ตอนที่ 36.2 ผลหลิวหลี (2)

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ฉินอวี้โม่โบกมือให้พวกเขาด้วยรอยยิ้ม นางมองดูฉีอวี้และฉีฉีที่ยังคงทอแววตาอาลัยอาวรณ์พร้อมกับโบกมือกลับมาให้ อีกไม่นานนางเองก็คงจะได้เดินทางไปยังนครไป๋อวิ๋นเช่นกัน

“เจ้าเด็กสารเลว ถ้าข้ามาไม่ทัน หรือองค์ฮองเฮาไม่เมตตา ข้าก็อยากจะเห็นนักว่าเจ้าจะมีจุดจบยังไง!”

ลั่วชิงซานจ้องมองหลี่หลินแล้วตวาดใส่อีกครั้งก่อนจะหันหน้าหนีและไม่มองเขาอีกเลย

“เจ้าคงจะเป็นคนที่อวิ๋นเอ๋อร์พูดถึงสินะ หญิงสาวอายุน้อยที่เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตทิพย์มายา”

ลั่วชิงซานมองดูฉินอวี้โม่ เมื่อเขาสังเกตเห็นเสี่ยวเฮยบนไหล่ของนาง เขาก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“อา~ ช่างเป็นหญิงงามที่มากความสามารถโดยแท้ อีกไม่กี่วันจะถึงเทศกาลอสูรล้อมเมืองแล้ว แม่นางฉินอวี้โม่ ข้าหวังว่าเจ้าจะอยู่รอจนถึงวันนั้น”

“ท่านเจ้าเมืองเอ่ยชมเกินไปแล้ว ส่วนเรื่องอสูรล้อมเมือง ข้าเองก็อยากจะเข้าร่วมให้ได้”

ฉินอวี้โม่ยิ้ม นางค้อมหัวลงเล็กน้อยแต่ไม่กล้ารับคำชมเชยจากบุรุษผู้รั้งตำแหน่งเจ้าเมืองแห่งเมืองนี้

“ฮ่าฮ่า แม่นางฉินช่างถ่อมตัวยิ่งนัก ดีจริงๆ ”

ลั่วชิงซานยิ้มชอบใจพลางพยักหน้า

“ตอนนี้พวกเรากำลังจะกลับเมืองกันแล้ว แม่นางฉิน เจ้าอยากจะอยู่ชมป่าแสงจันทร์ต่ออีกสักหน่อย หรืออยากจะกลับพร้อมกับพวกเรา?”

ลั่วชิงซานรับหน้าที่คุ้มกันฮองเฮาเหวินหย่ามายังป่าแสงจันทร์แห่งนี้ เมื่อพระนางจากไปแล้ว ตอนนี้เขาเองก็ควรจะรีบกลับเช่นกัน

“ขอบคุณท่านที่เมตตา ข้าอยากจะเดินเล่นอยู่ในป่านี้ต่ออีกหน่อย”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและบอกปฏิเสธไป

“ท่านพ่อ ข้าเองก็อยากจะเดินชมป่าแสงจันทร์เช่นกัน ท่านพ่อกลับก่อนได้เลยขอรับ”

ลั่วอวิ๋นมองดูฉินอวี้โม่ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับลั่วชิงซาน

“ตามใจเจ้า แม่นางฉินดูแลตัวเองด้วย หากมีปัญหาขัดข้องสิ่งใดก็มาหาข้าที่จวนเจ้าเมืองได้”

ลั่วชิงซานกล่าวก่อนจะหันกลับไปตวาดใส่หลี่หลินที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น

“ส่วนเจ้า! คนสารเลว! เจ้ากลับไปพร้อมข้า ข้าจะไปพบแม่ของเจ้าและบอกให้นางสั่งสอนเจ้าให้หนัก!”

