เช้าวันต่อมา เริ่นเสี่ยวซู่ตื่นแต่รุ่งสาง เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ว่าตั้งแต่เขากลายมาเป็นผู้มีพลังพิเศษ ก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นกว่าเดิมมาก ราวกับว่าในร่างเขามีไฟขุมหนึ่งลุกโชนอยู่ตลอดเวลา เขานอนไปแค่สี่ชั่วโมงเท่านั้น แต่ตื่นมาแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองนั้นสดชื่นเต็มตามาก

หวังฟู่กุ้ยหยิบอาหารขึ้นมาแจกจ่ายทุกคน พวกเขาล้วนแบ่งปันอาหารของตัวเอง ไม่มีใครเก็บซุกซ่อน

ผู้หลบหนีหลายพันโดยรอบต่างหิวโหย ผู้หลบหนีที่อยู่ใกล้ๆ กลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่เห็นพวกเขากำลังกินอาหารกันก็กลืนน้ำลายกันยกใหญ่

แต่พวกเขาก็ได้แต่มอง ไม่มีใครกล้าเข้ามาขออาหารเริ่นเสี่ยวซู่เลย พวกเขาไม่ได้โง่ พวกเขารู้ดีว่าเวลาแบบนี้ไม่มีทางที่คนจะแบ่งปันอาหารแก่ผู้อื่นหรอก ยอมไม่ถามดีกว่าถูกปฏิเสธ

ทางฝั่งของหวังอี้เหิง แม้เขาจะปล้นชิงอาหารไปมากมาย แต่ปัญหาคือทางฝั่งผู้อพยพเองก็ไม่ได้พกอาหารมากมายอะไรนัก จำนวนผู้อพยพทางฝั่งของหวังอี้เหิงมีมากกว่าหกร้อยคน สุดท้ายจึงมีแต่หวังอี้เหิงและพรรคพวกคนสนิทไม่กี่คนที่ได้กินอาหาร ส่วนที่เหลือต่างต้องทนท้องหิวไป

“พวกเราต้องเดินทางต่อ” หวังอี้เหิงพูดด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “คนที่ยังไม่ได้กินอะไรเลย ไม่ต้องกังวลไปนะ ฉันเชื่อว่าข้างหน้าต้องมีอะไรให้กินแน่ จากวันนี้ไป ต่อให้ต้องกินเปลือกไม้ผักป่าก็ต้องยอม!”

ผู้อพยพที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยต่างลอบบ่นอดในใจ จ้าๆๆ กินหนังท้องตึงเสร็จก็พูดว่าจะเด็ดผักป่าให้ ก่อนหน้านี้หายหัวไปไหนล่ะ แต่ต่อให้โมโหแค่ไหนพวกเขาก็ไม่กล้าให้คำบ่นออกจากปาก

จริงๆ แล้วกลุ่มผู้อพยพก็ใช่ว่าจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ก็อย่างที่เริ่นเสี่ยวซู่ว่า ก็แค่พวกอันธพาลฝูงหนึ่ง

หวังอี้เหิงนำพวกผู้อพยพเดินทางต่อ ชาวป้อมปราการหลายพันที่หลบหนีมาก็ตามหลังพวกเขาไปเช่นกัน

เริ่นเสี่ยวซู่เกิดความสับสนอยู่บ้าง ถ้าตัวเองเพิ่งถูกปล้นมา ต่อให้ต้องตายก็ไม่ควรตามหวังอี้เหิงและพรรคพวกผู้อพยพไปหรือเปล่า แต่ชาวป้อมปราการพวกนี้ แม้จะเพิ่งถูกปล้นไปหมาดๆ ก็ยังตามหวังอี้เหิงอยู่ดีเสียได้

“ไปกันเถอะ” เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวกับพวกเสี่ยวอวี้ว่า “อีกไกลกว่าจะถึงป้อมปราการ 109 ห้ามประมาท”

“อื้อ” เสี่ยวอวี้พยักหน้า ชาวเมืองส่วนใหญ่ต่างมีจิตใจเข้มแข็งกว่าพวกคนในป้อมปราการมาก ไม่ว่ากำลังเผชิญความยากลำบากอะไรอยู่ตอนนี้ ก็ล้วนเคยผ่านมาก่อนแล้ว

