ตอนที่ 96 คำแนะนำของเฉาซื่ออี๋ (3)

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

ไม่จำเป็นต้องมอง เฉาซื่ออี๋ก็รู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ต้องแสดงท่าทีเกลียดชังเป็นแน่…แม้ใบหน้าจะไม่แสดงให้เห็นชัดเจน แต่ในใจย่อมชิงชังอย่างถึงที่สุด จงเสวี่ยฉิงทะนงตนเสียยิ่งกว่ากระไร นางสามารถคิดแผนการ แสร้งแสดงเป็นคนซื่อ ทั้งยังสามารถร้องไห้อย่างน่าสงสารได้…แต่ไม่อาจแสร้งทำเป็นโง่ได้แน่ เพราะว่านางเคยพูดไว้ หากจะหลอกคนอื่นได้ อันดับแรกก็ต้องก้าวผ่านตัวเองให้ได้เสียก่อน ให้นางแสร้งทำให้ตัวเองโง่ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ย่อมต้องเหมือนกับนางอย่างแน่นอน!

แต่ว่า เฉาซื่ออี๋มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปทีหนึ่ง ใบหน้านั้นกลับยังคงเผยรอยยิ้มอย่างเรียบนิ่ง แววตาก็ดูสงบเป็นอย่างมาก คล้ายกับไม่มีอารมณ์ใดพลุกพล่านแม้แต่น้อย นางลอบถอนหายใจเองอย่างเงียบเชียบ ดูท่าแล้ว เรื่องในปีนั้น คงจะกระทบจงเสวี่ยฉิงกว่าที่คิดไว้มาก นางย่อมไม่อาจลืมความเจ็บปวดนั้น และก็คงกังวลว่าลูกสาวของตัวเองจะได้รับการทำร้ายเช่นนั้น ดังนั้น กันไว้ดีกว่าแก้ ตั้งแต่เล็กก็ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้รับการอบรมสอนสั่งแบบที่คนปกติไม่อาจได้รับ ความคิดความอ่านล้วนต้องยอดเยี่ยมจึงจะถูก

“ข้าว่าเรื่องราวพวกนี้คุณหนูฉิงยังไม่แน่ว่าจะเข้าใจทั้งหมด แต่นางสามารถชี้แนะฮูหยินซั่งกวนได้ ก็คงจะพอรู้เรื่องพวกนี้อยู่บ้าง!” เฉาซื่ออี๋ถอนหายใจ รู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่อาจเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อนแน่ ความรู้สึกที่เล่นละครเองอยู่คนเดียวนั้นแม้จะอึดอัด แต่นางก็ทำได้เพียงกล่าวต่อไป เยี่ยนมี่เอ๋อร์ข่มกลั้นอารมณ์ได้มากกว่าที่นางคิดไว้มาก

“ท่านมีความเหนือกว่าที่มีเหมือนกัน นั่นก็คือพวกฮูหยินของตระกูลทั้งหลายล้วนไม่อาจเทียบได้ ผู้ที่สามารถเทียบเคียงกับท่านได้มีเพียงสองคน คนแรกคือฮูหยินหวัง อีกคนหนึ่งก็คือสะใภ้ใหญ่ของตระกูลมู่หรง” เฉาซื่ออี๋กล่าวอธิบาย

“ฮูหยินหวังเป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูล ไม่มีความกังวลอันใด ทุกอย่างของตระกูลย่อมเป็นนางทั้งหมด แม้ว่านางจะดูแลตระกูลของตนเอง ใช้อำนาจของตระกูลหวังเสริมความแข็งแกร่งให้กับตระกูลตัวเอง สำหรับตระกูลหวัง ก็เป็นเพียงเปลี่ยนของที่จับอยู่ในมือซ้ายเป็นมือขวาเท่านั้นเอง มีอะไรที่แตกต่างเล่า ดังนั้น นางไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้วิธีใดๆ มาผลักภาระของตระกูลให้มาเป็นของตนเอง ส่วนอีกคน หยางหานยวน สะใภ้ใหญ่ตระกูลมู่หรง นางเป็นผู้ที่รับช่วงต่อของตระกูลหยาง ตระกูล