กล่าวจบลั่วชิงซานก็มุ่งหน้ากลับเข้าเมือง

หลี่หลินจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาเคียดแค้น ก่อนจะลุกขึ้นและพาคนของตัวเองกลับไปพร้อมกับลั่วชิงซาน พวกเขาทั้งหมดเดินลับหายไปจากสายตาของฉินอวี้โม่ในเวลาไม่นานนัก

“ข้าจะอยู่กับคุณหนูด้วย”

เสี่ยวโร่วกล่าวเสียงใส สาวใช้น้อยตัดสินใจไม่กลับไปยังโรงเตี๊ยมเพราะนางอยากจะอยู่กับฉินอวี้โม่และเดินชมสิ่งที่น่าสนใจในป่าแสงจันทร์แห่งนี้

“ตามใจเจ้า”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าพร้อมส่งยิ้มให้

“แม่นางฉินจะรังเกียจหรือไม่ หากคนว่างงานจอมอู้อย่างข้าจะขอสมัครเป็นเพื่อนเที่ยวชมป่ากับท่าน”

ลั่วอวิ๋นกล่าววาจาติดตลกพลางยิ้มกลบเกลื่อน จริงๆ แล้วเขาเพียงแต่เป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของฉินอวี้โม่และสาวใช้หากปล่อยให้สตรีทั้งสองอยู่กันตามลำพัง  ถ้าเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยเขาก็จะได้ช่วยนางรับมือได้

“จะรังเกียจได้อย่างไร ข้ายินดีเสียอีกที่จะได้คนมาช่วยอีกแรง”

ฉินอวี้โม่ยิ้ม ก่อนจะลงมือดึงเอาแก่นมายาและแกนชีวิตที่ยังคงเหลืออยู่จากซากของหมาป่าสายลมที่กองกระจัดกระจายบนพื้นออกมา  หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย นางและเสี่ยวโร่ว พ่วงด้วยสหายผู้เที่ยวชมป่าก็มุ่งหน้าเข้าไปยังป่าในส่วนที่ลึกขึ้นอย่างรวดเร็ว  ถึงอย่างไรก็ยังเหลือเวลาอีกหลายวันกว่าเทศกาลอสูรล้อมเมืองจะเริ่มต้น ฉินอวี้โม่จึงอยากจะลองสำรวจสถานการณ์ในป่าเสียก่อน  อีกทั้งหลังจากนี้นางก็จะต้องเดินทางผ่านป่าแห่งนี้เพื่อไปยังนครไป๋อวิ๋นด้วย

ลั่วอวิ๋นยิ้มและติดตามไป ตอนนี้เขายิ่งสนใจฉินอวี้โม่มากขึ้นเรื่อยๆ

“คุณหนู ตอนนี้ท่านแข็งแกร่งมาก ข้าชื่นชมท่านจริงๆ”

เสี่ยวโร่วติดตามฉินอวี้โม่ไปและมองเจ้านายสาวด้วยสายตาชื่นชม ‘ตอนนี้คุณหนูสี่ของนางฝีมือสูงส่ง คุณหนูของนางไม่ใช่หญิงไร้ค่าแห่งเมืองหลิงซีอีกต่อไปแล้ว’

“เด็กโง่ เจ้าเองก็ตั้งใจฝึกฝนให้ดี เดี๋ยวเจ้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นได้เหมือนข้า”

ฉินอวี้โม่ลูบหัวเสี่ยวโร่วและยิ้มอย่างเอ็นดู

“เจ้าค่ะ ข้าจะพยายาม”

เสี่ยวโร่วพยักหน้าตอบรับหนักแน่น ตอนนี้สาวใช้น้อยมีความตั้งใจเต็มเปี่ยม แม้ว่าตัวนางจะไม่ได้มีร่างกายที่พิเศษหรือมีพรสวรรค์สูงส่ง แต่ตราบใดที่ยังมีจิตใจมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ นางก็ยังพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นได้เพื่อที่จะอยู่เป็นผู้ช่วยของคุณหนูไปได้อีกนานๆ   และเพื่อที่จะตามหาตัวฮูหยินให้เจอด้วย  ฉะนั้นนางจะต้องพยายามให้หนัก

ลั่วอวิ๋นมองดูเสี่ยวโร่วแล้วยิ้มตามอย่างอดไม่ได้  เมื่อได้ยินบทสนทนาของหญิงสาวทั้งสอง  แม้แต่เขาเองก็ยังเกิดแรงจูงใจ*‘ฉินอวี้โม่ทำให้คนรอบตัวคล้อยตัวนางได้อย่างง่ายดาย ที่สำคัญคำพูดของนางมีแรงผลักดันในทางที่ดี….สตรีงดงามผู้นี้ช่างแตกต่างผู้อื่นยิ่งนัก!’*

