกท่าน’

‘สอง: เจ้าว่ามา’

‘สาม: นักเล่นแร่แปรธาตุมีเพียงในสำนักโหราจารย์เท่านั้นหรือไม่’

ประโยคนี้ของสวี่ชีอันแทบจะตัดสถานะศิษย์ของสำนักโหราจารย์ของเขาไปแล้ว

ทุกคนเริ่มแน่ใจว่าเขาเป็นบัณฑิตของสำนักศึกษาอวิ๋นลู่ เป็นนักเรียนคนหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากผู้อาวุโสของสำนักศึกษา ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถเชิญยอดฝีมือระดับสูงมาสังหารนักบวชจื่อเหลียนได้หรอก

และนี่ก็คือสิ่งที่สวี่ชีอันต้องการพอดี

พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นนักเรียนของสำนักศึกษาอวิ๋นลู่ แต่ความจริงแล้วข้าเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ต่อไปเมื่อพวกเจ้าตรวจพบว่าข้าอาจเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ก็จะพบอีกว่าข้าเป็นนักเรียนของสำนักศึกษาอวิ๋นลู่จริงๆ

หรือไม่พวกเจ้าก็อาจค้นพบว่าข้าเป็นที่ปรึกษาด้านชีวิตให้กับพวกนักเล่นแร่แปรธาตุสำนักโหราจารย์ด้วย

‘หก: คำถามนี้ให้ข้าเป็นคนตอบเถอะ เมื่อหกร้อยปีก่อนไม่มีระบบการเล่นแร่แปรธาตุ หลังจากต้าฟ่งก่อตั้ง สำนักโหราจารย์จึงมีนักเล่นแร่แปรธาตุและโหรเกิดขึ้นมา’

ประวัติของสำนักสั้นนัก ไม่มีการผลิดอกออกผล หรือก็คือ นอกจากสำนักโหราจารย์แล้ว นักเล่นแร่แปรธาตุตามธรรมชาติแทบจะไม่มีเลย…ทว่าน่าจะยังมีอยู่ เพียงแต่น้อยนัก ไม่อย่างนั้นตอนที่ข้าหยิบหนังสือปกฟ้าออกมา พวกนักเล่นแร่แปรธาตุก็น่าจะรู้สึกแปลกใจแล้ว

มิน่าพวกนักเล่นแร่แปรธาตุถึงได้กระหายอยากต่อทฤษฎีเคมีของข้าขนาดนี้ ทั้งที่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพวกเขาเก่งกาจมาก

เพราะประวัติศาสตร์สั้น ก็เลยไม่มีหลักสูตรพื้นฐานทางทฤษฎีที่ครอบคลุมทุกด้านอย่างนั้นหรือ

นอกจากนั้น นักเล่นแร่แปรธาตุที่อยู่เบื้องหลังคดีเงินภาษีแท้จริงแล้วเป็นใครกันล่ะ

จุดน่าสงสัยในคดีเงินภาษีทำให้สวี่ชีอันผู้เป็นมือฉมังด้านการสืบสวนพะวงอยู่ในใจมาโดยตลอด

นักเล่นแร่แปรธาตุในสำนักโหราจารย์ที่เกี่ยวข้องกับรูปคดีก็แทบจะมีทัศนคติเชิงลบ ไม่แยแสอะไรเลย

จุดนี้ไม่สมเหตุผลอย่างมาก

ไม่ว่าจะเป็นฉู่ไฉ่เวย ซ่งชิง หรือว่าชุดขาวคนอื่นๆ ล้วนไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าเขา

‘หก: หมายเลขสาม ตามกฎแล้วเจ้าก็ต้องตอบคำถามข้าหนึ่งข้อด้วย’

สวี่ชีอันถึงได้พบว่าการสนทนาของหมายเลขหนึ่งกับหมายเลขสองเป็นแบบถามคำตอบคำ เมื่อครู่เป็นเขาที่เข้ามาแทรกแซงแล้วตอบเรื่องสถานการณ์ของราชสำนักจิงจ้าวแทนหมายเลขหนึ่ง

‘สาม: เจ้าถามมา’

‘หก: ลัทธิขงจื๊อระดับสองเรียกว่าอะไร’

นี่ก็เป็นการทดสอบ ทดสอบตัวตนของข้า…ทดสอบว่าข้าเป็นนักเรียนของสำนักศึกษาอวิ๋นลู่หรือไม่ และทดสอบสถานะทางสังคมของข้าด้วย

นักเรียนของลัทธิขงจื๊อทั่วไปย่อมไม่รู้ชื่อว่าลัทธิขงจื๊อระดับสองเรียกว่าอะไร ในศิลาชีวประวัติของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เฉียนจงก็ไม่ได้อธิบายชัดเจนถึงระดับขั้นของเขาอย่างละเอียด สวี่ชีอันรู้เรื่องนี้หลังจากสวี่ซินเหนียนอธิบายให้ฟัง

สาเหตุที่เอ้อร์หลางรู้ก็เพราะเขาเป็นนักเรียนที่ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่นให้ความสำคัญ เป็นจวี่เหรินของการสอบฤดูใบไม้ร่วงชั้นสูง

ในสำนักศึกษาอวิ๋นลู่แห่งนี้ เขาอยู่ในระดับหัวกะทิ

ถึงข้าไม่ใช่นักเรียนของสำนักศึกษาอวิ๋นลู่ แต่การทดสอบนี้ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน ไม่ใช่นักเรียนของลัทธิขงจื๊อแต่รู้จักระดับสอง สถานะทางสังคมมีแต่จะสูงยิ่งขึ้น

ถ้าหากข้าตอบไม่ได้ คิดว่าคงถูกคนกลุ่มนี้ไล่ออกมาเพราะสถานะไม่สูงพอกระมัง

สวี่ชีอันใช้นิ้วต่างปากกว่าแล้วเขียนบอก

‘สาม: ลัทธิขงจื๊อระดับสองเรียกว่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่’

……………………………….

[1] กับข้าวในหลุมศพ อุปมาถึงข้าราชการและขุนนางที่กินเงินเดือน แต่ไม่ทำงานอะไร