หยางทั้งหมดล้วนเป็นของนาง ภายหลังก็จะกลายเป็นของลูกชายหรือลูกสาวคนต่อไปของนาง ตระกูลหยางอย่างน้อยสามรุ่นก็จะถูกรวมอยู่ในสาขาย่อยของตระกูลมู่หรง แม้ว่านางจะไม่อาศัยกำลังของตระกูลมู่หรงเพื่อช่วยตระกูลหยาง แต่คนของตระกูล มู่หรงก็ย่อมทุ่มเทลงแรงช่วยเหลือตระกูลหยางอยู่ดี ดังนั้นนางก็ไม่มีความจำเป็นต้องหลบหลีกเรื่องพวกนี้”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สำหรับหยางหานหยวนนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์มีความรู้สึกดีๆ ต่อนางไม่น้อย ใจกว้างเข้าอกเข้าใจผู้อื่น หลักแหลมหูตากว้างไกล  ทว่าในแววตาของนั้นกลับมีความคับข้องอยู่เลือนราง นางยากจะเรียกได้ว่าเป็นหญิงสาวที่เป็นคนโชคดี ไม่ใช่เพราะว่านางไม่ดีพอ แต่ในยามที่มู่หรงปั๋วเย่พบนางก็ได้มีใจให้คนอื่นไปแล้ว ในขณะเดียวกันมู่หรงปั๋วเย่ก็ชอบหญิงสาวประเภทที่อ่อนหวานบอบบาง เว้นเสียแต่ว่าจะทำให้เขาได้เจอกับความน่ากลัวของความบอบบาง มิเช่นนั้น เขาก็คงยากจะเห็นถึงความดีของหยางหานหยวน

“ท่านไม่คิดว่าท่านและพวกนางมีจุดที่เหมือนกันหรอกหรือ?” เฉาซื่ออี๋เห็นได้ชัดว่าเข้าใจผิดกับท่าทีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ พ่อของท่าน…เฮ้อ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดคุณหนูฉิงจึงแต่งเข้าไปในตระกูลพ่อค้าวาณิช และยิ่งไม่เข้าใจอีกว่าทำไมต้องเป็นภรรยารอง แม้ว่านายท่านเยี่ยนจะรับคุณหนูฉิงในฐานะภรรยารอง สละยศถาบรรดาศักดิ์เล็กๆ ให้ แต่ก็…”

จะมีกี่คนกันที่สามารถเข้าใจถึงความคิดของท่านแม่? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มขมขื่นอยู่ในใจ แม้กระทั่งนางที่เป็นลูกสาวยังไม่รู้เลย ท่านแม่รักท่านพ่อ หรือว่าเป็นเพราะอยู่ด้วยกันจึงค่อยๆ เกิดเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งขึ้นมา ผู้อื่นจะสามารถเข้าใจได้อย่างไร? แต่ที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งกว่าก็คือ นายท่านเยี่ยนไม่ได้พำนักอยู่ที่ลี่โจวนานนัก หลังงานแต่งงานวันที่สามก็ออกจากลี่โจวไป เหลือเพียงประโยคเดียวที่มอบให้กับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ‘ใช้ชีวิตให้ดี!’ นางคิดว่า บิดานั้นเข้าใจตัวเอง รู้ว่าในสมองนางนั้นมีความคิดอยู่มากมาย ดังนั้นจึงได้กล่าวเช่นนี้ แต่นาง กลับมีความเข้าใจต่อบิดาน้อยเหลือเกิน

“แต่ว่า ชาติกำเนิดเช่นนี้ ทั้งความสัมพันธ์ที่แข็งทื่อของพ่อลูกเช่นนั้น อย่างน้อยก็บ่งบอกถึงเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือแม้ว่า นายท่านเยี่ยนจะทำเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลเยี่ยน ต้องการให้ท่านออกมือช่วยเหลือ ท่านก็ไม่แน่ว่าจะรับปาก! หรือแม้จะรับปาก เรื่องเหล่านั้น สำหรับตระกูลซั่งกวนแล้วก็ล้วนถือเป็นเรื่องเล็กๆ เท่านั้น ไม่อาจกระทบมาถึงผลประโยชน์ตระกูลซั่งกวนได้ ดังนั้น ท่านไม่มีความจำเป็นต้องอ่อนข้อในการทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ หากไม่ใช่เพราะได้ไตร่ตรองถึงทุกส่วนแล้ว คุณหนูฉิงก็คงไม่ตอบรับงานแต่งงานครั้งนี้หรอก!” เฉาซื่ออี๋นั้นนับถือจงเสวี่ยฉิงเป็นอย่างมาก จงเสวี่ยฉิงสำหรับนางแล้ว เป็นคนที่นางปรารถนาให้สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ตลอดไป