เนื่องจากยังไม่มีจุดมุ่งหมายที่แน่ชัด  คณะเที่ยวชมป่าทั้งสามจึงเดินทางกันด้วยความเร็วไม่สูงมาก

และเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน คนทั้งสามก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้นจากจุดที่อยู่ไม่ไกลนัก หนึ่งบุรุษสองสตรีหันมามองหน้ากันก่อนจะเคลื่อนที่ตรงไปยังทิศทางของเสียงอย่างช้าๆ

เมื่อมุ่งหน้ามาจนพ้นเขตของป่าทึบ เบื้องหน้าพวกเขาก็ปรากฏแนวของทิวเขาขนาดย่อม  รอบๆ ทิวเขานั้นมีคนอยู่เป็นจำนวนมาก และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเตรียมการจะทำบางสิ่งบางอย่าง

ที่ตีนเขา มีคนนับสิบกำลังจับกลุ่มปรึกษากันอยู่ บ้างก็นั่งจับเจ่าอย่างคิดไม่ตก บ้างก็ยืนกอดอกครุ่นคิด แต่ทุกคนต่างมีแววตาขุ่นมัวไม่สบอารมณ์เช่นเดียวกัน และหลายคนก็แสดงสีหน้าแค้นเคืองหนักหน่วง

“บัดซบ เราอุตส่าห์รอกันตั้งนานเพื่อให้ผลไม้นั่นสุก แต่กลับมีเจ้าพวกต่ำช้ามาปล้นมันไปซะได้!”

บุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้นอย่างโกรธเคือง พลางจ้องมองหินก้อนหนึ่งด้วยสายตาหงุดหงิดงุ่นง่านปนเดือดดาล คล้ายว่าเขาเคยถูกมันตกกระแทกนิ้วก้อยเท้ามาก่อน

“เป็นอย่างที่คนเขากล่าวกันไว้จริงๆ วิธีที่ดีที่สุดที่จะก้าวนำผู้อื่นได้เสมอก็คือต้องปล้นของผู้อื่น เพ่ย! เจ้าพวกนี้มันหน้าไม่อายจริงๆ!!”

ชายอีกคนเองก็เอ่ยขึ้นมาด้วยความโกรธและไม่ยินยอมเช่นกัน

พวกเขาทั้งหมดสวมชุดรัดกุมที่มีรูปแบบเดียวกัน ดูแล้วพวกเขาคงจะเป็นกลุ่มทหารรับจ้าง

“ถ้าไม่ใช่เพราะนายน้อยยังมาไม่ถึง มีหรือที่พวกมันจะกล้าทำกับเราแบบนี้? ไอ้พวกชาติชั่วนั่นยังกล้าเรียกตัวเองว่ากลุ่มทหารรับจ้างได้อีกรึ”

“เหอะ กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจของพวกมันคงจะเลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นระดับหนึ่งเทียบเท่ากับพวกเราได้แน่หลังจากเอาผลไม้นั่นไป  แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ การกระทำของพวกมันก็น่ารังเกียจยิ่งนัก พวกสารเลว! พวกมันทำให้เกียรติของทหารรับจ้างต้องมัวหมอง!”

ชายอีกคนกล่าวขึ้นมาอย่างดูถูกเหยียดหยาม จากบทสนทนาเหล่านี้ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังไม่พึงพอใจอะไรบางอย่าง

กลุ่มของฉินอวี้โม่ทั้งสามคนหันมามองหน้ากัน ก่อนจะตัดสินใจเดินตรงเข้าไปหาคนกลุ่มนั้น

จริงๆ แล้วพวกเขาไม่ได้อยากจะยุ่งเรื่องของผู้อื่น แต่ทว่าชื่อของบางสิ่งที่พวกเขาได้ยินทำให้ทั้งสามคนต้องชะงักไป–สิ่งนั้นก็คือผลหลิวหลี