บรรดานักเรียนที่อยู่ข้างหลังเริ่นเสี่ยวซู่ก็ลุกขึ้นมาแล้วเช่นกัน ครูของพวกเขาร้องโอ้ย ก่อนล้มลงกับพื้น เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมอง ก็เห็นว่ามีนักเรียนหญิงหลายคนกำลังช่วยพยุงตัวครูของพวกเธอกันอยู่ สุดท้ายครูสาวก็ค่อยๆ ยืนขึ้นมาได้ในที่สุด เธอกล่าวกับนักเรียนว่า “ครูไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วงครูนะ พวกเราห้ามคลาดสายตากับกลุ่มหลักเด็ดขาด”

นักเรียนผู้หนึ่งว่าเสียงค่อย “ครูเจียงอู๋ หนูหิวจังเลยค่ะ”

พวกเขาไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันแล้ว หนีมาตลอดเช่นนี้ พวกนักเรียนจะไม่หิวได้เช่นกัน นักเรียนบางคนถึงกับเกิดอาการหน้ามืดแล้ว

ครูสาวนามเจียงอู๋อยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอพูดปลอบ “พวกเราเดินทางกันต่อก่อนนะ ระหว่างทางอาจจะเจออาหารก็ได้ใครจะไปรู้ ไม่ก็อาจมีคนที่ป้อมปราการ 109 ส่งมาช่วยเหลือพวกเราก็ได้ ถ้ายังไม่มีอะไรอีก เดี๋ยวครูหาผักป่ามาให้ทานนะ”

“อาจารย์คะ ผักป่าที่ว่าหน้าตาเป็นยังไงเหรอคะ” นักเรียนหญิงผู้หนึ่งว่า

เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองครูสาว แล้วเห็นว่าเธอสวมกำไลทองอยู่วงหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ว่ากลุ่มพวกเธออยู่ใกล้เริ่นเสี่ยวซู่เมื่อคืน กำไลทองนั่นคงตกอยู่ในมือพวกผู้อพยพได้

เด็กพวกนี้เติบโตมาภายใต้การคุ้มครองของสมาคมมาทั้งชีวิต พวกเขาไม่เคยได้รับความลำบากเหมือนที่คนนอกป้อมปราการต้องเจอแม้แต่นิดเดียว พวกเขาย่อมไม่รู้แน่ว่าผักป่าหน้าตาเป็นอย่างไร

คำถามนั้นทำให้เจียงอู๋สะอึกเงียบไป เธอได้ยินว่าคนรอบๆ จะเด็ดผักป่ากินเฉยๆ แต่เธอไม่รู้เลยว่าผักป่าที่ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร และก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเธอเคยได้เรียนในป้อมปราการด้วย

แต่เจียงอู๋ไม่ใช่คนโง่ เธอลอบมองไปที่กลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่ จากนั้นก็กล่าวกับนักเรียนว่า “เห็นพวกคนข้างหน้าเราไหม มองแวบเดียวก็รู้ว่ามีความสามารถมากกว่าผู้อื่นมาก พวกเขาเก็บผักอะไรมา พวกเราก็เก็บตามพวกเขานะ”

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้เลยว่า ครูนามเจียงอู๋เห็นเขาเป็นบุคคลมากความสามารถที่สุดในหมู่ผู้หลบหนีแล้ว

นักเรียนผู้หนึ่งว่า “ทำไมไม่ขอความช่วยเหลือจากเขาล่ะครับ”

เจียงอู๋ส่ายหน้า “ตอนนี้ป้อมปราการพังไปแล้ว พวกเธอต้องเข้าใจเรื่องหนึ่งนะ ไม่มีใครคิดช่วยพวกเราหรอก มีแต่พวกเราต้องช่วยกันเอง”

หลังจากออกเดินทางอีกครั้ง เสี่ยวอวี้ หวังฟู่กุ้ย เหยียนลิ่วหยวน และหวังต้าหลงก็ดูกลับมามีพลังเต็มเปี่ยมอีกครั้ง เสี่ยวอวี้หันไปมองเจียงอู๋กับพวกนักเรียน จากนั้นก็หันมากระซิบกล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยน้ำเสียงสดใส “กลุ่มที่มาจากป้อมปราการนั่นมีเด็กนักเรียนหน้าตาน่ารักๆ ไม่น้อยเลยนะ แถมอยู่รุ่นราวคราวเดียวกับเธออีก เธอคิดว่าไง สนใจสักคนไหม อยากให้พี่สาวคนนี้ไปเป็นแม่สื่อให้หรือเปล่า ถ้าเธอยอมดูแลอาหารการกินให้เด็กนักเรียนพวกนั้น พวกเธอต้องยอมติดตามเธอแน่นอน”