บางทีอาจจะเป็นเช่นนั้น ดังนั้นตั้งแต่เล็กท่านพ่อจึงได้ห่างเหินกับตัวนาง เพื่อให้ตัวนางสามารถแต่งเข้าไปในตระกูลซั่งกวนได้ สามารถมีที่พึ่งพิงอันแข็งแกร่ง! เยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้าใจนายท่านเยี่ยนขึ้นมาหน่อยแล้ว บางทีก็อาจจะเป็นดั่งที่ท่านแม่กล่าวในจดหมาย หากมีวันหนึ่ง ตัวเองได้พบเจอกับทางตันจริงๆ เขาก็จะใช้พุงอ้วนฉลุนั้น มาคุ้มกันลมฝนให้ตัวเอง!

“คำพูดพวกนี้ล้วนมาจากการกลั่นกรองเล็กน้อยของข้า หลักๆ ควรทำอย่างไร ข้าเชื่อว่าตัวท่านเองสามารถกระจ่างใจได้!” เฉาซื่ออี๋ถอนหายใจ มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่อยู่ในท่าทีเรียบนิ่งอย่างหงุดหงิดใจอยู่บ้าง “นี่ไม่ใช่จุดประสงค์ที่ข้ามาที่นี่

จุดประสงค์หลักของข้านั้นยังคงเป็นการพาคุณหนูตระกูลซั่งกวนทั้งสองกลับไปด้วย!”

“ก่อนหน้านี้ไม่ใช่พูดว่าแค่จิงอิ๋งหรอกหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างราบเรียบ “เหตุใดแม้แต่หลิงหลงก็จะพาไปด้วยเล่า? อย่าบอกนะว่าเพราะคำพูดส่งเดชที่ข้ากล่าวออกไปประโยคนั้น!”

“ไม่ใช่แน่นอน!” เฉาซื่ออี๋รู้ว่าประโยคนั้นเป็นเพียงข้ออ้างหนึ่งที่นางหาได้ แม้ว่าจะไม่มีประโยคนั้น นางก็จะคิดหาวิธีพาหลิงหลงไปด้วยอยู่ดี

“แล้วเป็นเพราะเหตุใด?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จิบชาไปหนึ่งคำ แทบที่จะเย็นชืดโดยสิ้นเชิง รสขมนั้นแผ่กระจายอยู่บนลิ้น ทำให้นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเท่าไร วางถ้วยชานั้นลง

“สะใภ้ใหญ่รู้ใช่ไหมว่าซั่งกวนเจวี๋ยมีหญิงสาวคนสนิทอีกสามคน?” เฉาซื่ออี๋ถามอย่างโมโหอยู่บ้าง ในยามที่ทราบเรื่องนี้นางนั้นมีโทสะอย่างถึงที่สุด แทบอยากจะสอดมือเข้าไปยุ่งกับการแต่งงานครั้งนี้ แต่ประโยคเดียวของพ่อบุญธรรมทำให้นางจำต้องยกเลิกความคิดนี้ไป แต่เฉามู่ฉุ่ยถึงขนาดย้อนถามออกมาหลายคำถาม นางจะใช้ฐานะอันใดมาสอดแทรกเรื่องนี้? แล้วนางจะทำอย่างไรให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เชื่อมั่นได้ว่านางปรารถนาดี? หลังจากสอดมือยุ่งเรื่องงานแต่งครั้งนี้แล้ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ควรจะทำอย่างไรต่อไป? นางมีความเชื่อมั่นเต็มร้อยหรือไม่ว่าจะสามารถหางานแต่งงานที่ดีกว่านี้ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้?

