ตอนที่ 107 หมิงชั่นลองเชิง เยี่ยนอวี่หยั่งรู้ (2)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจ แล้วคลี่ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “แล้วจะทำอย่างไรได้ ตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์ การช่วยชีวิตคนคนหนึ่งย่อมดีกว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น สำหรับข้าก็แค่ต้องการสร้างความสงบสุขภายในใจเท่านั้น”

หันหมิงชั่นคลายยิ้ม แล้วไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีก นางแค่นอนหงายอยู่ใต้ผ้าห่ม จากนั้นก็ลืมตามองมุ้งตรงหน้า

ในเรือนนอนเหลือเพียงตะเกียงที่ส่องแสงขนาดเท่าเม็ดถั่วแค่ตะเกียงเดียว ในกลางเหมันต์ฤดูนี้ เพื่อที่จะรักษาอุณหภูมิในห้องให้อบอุ่น มุ้งที่ใช้ก็ถูกเปลี่ยนเป็นผ้าต่วนที่มีเส้นใยหนาและละเอียด จึงทำให้แสงไฟไม่สามารถส่องทะลุเข้ามาได้ ภายในมุ้งจึงเกือบจะมืดสนิท

เหยาเยี่ยนอวี่หลับตาพร้อมกับนอนอยู่ใต้ผ้าห่ม ทั่วร่างของนางรู้สึกปวดเมื่อยไปหมด และไม่สามารถออกแรงอีกต่อไป ทว่าทันทีที่หลับตาก็เห็นเพียงภาพของดวงหน้าอันขาวซีดราวกระดาษของเฟิงฮูหยินน้อย ผมยาวสลวยที่เปียกโชกด้วยหยาดเหงื่อจนเส้นผมแนบติดกับใบหน้าทำให้ดูยุ่งเหยิง สภาพของนางก็ดูซึมเศร้าไร้ชีวิตชีวา อีกทั้งยังคงได้กลิ่นคาวเลือดอย่างแรง

นี่ตนไม่ได้เข้าห้องผ่าศพอาจารย์ใหญ่มานานขนาดนี้เชียวหรือ เหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยถามตนเองในใจ ทำไมแค่เรื่องที่ผู้ป่วยแท้งลูกเช่นนี้กลับเอาไม่อยู่

พอคิดๆ ดูแล้ว ชาติที่แล้วตอนที่อยู่ในโลกปัจจุบัน เหยาเยี่ยนอวี่สามารถจิบกาแฟกินขนมและพูดคุยเล่นกับเพื่อนร่วมงานในห้องผ่าศพอาจารย์ใหญ่อย่างเพลิดเพลิน ทำไมพอทะลุมิติมาอยู่ที่นี่เป็นเวลาสิบปี กลับไม่มีความกล้าแบบนั้นแล้วล่ะ

อย่างไรก็ตามเหยาเยี่ยนอวี่คิดอย่างเจ็บปวด กายวิภาคของอวัยวะในศพแช่ในน้ำยา หรือการผ่าตัดผู้ป่วยหนักที่อาการโคม่า จะสามารถเทียบกับการแท้งบุตรได้อย่างไร ในอดีตเป็นเพียงการค้นคว้าวิจัยทางวิชาการและการรักษาเพื่อช่วยชีวิตผู้คน ในขณะที่อย่างหลังคือการดูการตายของเด็กทารกที่ยังไม่ทันได้ลืมตามองโลก!

ยามบ่ายที่ผ่านมา ตอนที่เห็นผัวจื่อผู้นั้นเอาผ้าขาวมาห่อหุ้มก้อนเลือดเล็กๆ เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก ตั้งแต่ที่นางทะลุมิติมาอาศัยอยู่ในราชวงศ์นี้เป็นเวลาสิบปี นี่เป็นเรื่องแรกที่ทำให้นางรู้สึกหวาดผวาที่สุด

เมื่อมองย้อนกลับไปที่เกิดเหตุการณ์อีกครั้ง ในเวลานี้นางก็อดสงสัยไม่ได้ว่า จะมีใครอีกบ้างที่จะมีประสบการณ์เช่นนี้ เหยาเฟิ่งเกอ? หันหมิงชั่นที่อยู่ข้างกายนาง? หรืออาจจะเป็นตัวนางเองที่รู้ทักษะทางการแพทย์?

