ภาคที่ 2 บทที่ 106 ลำบากใจ

มู่หนานจือ

องค์หญิงเฉียนอันขานรับอย่างเชื่องช้า

ไทฮองไทเฮาถอนหายใจ และให้เครื่องประดับกับของล้ำค่าที่ไว้สำหรับเป็นรางวัลแก่นางจำนวนหนึ่ง แล้วส่งนางออกจากวัง

ในใจเจียงเซี่ยนเกิดความอยากรู้อยากเห็นอย่างเลี่ยงไม่ได้ “เสด็จยายจะสนับสนุนท่านป้าเฉียนอันหรือเพคะ?”

ไทฮองไทเฮาส่ายหน้า และเอ่ยว่า “ข้าขี้เกียจที่จะวุ่นวายงานในวังนี้แล้ว” แล้วถามถึงบ้านน้ำพุร้อนหลังนั้นของเจียงเซี่ยน “จะซ่อมแซมเสร็จเมื่อไร? ช่วงฤดูร้อนพวกเราไปพักร้อนที่อุทยานหลวงตะวันตกกันเถอะ!”

หมายความว่า ไทฮองไทเฮาไม่อยากอยู่ในวังแล้ว

แน่นอนว่าเจียงเซี่ยนรับปาก

ปีนี้เดือนสุดท้ายมีแค่ยี่สิบเก้าวัน ไม่มีวันที่สามสิบ

พอถึงวันที่ยี่สิบแปดเดือนสิบสอง ท่านหญิงตงหยางกับท่านหญิงอู่หยางก็เข้าวังมาคารวะไทฮองไทเฮา

เจียงเซี่ยนยังคงซ่อนอยู่ในห้องและไม่ออกไปเช่นเดิม แต่หานถงซินกลับมาหา

นางกวาดตามองห้องด้วยสายตาแวววาว และเอ่ยว่า “เจ้าอยู่คนเดียวหรือ? ทำไมไม่เห็นไป๋ซู่”

เรียกไป๋ซู่อย่างเต็มยศ ในน้ำเสียงแสดงความไม่เป็นมิตรออกมาเล็กน้อย

เจียงเซี่ยนไม่คิดที่จะต่อปากต่อคำกับนาง จึงสั่งให้นางในนำชาและของว่างมาให้นาง และเอ่ยว่า “นางอยู่ในห้องของนาง”

หานถงซินใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มขนมโก๋ในจานเล็ก พลางหลุบตาลงและเอ่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า ตระกูลไช่กำลังจะส่งแม่สื่อไปคุยเรื่องแต่งงานกับตระกูลเฉาอยู่แล้ว จู่ๆ ไป๋ซู่ก็ปรากฏตัวขึ้นมา…เดิมทีหรูอี้จะเข้าวังมาเป็นเพื่อนข้าด้วย ตอนนี้ก็ไม่กล้ามาแล้ว…”

หมายความว่าอย่างไร?

ตนเองชอบไม่กล้าพูด กลับออกหน้าช่วยเหลือในนามของคนอื่น?

แผนการแบบนี้ ก็ยังกล้าเอามาโอ้อวดต่อหน้านาง!

เจียงเซี่ยนยิ้มเยาะ และพูดแทงใจดำหานถงซินอย่างไม่ปรานีแม้แต่นิดเดียว “ครอบครัวที่มีลูกสาวก็ย่อมมีคนมาสู่ขอมากมาย ตอนที่เด็กสาวคนนี้ยังไม่แต่งงาน ก็มีคนขอแต่งมากมาย แต่สุดท้ายจะตกเป็นของตระกูลไหน กลับต้องแล้วแต่โชคชะตา ในเมื่อเฉาไทเฮาเลือกจ่างจูแล้ว ก็แสดงว่าคนที่มีวาสนากับเฉาเซวียนคือจ่างจู เจ้ากับไช่หรูอี้สนิทกันขนาดนั้น ข้าคิดว่าเจ้าควรจะเตือนนางสักหน่อยถึงจะถูก…นอกเสียจากว่าในอนาคตนางแต่งงานกับขุนนางตั้งแต่ระดับสี่ลงไป ไม่อย่างนั้นก็ต้องเจอกับไป๋ซู่บ่อยๆ อย่าพูดเรื่องนี้ที่นี่จะดีกว่า เฉาเซวียนคงไม่สนใจ กลัวก็แต่ว่าสามีในอนาคตของไช่หรูอี้จะรู้สึกไม่สบายใจ ถึงเวลานั้นเจ้าก็อย่ากลายเป็นคนที่ทำให้สามีภรรยาคนอื่นเลิกกันก็แล้วกัน”

“เจ้า!” หานถงซินโกรธจนตัวสั่นไม่หยุด “เห็นๆ อยู่ว่าไป๋ซู่เป็นคนทำร้ายหรูอี้…”