เมื่อกลุ่มบุรุษชุดรัดกุมเห็นว่าจู่ๆ ก็มีคนสามคนโผล่ออกมาจากป่าทางด้านหลัง พวกเขาก็ผงะไปเล็กน้อย

“ขออภัย พวกท่านกำลังหมายถึงผลหลิวหลีกันใช่หรือไม่?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยถามขึ้นทันที นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้ ฉีฉีก็เคยเล่าให้นางฟังว่าในป่าแสงจันทร์แห่งนี้มีผลไม้ที่วิเศษชนิดนี้อยู่ด้วย

“ถูกต้องแล้ว”

บุรุษผู้ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มพยักหน้าและเดินเข้ามา

“ยินดีที่ได้พบท่านทั้งสาม พวกเราคือกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนสังกัดหน่วยที่สาม ข้าคือหัวหน้าหน่วยนามว่า–เสี้ยวฮัง  ส่วนคนเหล่านี้คือสมาชิกของเรา”

เสี้ยวฮังก้าวออกมา และกล่าวแนะนำตัวเองและสมาชิก

ฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว และลั่วอวิ๋น แต่ละคนล้วนแต่งตัวดูดีท่าทางจริงจังน่าเชื่อถือ  เสี้ยวฮังคิดว่าผู้ที่จะแต่งตัวดูดีเช่นนี้และยังอยู่ในเมืองเยว่กวางในช่วงเวลาใกล้ถึงเทศกาลอสูรล้อมเมืองได้ก็ต้องเป็นผู้ที่มีฐานะหรือไม่ก็มีฝีมือไม่น้อย  เขาจึงเจรจากับฉินอวี้โม่ด้วยความนอบน้อม

ในดินแดนหวงหลิงแห่งนี้ ความแข็งแกร่งถือเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง สำหรับกลุ่มทหารรับจ้างที่เคร่งครัดด้านระเบียบวินัยอย่างกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนแล้ว  เมื่อยังไม่แน่ใจอย่างชัดเจนในสถานะและความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายพวกเขาก็จะแสดงความเคารพยำเกรงไว้ก่อน

คำพูดแนะนำตัวอันนอบน้อมของเสี้ยวฮังทำให้ฉินอวี้โม่โค้งศีรษะกลับไปอย่างอ่อนน้อมเช่นกัน  เมื่อได้ยินชื่อกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มนี้อีกครั้ง นางก็อดนึกถึงบุรุษคนซื่อนามว่าชื่อเซียวผู้นั้นไม่ได้

นางได้ยินคนกลุ่มนี้พูดถึงนายน้อย นางจึงคิดว่าชื่อเซียวเองก็อาจจะมาที่เมืองเยว่กวางแห่งนี้ด้วยก็ได้

แม้ว่าในอดีตคนของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนจะไม่เห็นฉินอวี้โม่อยู่ในสายตา และในตอนนั้นเธอก็ไม่ชอบทัศนคติของพวกเขา ทว่าหลังจากที่พวกเขาได้ฟัง ‘สุนทรพจน์’ ของเธอไป พวกเขาก็ค่อยๆ สำนึกได้ ตอนนี้พวกเขาไม่มีความหยิ่งยโสในแบบผิดๆ เช่นนั้นกันอีกแล้ว ซึ่งนั่นก็ทำให้ฉินอวี้โม่มีความรู้สึกที่ดีกับกลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียน

และชื่อเซียวเองก็เป็นสุภาพบุรุษที่อ่อนน้อม ก่อนหน้านี้เขาก็ยังกังวลเรื่องความปลอดภัยของนางตอนอยู่ในถ้ำยูนิคอร์น  ฉินอวี้โม่จึงนับว่าชื่อเซียวเป็นบุคคลที่น่าคบหาคนหนึ่ง

“ข้าได้ยินว่าพวกท่านถูกปล้นบางอย่างไป พอจะบอกให้ข้าทราบได้หรือไม่ว่าเรื่องราวเป็นยังไงมายังไง?”

เนื่องจากอีกฝ่ายก็เป็นกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนที่มีไมตรีต่อนาง และพวกเขายังเกี่ยวข้องกับผลหลิวหลีที่นางสนใจ ฉะนั้นนักฆ่าสาวในร่างอดีตคุณหนูจึงอยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วย