มนุษย์เราก็เป็นแบบนี้ ยิ่งเวลาที่สภาพจิตใจย่ำแย่ก็จะยิ่งทำให้คิดอะไรเรื่อยเปื่อย อีกทั้งยังชอบจินตนาการเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แล้วยังเอาเรื่องพวกนั้นมารวมเป็นเรื่องเดียวกัน

เหยาเยี่ยนอวี่ก็รู้ว่าตนทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง นี่นางคงจะวิตกกังวลเกินไป ทว่าก็ไม่อาจควบคุมความคิดไว้ได้ ยิ่งนางอยากอยู่อย่างเงียบสงบมากเพียงใด ก็ยิ่งทำให้นางนอนไม่หลับ และยิ่งทำให้ใจนางว้าวุ่น และไม่รู้สึกง่วงนอนแม้แต่น้อย

“เยี่ยนอวี่?” หันหมิงชั่นขานเรียกนางทันที

“หืม?” เหยาเยี่ยนอวี่ที่กำลังพลิกตัวรีบตอบ “พี่หญิงยังนอนไม่หลับอีกหรือ”

“เจ้าก็ไม่ใช่ว่ายังไม่หลับหรอกหรือ” หันหมิงชั่นหมุนตัวมา แล้วพึ่งพาแสงไฟอ่อนๆ มองเหยาเยี่ยนอวี่ “ทำไมหรือ เรื่องเมื่อบ่ายนี้ทำให้เจ้าหวาดกลัวหรืออย่างไร”

เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจเบาๆ แล้วขยับไปใกล้หันหมิงชั่น จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “เป็นเช่นนั้น ภาพที่เกิดตอนนั้น…ช่างน่ากลัวยิ่งนัก”

“ลำบากเจ้าแล้ว” หันหมิงชั่นยื่นมือออกไปวางลงบนหัวไหล่ของเหยาเยี่ยนอวี่ จากนั้นก็ตบเบาๆ “เจ้าก็เป็นเพียงสตรีที่ยังไม่ออกเรือนผู้หนึ่ง เรื่องเช่นนี้ก็ควรหลีกเลี่ยงแต่แรกอยู่แล้ว ทว่าเพื่อที่จะช่วยชีวิตคน เจ้ากลับทำได้เพียงเดินหน้าต่อไป เฮ้อ! หมอขี้โอ้อวดในสำนักหมอหลวงพวกนั้น! แต่ละคนช่างไร้ประโยชน์จริงๆ”

เหยาเยี่ยนอวี่เปรยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ไม่ต้องกล่าวตำหนิหมอหลวงเหล่านั้นหรอก สถานการณ์เยี่ยงนั้น ข้าเองก็ไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย ข้าก็แค่ฝังเข็มไปตามจุดเส้นลมปราณที่สามารถห้ามเลือดได้ตามที่ตำราการแพทย์ได้บันทึกไว้ การได้รับผลลัพธ์เยี่ยงนี้ล้วนเป็นการปกปักรักษาจากสวรรค์”

หันหมิงชั่นได้ยินจึงเปรยด้วยเสียงเบา “เพียงแต่ว่าพอเป็นเช่นนี้ วันข้างหน้าเจ้าก็คงไม่อาจใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขอีกต่อไป”

“พี่หญิง ท่านหมายความว่าอย่างไร”

“ข้าได้ยินว่าวันนี้หมอหลวงจางในสำนักหมอหลวงก็อยู่ด้วย หมอหลวงจางเป็นที่รู้จักในฐานะปรมาจารย์ด้านสูตินรีเวช แม้แต่เรื่องนี้เขาเองก็จนปัญญา ทว่าเจ้ากลับทำได้ เจ้าคิดว่าเรื่องนี้จะสามารถปกปิดได้อีกหรือ ถ้าหากหมอหลวงจางไม่ระวังปากไปเล่าเรื่องนี้ให้กับเหนียงเหนียงที่อยู่ในวังหลวงรับทราบ ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร”

เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินเช่นนี้จึงรู้สึกตกตะลึงในใจ เรื่องเช่นนี้นางยังไม่เคยนึกถึงจริงๆ

ทว่าสิ่งที่หันหมิงชั่นพูดก็ถือว่าเป็นความจริง!