“เดี๋ยวข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าพูดกับท่านป้าตงหยาง” เจียงเซี่ยนเอ่ยแทรกหานถงซินอย่างเย็นชา “ให้นางมาตัดสินถูกผิดว่าเจ้าควรเป็นคนพูดเรื่องนี้หรือไม่” นางพูดไปก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยอีกว่า “ใช่แล้ว ข้าก็ควรจะเตือนไช่หรูอี้สักหน่อยเช่นกัน เจ้าจะได้ไม่พูดจาเหลวไหลจนทำลายชื่อเสียงของนาง…”

หานถงซินสะบัดแขนเสื้อและจากไปอย่างโมโห

เจียงเซี่ยนให้นางในเอาของที่หานถงซินเคยใช้ทั้งหมดออกไปทิ้ง

ไทฮองไทเฮารู้แล้วก็ถอนหายใจไม่หยุด และเอ่ยกับเมิ่งฟางหลิงเป็นการส่วนตัวว่า “เป่าหนิงก็นิสัยแข็งกร้าวเกินไปหน่อย ต่อไปจะทำอย่างไรล่ะ?”

เวลานี้นางยังมีชีวิตอยู่ จ้าวอี้ยังไม่แต่งงาน

พอนางไม่อยู่แล้ว จ้าวอี้มีฮองเฮาแล้ว ใครยังจะปกป้องเป่าหนิงของนางไม่ให้ถูกกลั่นแกล้งได้อีก

ไทฮองไทเฮาคิดอยู่ น้ำตาก็จะร่วงลงมาแล้ว

เมิ่งฟางหลิงที่กำลังดูแลให้ไทฮองไทเฮาพักผ่อนก็สังเกตเห็นเรื่องนี้เช่นกัน

หลังจากเทศกาลฉงหยาง เจียงเซี่ยนก็เจ้าอารมณ์มากขึ้นทุกวัน แม้แต่ต่อหน้าฮ่องเต้ บทจะโมโหก็โมโห เวลานี้ฮ่องเต้ยังเห็นแก่มิตรภาพตั้งแต่เด็ก พอเวลานานไป เจียงเซี่ยนย้ายออกจากวังไปอีก มิตรภาพนี้ก็มีแต่จะยิ่งจืดจางลงเรื่อยๆ เช่นกัน

ถึงเวลานั้นเจียงเซี่ยนจะรับได้หรือ?

เดิมทีเรื่องนี้นางไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย ทว่าเจียงเซี่ยนเป็นคนที่นางเห็นมาตั้งแต่เด็กจนโต ต่อให้เป็นคนที่ฉลาดแค่ไหนบางครั้งก็จะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นกัน นางอดที่จะเอ่ยเสียงเบาไม่ได้ว่า “ไทฮองไทเฮาเพคะ เรื่องแต่งงานของท่านหญิง เกรงว่าไทฮองไทเฮาคงต้องคิดให้หนักขึ้นแล้ว…สุภาษิตกล่าวไว้ ผู้หญิงแต่งงานก็เหมือนเกิดใหม่เป็นครั้งที่สอง ไม่ว่าจะดีหรือแย่ อีกครึ่งหนึ่งของชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไปก็ล้วนขึ้นอยู่กับการ”

“เหตุผลนี้ข้าก็เข้าใจ” ไทฮองไทเฮาสีหน้าจนใจมากขึ้น “แต่เจ้ามองไปยังขุนนางทั้งราชสำนัก มีใครเหมาะสมหรือ?”

เมิ่งฟางหลิงพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

ไทฮองไทเฮานอนลง และเอ่ยอย่างหนักใจว่า “เจ้าพูดมีเหตุผล พรุ่งนี้เป็นงานเลี้ยงรวมตัวทุกคนในครอบครัว เจ้าเชิญฮูหยินเจิ้นกั๋วกงมา เรื่องนี้ต้องปรึกษานางด้วย ข้าอยู่ในวัง รู้จักคนไม่มากเท่านาง”

เมิ่งฟางหลิงจำไว้ พลางคิดว่าฤดูหนาวกลางวันสั้น ทุกปีเวลานี้เหล่าสตรีบรรดาศักดิ์ก็จะพากันเข้าวังก่อนเดือนหนึ่ง จึงส่งคนไปเฝ้าประตูหลงฝูไว้ และรับฮูหยินเจิ้นกั๋วกงเข้ามา

ไทฮองไทเฮาก็ไม่พูดจู้จี้เช่นกัน นางบอกความต้องการของตนเองกับฮูหยินเจิ้นกั๋วกงทันที

ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงแปลกใจเล็กน้อย และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เวลานี้เป่าหนิงยังไม่ได้เข้าพิธีปักปิ่น ตอนนี้จะเร็วเกินไปหรือเปล่าเพคะ?”

เมื่อก่อนไทฮองไทเฮาเคยบอกว่า อย่างไรก็ต้องเก็บเจียงเซี่ยนไว้จนถึงอายุสิบหก

ไทฮองไทเฮาเอ่ยว่า “หมั้นไว้ก่อนก็ได้นี่นา! ถึงเวลานั้นจะได้ไม่ลนลานมาก จนหาใครสักคนให้นางลวกๆ”

ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงอยากเสนอหวังจ้าน ซื่อจื่อของตระกูลชินเอินป๋อมาก ทว่าเห็นท่าทางของไทฮองไทเฮา ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้คิดจับคู่เด็กทั้งสองคน นางจึงเก็บความคิดนี้ไว้ก้นบึ้งของหัวใจ พอออกมาจากห้องอุ่นตะวันออกของวังฉือหนิง ก็รั้งเมิ่งฟางหลิงที่มาส่งนางไว้ และเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านว่า ข้าเสนอซื่อจื่อของตระกูลชินเอินป๋อกับไทฮองไทเฮาดีหรือไม่?”