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “พี่เสี่ยวอวี้ พี่ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอกน่า ไปป้อม 109 ให้ได้ก่อนสำคัญกว่า”

“ก็ได้จ้า ก็ได้จ้า” เสี่ยวอวี้ยิ้มล้อเลียน “แต่ถ้าเปลี่ยนใจตอนไหนก็บอกได้เลยนะ เดี๋ยวพี่เลี้ยงลูกในอนาคตของเธอให้เอง”

ทันใดนั้นเอง พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นพืชหนึ่งข้างทางก็ตาทอประกาย เขาเดินเข้าไป แล้วดึงพืชนั้นออกมาทั้งราก

พอเจียงอู๋เห็นเช่นนั้น ก็รีบกระซิบกับพวกนักเรียนว่า “ไปเร็ว หาต้นพืชแบบที่เขาเพิ่งดึงมาเลย!”

พวกนักเรียนที่ทนหิวมาพักใหญ่แล้วก็รีบพุ่งไปที่ข้างทางทันที

จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็หันไปหาหวังฟู่กุ้ย “ต้นพวกนี้ห้ามกินเด็ดขาด สองปีที่แล้วเคยกินไปรอบ ฉันท้องเสียไปตั้งสามวันติดแน่ะ”

เจียงอู๋กับพวกนักเรียนได้ยินเช่นนั้นก็พูดอะไรไม่ออกเลย ได้แต่โยนทิ้งต้นไม้ในมือที่เพิ่งถอนจากพื้นมาหมาดๆ ไปเสียกันทีละต้นสองต้น

ตอนนี้เริ่นเสี่ยวสู่สังเกตเห็นแล้วว่าพวกนักเรียนกำลังเรียนรู้จากเขาอยู่ หลังคิดไปพักหนึ่งก็กล่าวกับหวังฟู่กุ้ยว่า “พุ่มไม้เล็กๆ ที่อยู่ตรงเท้าเรานี้ เรียกว่าผักหมอน หรือจี้ช่าย[1] เป็นพืชกินได้ แต่ถ้ากินสดมันจะขมเพราะสารแอลคาลอยด์ในพืช แต่เพื่อประทังชีวิต ขมนิดขมหน่อยจะเป็นอะไรไป”

ทว่าเรื่องนี้เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้พูดให้เขาฟัง เจียงอู๋จ้องเริ่นเสี่ยวซู่ เพราะเธอเฝ้าจับตาเริ่นเสี่ยวซู่อยู่ตลอด จึงรู้ทันทีว่าที่เขาพูดเช่นนี้ก็เพื่อตัวเธอเอง

เจียงอู๋มองไปที่เริ่นเสี่ยวซู่ก่อนจะหันกลับไปคุยกับนักเรียน “ทุกคนไปเก็บจี้ช่ายกันนะ”

พูดแล้ว เธอหันไปหาเริ่นเสี่ยวซู่อีกครั้ง ก่อนจะเห็นว่าพวกเริ่นเสี่ยวซู่เดินจากไปแล้ว

เหยียนลิ่วหยวนอยู่ข้างๆ เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะคิกคัก “พี่ พี่สนใจครูสาวคนนั้นเหรอ เธอน่ารักไม่เลว”

เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหัว “ที่ทำไปก็แค่หวังว่าครูคนนั้นจะอยู่รอดต่อไปได้อีกหน่อย แค่นั้นแหละ”

กว่าเจียงอู๋จะพานักเรียนหนีออกมาจากป้อมปราการได้ต้องลำบากไม่น้อยแน่ ช่วงเวลาแบบนี้ ใครเล่าจะสนใจว่าผู้อื่นจะเป็นจะตาย

เริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนเห็นแก่ตัวก็จริง แต่เขาก็อดชื่นชมในตัวเจียงอู๋ไม่ได้

…………

[1] ผักหมอน (枕头草) หรือ จี้ช่าย (荠菜; shepherd’s purse; Capsella bursa-pastoris) ใบไม้มีลักษณะแบนเป็นรูปสามเหลี่ยมซึ่งมีลักษณะเหมือนกระเป๋าถือ จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า shepherd’s purse (กระเป๋าถือของคนเลี้ยงแกะ)