“เยี่ยนอวี่ ทำให้เจ้าลำบากแล้วจริงๆ !” หันหมิงชั่นเปรยเช่นนี้ขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็ตบไหล่เหยาเยี่ยนอวี่อย่างเบามือ น้ำเสียงเต็มไปด้วยการทำอะไรไม่ถูก

“มันไม่มีประโยชน์ที่จะกลัว” เรื่องนี้มาถึงขั้นนี้แล้ว เหยาเยี่ยนอวี่กลับรู้จักปล่อยวาง “ตามคำโบราณที่ว่า ทหารมาให้ใช้แม่ทัพต้านรับ น้ำมาให้ใช้ดินต้านก็เท่านั้น”

หันหมิงชั่นเองก็แย้มยิ้ม “เจ้าเป็นคนที่จิตใจดี แต่ว่าเจ้าไม่อยากจะลองฟังความคิดเห็นดีๆ ของข้าหน่อยหรือ”

“มีวิธีดีๆ อะไร พี่หญิงถึงกับจงใจสร้างสถานการณ์เพื่อหลอกล่อให้ข้าตบปากรับคำ” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มพลางพูด

“วิธีที่ดีของข้าก็คือ เจ้ารีบกำหนดเรื่องการแต่งงานเสียเถอะ ตามหาบุรุษที่สมดั่งใจปรารถนาแล้วรีบออกเรือน วันข้างหน้าต่อให้เจ้าต้องเจอะเจอกับเรื่องที่เลวร้ายมากเพียงใด ก็มีคนคอยช่วยแบกรับเอาไว้ เช่นนี้ไม่ดีหรือไร” ตอนนี้ในใจของหันหมิงชั่นกำลังนึกถึงพี่ชายรองของตน นางรู้สึกว่าแค่ท่านแม่อนุญาตให้เหยาเยี่ยนอวี่แต่งเข้าจวนกั๋วกง ตามชื่อเสียงอันน่าเกรงขามของท่านพ่อและพี่ชายทั้งสองคน คนพวกนั้นก็คงไม่มีทางกล้าทำให้เหยาเยี่ยนอวี่ต้องลำบากใจ

“บุรุษที่สมดั่งใจปรารถนา?” เหยาเยี่ยนอวี่นิ่งงันไป ในหัวสมองของนางมีเพียงใบหน้าที่ฉลาดและแข็งกร้าวและดวงตาสีเหลืองอำพันที่ลึกล้ำของเว่ยจางปรากฏขึ้น ทว่านางครุ่นคิดเช่นนี้ในใจเพียงชั่วขณะก็ส่ายหน้า “ใต้หล้านี้จะมีบุรุษที่สมดั่งใจปรารถนาปรากฎตัวอย่างทันทีทันใดได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ข้าก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแล้ว แม้แต่ตนเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วเหตุใดถึงต้องดึงเขาคนนั้นมาลำบากไปด้วย จะให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้ามาตกระกำลำบากกับข้าด้วยหรือไร”

“เจ้าน่ะ!” หันหมิงชั่นรู้สึกเครียดจนต้องคลายยิ้ม “ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าเติบโตมาอย่างไร! ทุกคนต่างก็รู้จักคว้าหญ้าแห่งความหวังมาช่วยชีวิตในยามที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่อันตราย ทว่ามีเพียงเจ้า มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ไม่ทำเช่นนั้น”

เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้ม “ข้าแค่รู้สึกว่าถ้ามีเพียงหญ้าต้นเดียวก็คงจะรองรับน้ำหนักของข้าไม่ไหว แล้วยังจะเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเราต้องล่มจมไปพร้อมๆ กัน แล้วเหตุใดจึงต้องไปเสียหญ้าหนึ่งต้นไปอย่างเปล่าประโยชน์ด้วยเล่า”

“เจ้าน่ะ!” หันหมิงชั่นดึงมือกลับมา แล้วพลิกตัวให้ลำตัวนอนราบ ผ่านไปสักพักจึงเปรยขึ้น “ยัยเด็กคนนี้ช่างโง่เขลายิ่งนัก!”