เฉาซื่ออี๋เงียบไป นางรู้ว่าเฉามู่ฮุ่ยยังมีอีกหนึ่งคำถามที่ยังไม่ได้ถามออกมา นั่นก็คือนางมีความสามารถพอที่จะรับประกันความสุขกายสบายใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้หรือไม่?

นางไม่รู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์สืบทอดกรรมพันธุ์จากใบหน้าของจงเสวี่ยฉิงมากี่ส่วน แต่นางกระจ่างใจดีว่ารูปลักษณ์ของจงเสวี่ยฉิง ลูกพี่ลูกน้องหญิงของนางผู้นั้น แม้แต่บรรดาคุณหนูกุ้ยเฟยในยามนั้นก็ล้วนเทียบไม่ติด ผู้ที่งามล่มเมืองผู้นั้น ให้กำเนิดลูกสาวก็ยังเป็นองค์หญิงที่งดงามที่สุดของต้าเยียน หญิงสาวเช่นนั้นกำเนิดในตระกูลธรรมดา สำหรับตระกูลแล้วนับว่าเป็นดาบสองคมอาจจะดีหรือไม่ดี แต่หญิงสาวเช่นนั้น หากแต่งออกไปในตระกูลที่ธรรมดา ก็จะถูกรังแกข่มเหงเพราะมีความโดดเด่น ไม่ช้าก็เร็วย่อมนำปัญหาร้ายมาให้ทั้งครอบครัวและตนเอง หากเยี่ยนมี่เอ๋อร์งดงามเหมือนกับมารดา ตำแหน่งและความแข็งแกร่งของตระกูลซั่งกวน อย่างน้อยก็พอที่จะรับประกันได้ว่านางจะไม่ถูกคนมักมากในกามลอบมองใคร่ครอง ส่วนอื่นๆ ก็ล้วนแต่ค่อยๆ จัดการได้

ดังนั้น หลังจากเฉาซื่ออี๋ครุ่นคิดครั้งแล้วครั้งเล่า จึงตัดสินใจเข้ามาหลังจากงานแต่งของเยี่ยนมี่เอ๋อร์และซั่งกวนเจวี๋ย อีกครั้ง มิเช่นนั้นนางก็ไม่กล้ามั่นใจว่าตัวเองจะเผลอบุ่มบ่ามทำเรื่องลงไปหรือไม่ ทำความผิดครั้งใหญ่ที่ไร้ทางจะแก้ไข!

“ทราบแล้ว หงหลัวซา สือหย่าฉี เทพธิดาหยก อวี้เมิ่งเหยา และหวงเซียวเซียง จอมยุทธ์หญิงเซียวเซียง จอมยุทธ์หญิงที่ล้วนแต่มีความโดดเด่นแตกต่างกันไป ยามนี้พำนักชั่วคราวที่เรือนหิมะสุขใจ หรือบางทีพรุ่งนี้พวกนางก็อาจจะมาปรากฏกายต่อหน้าข้าก็ได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบนิ่ง นางไม่รู้ว่าหญิงสาวสามคนนั้นจะปรากฏตัวหรือเปล่า แสดงตัวออกมาในเวลาไหน แต่นางได้เตรียมการณ์มาแล้ว และกลยุทธ์ของนาง ต่อให้สถานการณ์จะพลิกเปลี่ยนไปเช่นไร ก็ค่อยจัดการไปตามนั้น ในเมื่อซั่งกวนเจวี๋ยเป็นคนที่นางชื่นชอบผู้นั้น เช่นนั้นหญิงสาวที่เดิมทีจะอย่างไรก็ได้เหล่านั้น นางก็ไม่อาจเหลือไว้ได้แม้แต่คนเดียว หรือกระทั่งอู๋เลี่ยนเยี่ยนที่ถูกห้อยในฐานะเมียบ่าวก็เช่นกัน…