เมิ่งฟางหลิงมองนางในที่ตามหลังพวกนางอยู่ห่างๆ นางกดเสียงให้เบาลงและเอ่ยว่า “หากไทฮองไทเฮาสวรรคต เกรงว่าตระกูลชินเอินป๋อก็คงต้องซ่อนเร้นความสามารถเช่นกัน ท่านหญิงแต่งเข้าไป จะเป็นที่สนใจมากเกินไป และไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองคน”

ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงได้ยินแล้วก็ยากที่จะปิดบังความผิดหวังได้

เมิ่งฟางหลิงทำได้เพียงลอบถอนหายใจ

ทว่าเวลานี้เจียงเซี่ยนกลับอยู่กับหวังจ้านพอดี

หวังจ้านมองเจียงเซี่ยนด้วยนัยน์ตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และถามนางเสียงอ่อนโยน “สนุกไหม?”

เขาเอาตัวต่อไม้หลู่ปานชุดใหม่มาให้นาง

เจียงเซี่ยนไม่ค่อยถนัดเล่นของพวกนี้นัก จึงไม่รู้สึกสนุกแม้แต่นิดเดียว แต่หวังจ้านเป็นคนมอบของชิ้นนี้ให้ ต่อหน้าหวังจ้าน อย่างไรนางก็ต้องไว้หน้าเขาสักหน่อย

“พอใช้ได้!” นางวางตัวต่อไม้หลู่ปานในมือลง และให้ฉิงเค่อช่วยเก็บให้นาง “ไว้ข้าค่อยเอาออกมาเล่นตอนที่ว่าง”

หวังจ้านพยักหน้า

เจียงเซี่ยนถามถึงสถานการณ์ของเขาในหน่วยองครักษ์ “สนุกไหม? เข้ากับเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชาของท่านได้หรือไม่? มีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นหรือไม่?”

สายตาของหวังจ้านจับจ้องนางอยู่ชั่วครู่ เหมือนกำลังสังเกตนาง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยว่า “ข้าอยู่ที่นั่นสบายดี เข้าออกหน่วยทุกวัน ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ…”

ความจริงแล้วเขาอยากอธิบายกับเจียงเซี่ยนมาก ว่าเขาไม่อยากไปหน่วยองครักษ์ แต่หากเขาไม่ไปก็จะทำให้ฮ่องเต้ไม่พอใจ หากวันไหนฮ่องเต้คิดบัญชีกับตระกูลเจียงขึ้นมา นี่ก็จะกลายเป็นความผิดหนึ่งของตระกูลเจียงเช่นกัน ฮ่องเต้เพิ่งจะว่าราชการด้วยตนเอง และกำลังเป็นช่วงเวลาสร้างบารมี พวกเขาจึงไม่อาจปะทะกับฮ่องเต้ในเวลานี้ได้ มีเรื่องอะไรก็ทำได้เพียงวางแผนอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ทว่าคำพูดมาถึงปากแล้ว พอมองใบหน้าที่เหมือนไม่รู้อะไรเลยและไม่กังวลแม้แต่นิดเดียวของเจียงเซี่ยน เขาก็พูดไม่ออกอีก

บางทีเจียงเซี่ยนอาจจะรู้ทุกอย่าง เพียงแต่ไม่อยากคุยเรื่องพวกนี้กับเขาเท่านั้น

ความคิดแล่นผ่านไป หวังจ้านก็รู้สึกปวดใจเหมือนถูกมีดกรีด

ไป๋ซู่หมั้นแล้ว ต่อไปก็น่าจะเป็นเจียงเซี่ยนกระมัง?

หวังจ้านสูดหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าคำบางคำควรพูดต่อหน้าเจียงเซี่ยนให้ชัดเจนจะดีกว่า

เขาแอบมีความรู้สึกว่า หากตอนนี้เขาไม่พูด เกรงว่าต่อไปก็คงยิ่งยากที่จะมีโอกาสแบบนี้แล้ว

“เป่าหนิง…” เขาลุกขึ้นยืน และก้มมองเจียงเซี่ยน

เจียงเซี่ยนเงยหน้าขึ้นมา และเอ่ยว่า “มีอะไรหรือ?”

ดวงตาที่สีดำและสีขาวแยกกันอย่างชัดเจนสว่างไสวเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ราวกับจะส่องสว่างหัวใจของเขาได้

“ข้า…” หวังจ้านค่อยๆ เอ่ย

ทันใดนั้นก็มีนางในวิ่งมา “ท่านหญิง ท่านหญิง ขันทีหลิวจากท้องพระคลังขอเข้าพบเจ้าค่ะ!”

———————-