“พี่หญิง” เหยาเยี่ยนอวี่ยื่นมือออกไปจับมือของหันหมิงชั่นไว้ จากนั้นก็พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ขอบคุณท่านมาก”

หันหมิงชั่นรู้สึกเจ็บปวดในใจ แล้วพึมพำขึ้น “ขอบคุณข้าเรื่องอะไร”

“ขอบคุณท่านที่คิดเผื่อข้า ทั้งใจของท่านครุ่นคิดเพื่อข้า ท่านปฏิบัติกับข้าดีกว่าพี่สาวของข้าเสียอีก”

หันหมิงชั่นชะงักไป แล้วยกมือไปผลักเหยาเยี่ยนอวี่ออก จากนั้นก็หันหลังใส่นาง แล้วพึมพำขึ้น “ยัยเด็กโง่ ไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว ข้ารู้สึกง่วงมาก จะหลับแล้ว”

เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้ม แล้วยื่นมือไปดึงผ้าห่มของหันหมิงชั่นให้ตึง จากนั้นก็พลิกตัวนอนลงดีๆ แล้วหลับตานับจำนวนแกะในใจ

พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวดวงเดียวกันที่อยู่นอกหน้าต่าง ที่นี่ส่องสว่างบ้านนาน้อยวัวจวูที่สวยงาม ส่วนอีกด้านหนึ่งก็ส่องท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ว่างเปล่าของจวนแม่ทัพติ้งหย่วน

ในสวนหน้าห้องอักษรของจวนแม่ทัพติ้งหย่วน อิฐสีเขียวที่ปูบนพื้นนั้นราบเรียบยิ่งนัก ตรงกลางสวนไม่มีต้นไม้หรือดอกไม้ใดๆ ปลูกไว้ มีเพียงชั้นวางอาวุธที่วางติดกับผนังเป็นแถว และข้างบนชั้นวางมีอาวุธของทหารราวๆ สิบแปดชนิด

ดาบยาวคมเฉียบที่อยู่ในมือของเว่ยจางกำลังร่ายรำเหมือนมังกรที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำ และเสียงแหลมคมดั่งลมทางเขตตอนเหนือ ทำให้คนรู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วทั้งกาย

ดาบยาวร่ายรำยิ่งทียิ่งฉับไว จนเห็นเพียงแสงอันเย็นยะเยือกบดบังร่างคนเอาไว้ ทำให้บรรยากาศในสวนถูกความเฉียบคมของดาบปั่นป่วน จนเกิดเสียงวูๆ เหมือนมังกรกำลังร้องคำรามด้วยเสียงแผ่วเบา

ทันใดนั้นก็มีคนพุ่งเข้าไป โดยสาวเท้าอันแข็งแรงก้าวเดินด้วยความว่องไว ทันใดนั้นเงาร่างสีดำก็มาอยู่ตรงหน้าของแม่ทัพเว่ย

“ท่านแม่ทัพขอรับ!” ผู้มาเยือนยังคงยืนอยู่นอกรัศมีการสังหารของดาบเจี้ยนเฟิงและส่งเสียงเรียกเบา ๆ

เว่ยจางไม่ตอบกลับและยังคงร่ายรำด้วยดาบยาวในมือ จนกระทั่งเขาฝึกเพลงดาบเสร็จ จากนั้นหมุนข้อมือของเขาที่เพิ่งร่ายรำเพลงดาบบุปผชาติ แล้วรั้งมือกลับพลางถอนหายใจยาว เขามองไปที่ผู้มาเยือนอย่างไม่พอใจแล้วถามคำถาม “มีเรื่องสำคัญอะไรถึงกับทำให้เจ้ามาขัดจังหวะข้าอย่างไร้มารยาทเยี่ยงนี้”