“ภาพวาดของหญิงสาวสามคนนั้นข้าล้วนเคยเห็นมาหมดแล้ว ไม่ได้งดงามหยาดเยิ้มเทียบกับเจ้าได้ แต่ก็เป็นดั่งที่เจ้าว่า ล้วนมีความโดดเด่นต่างกันไป พวกนางมีบุคลิกนิสัยที่มีความพิเศษ สำหรับท่านแล้วนับว่าเป็นศัตรูที่แข็งแกร่ง ท่านไม่อาจเอาแต่นั่งดูดายปล่อยให้พวกนางเข้าตระกูลมาได้!” เฉาซื่ออี๋กล่าวอย่างกังวล “อย่าพูดเรื่อยเปื่อยว่าไม่อิจฉาริษยาอะไร ท่านต้องตื่นตัว ทำให้พวกเขาอย่าได้มีโอกาสใดใดเข้าใกล้ซั่งกวนเจวี๋ย!”

“หลังจากนั้นล่ะ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายหัว “หลังจากนั้นสามีก็จะแปลกใจ เหตุใดพวกนางจึงทำให้ข้าเห็นเป็นดั่งศัตรูได้ แม้แต่ความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับพวกนางก็ยังไม่มี หรือเพราะในตัวพวกนางมีอะไรที่ทำให้ข้ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ จากนั้นเขาก็จะคิดหาวิธีเข้าใกล้จอมยุทธ์หญิงที่มีความพิเศษต่างจากผู้อื่นพวกนั้น เสาะหาแสงสว่างที่ส่องประกายของพวกนาง หรือเมื่อเป็นเช่นนี้ สามีก็จะหลงรักพวกนาง จากนั้นไม่ว่าจะรับเป็นอนุภรรยาหรือภรรยารอง ข้าก็ทำได้แต่ต้องรับชะตากรรมเท่านั้น! ท่านไม่รู้สึกว่าความคิดของท่านคล้ายกับตำนานที่กุ่นแก้ไขปัญหาน้ำท่วม[1] หรอกหรือ น้ำที่ไหนเพิ่มขึ้นสูง ก็เอาดินไปอุดที่นั่น สุดท้ายก็อุดป้องกันจนเป็นตัวเองที่ตาย”

“เช่นนั้นความหมายของเจ้าก็คือใช้วิธีขุดลอกคลองให้น้ำไหลออกไป?” เฉาซื่ออี๋ขมวดคิ้ว “ท่านไม่เคยคลุกคลีกับหญิงสาวทางยุทธภพพวกนี้ พวกนางกล้าพูดกล้าทำทั้งยังแสดงละครเก่ง ไม่อาจมองพวกนางแบบคนธรรมดาได้ หนำซ้ำ พวกนางล้วนแต่เป็นวรยุทธ์ หากถึงเวลานั้น พวกนางไม่อยากจะแข่งขันกับท่าน แต่เปลี่ยนเป็นลอบสังหารแทน ท่านจะทำอย่างไรล่ะ?”

“ไม่ ข้าจะไม่อุดกั้นหรือขุดลอกน้ำทั้งนั้น แต่จะปล่อยให้น้ำไหลไปเอง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ “ข้าไม่อาจเห็นพวกนางอยู่ในสายตา ข้าแทบจะสามารถมองข้ามการมีอยู่ของพวกนางได้อย่างสิ้นเชิง! พวกนางมีแผน มีความคิด นั่นแล้วอย่างไร? พวกนางไม่มีตำแหน่งอันใด ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พวกนางก็ล้วนเป็นเพียงนางจิ้งจอกที่ล่อลวงสามีผู้อื่นก็เท่านั้น!”

“ท่านรู้หรือไม่? สิ่งที่พวกสะใภ้ตระกูลใหญ่ๆ กังวลที่สุดไม่ใช่เรื่องที่สามีรับอนุภรรยา แต่เป็นอนุภรรยาที่มีตัวตนเป็นหญิงทางยุทธภพต่างหาก พวกนางไม่อาจถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์ ทั้งทำให้พวกคุณชายเหล่านั้นได้รู้สึกแปลกใหม่ ที่สำคัญกว่านั้นคือหญิงสาวเหล่านี้ หากไม่มีส่วนที่สามารถดึงดูดพวกเขาได้พอ พวกเขาก็ไม่อาจรับเข้ามาเป็นอนุภรรยาอย่างส่งๆ ได้อยู่แล้ว” เฉาซื่ออี๋กล่าวอย่างร้อนใจ “อนุภรรยาที่พวกฮูหยินเกลียดเข้ากระดูกก็เป็นพวกที่อยู่ในยุทธภพด้วยกันทั้งนั้น ท่านอย่าได้ประมาทพวกนางเชียว!”

“ข้าไม่ได้ประมาทพวกนาง แต่ไม่อยากจะต่อสู้กับพวกนางต่างหาก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มเล็กน้อย นางรู้ดี ซั่งกวนเจวี๋ย คงชื่นชอบหญิงสาวยุทธภพประเภทที่ใจกล้า เจ้าเล่ห์แสนกล และดื่มสุราเก่ง จอมยุทธ์หญิงพวกนี้เป็นเพียงผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาซั่งกวนเจวี๋ยก็เท่านั้น…จิงอิ๋งได้เล่าเบื้องลึกเบื้องหลังของพวกนาง ทั้งยังเรื่องที่พวกนางไล่ตามมาที่ตระกูลให้นางฟังแล้ว ตามความเห็นของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ พวกนางไม่ได้มีท่าทีคุกคาม ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องลงมือก่อน แทนที่จะชิงจัดการอย่างไม่เหมาะสม มิสู้พลิกแพลงไปตามสถานการณ์ดีกว่า ถือโอกาสใช้พวกนางแสดงให้เห็นว่าตัวนางนั้นใจกว้าง หากซั่งกวนเจวี๋ย

ชมชอบพวกนางจริงๆ เช่นนั้นนางก็ไม่หวั่นเกรงแม้มือจะต้องเปื้อนเลือดเสียหน่อย หากว่าซั่งกวนเจวี๋ยหลงใหลพวกนางถึงขั้นที่ไม่อาจถอนตัวได้ นางก็จะบังคับตัวเองที่ยังไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งผูกพันถึงขั้นขาดเขาไม่ได้ ตัดขาดความทุกข์ระทมจากทางโลก แสวงหาทางเดินอื่น

“แต่มีบางครั้งที่เจ้าไม่อาจปฎิเสธการต่อสู้ได้!” เฉาซื่อี๋ไม่เข้าใจว่าไฉนเยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงเป็นเช่นนี้ ต้องรู้ว่าจงเสวี่ยฉิงนั้นหวงอาหารเป็นอย่างมาก ขอแค่เพียงนางชอบ ย่อมต้องไขว่คว้ามาให้ได้ ไม่ยอมให้ผู้ใดสอดมือเข้ามายุ่งทั้งนั้น แต่นางหารู้ไม่ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เหมือนกัน แต่เพียงเพราะเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังไม่เชื่อใจนางมากพอ ไม่มีความจำเป็นต้องบอกนางว่าตัวเองนั้นก็มีวิธีที่จะใช้จัดการกับจอมยุทธ์หญิงสามคนนั้น

“ท่านไม่ต้องกังวลใจแทนข้า แม้ท่านจะไม่เข้าใจข้า แต่ก็คงจะรู้ว่าท่านแม่ไม่อาจเลี้ยงดูลูกสาวให้คนมารังแกได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ปลอบใจไปสองประโยค คล้อยหลังก็วกกลับมาที่คำถามก่อนหน้านี้ “ท่านยังไม่ได้บอกเลยว่าเหตุใดจึงพาจิงอิ๋งและหลิงหลงไปด้วยกัน? เหตุผลเล่า?”

———————————–

[1] ตำนานกุ่นแก้ไขปัญหาน้ำท่วม เป็นตำนานเรื่องเล่าของจีน ตามตำนานกุ่นได้รับคำสั่งให้ไปแก้ไขปัญหาน้ำท่วมโดยเขาเลือกใช้วิธีสร้างเขื่อนกั้นน้ำ แต่ก็ไม่เป็นผลและถูกประหารในที่สุด ต่อมาลูกชายได้รับคำสั่งให้รับช่วงต่อ เขาใช้วิธีขุดลอกคูคลอง ผ่านไปสิบสามปีจึงแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้สำเร็จ