บทที่ 96 รับภารกิจ (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ลู่เซิ่งมองสองคนด้วยรอยยิ้ม จากการสังเกตในหลายวันมานี้ โรคร้ายบนตัวเด็กสาวทั้งสองทุเลาลงอย่างชัดเจนหลังได้รับการรักษา เป็นแค่โรคผิวหนังขั้นรุนแรงเท่านั้น การทำงานเป็นผู้ช่วยก็ไม่เลว คล่องแคล่วยิ่ง เรื่องหยุมหยิมมากมายที่จำเป็นต้องจัดการหลังฝึกวรยุทธ์เช่นซักเสื้อผ้า ทำความสะอาด งานจุกจิก ตักน้ำ ลู่เซิ่งให้พวกนางจัดการทั้งหมด ทั้งสองคนทำงานของเฉี่ยวเอ๋อร์ได้ไม่เลว หนำซ้ำยังทำได้ดีกว่า

ขณะมองความเข้าใจและความยินดีบนใบหน้าเด็กสาวทั้งสอง ลู่เซิ่งหวั่นไหว พวกนางมีความเป็นมาเร้นลับ ทั้งครอบครองความสามารถพิเศษ ตอนนี้กลับลองส่งถ่านไม้กลางหิมะ[1] ผูกมิตรไว้ก่อนได้

เขากล่าวอย่างใคร่ครวญ “ถ้าพวกเจ้าอยากเรียน ข้าจะสอนกระบวนดาบพื้นฐานบางส่วนให้ได้ ข้าดูออกว่าพวกเจ้าไม่เคยเรียนกระบวนท่าต่อสู้กับคนมาก่อน”

เด็กสาวทั้งสองพลันยินดี

“คุณชาย… ได้จริงๆ หรือ?!” หลิ่วฉินกล่าวอย่างประหลาดใจและยินดี

“แน่นอน เป็นการเคลื่อนไหวพื้นฐานบางส่วนเท่านั้น” ลู่เซิ่งพยักหน้า แล้วแสดงการแทงไปด้านหน้าอันเป็นท่าหนึ่งในวิชาดาบวาฬแดงพื้นฐานอย่างละเอียด ให้สองคนดูรอบหนึ่ง

พลพรรคบางส่วนมาล้อมวงรอบๆ โดยไม่รู้ตัว อย่างไรยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ระดับลู่เซิ่งชี้แนะวิทยายุทธให้คนด้วยตัวเอง โอกาสแบบนี้หายากยิ่ง

ลู่เซิ่งสาธิตอย่างละเอียด จากนั้นให้พวกนางจับคู่ฝึก คอยปรับท่วงท่าให้ ขณะเดียวกันก็อธิบายความเข้าใจของตนต่อดาบวาฬแดงให้แก่สมุนในพรรคที่อยู่รอบๆ

เวลายามเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างก็เบิกบานนับถือ ไม่ได้กลัวหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่ที่ภายนอกดุร้ายเท่าก่อนหน้า แต่เพิ่มความสนิทสนมขึ้น

หลิ่วฉินกับหลิ่วไฉ่อวิ๋นสองเด็กสาวค่อยๆ มีสีหน้าเคารพลู่เซิ่งเพิ่มขึ้น ไม่ว่าพฤติการณ์ที่รับพวกนางไว้แม้จะรู้ว่ามีอันตราย หรือการชี้แนะวิทยายุทธอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ คุณชายลู่ผู้แปลกหน้าคนนี้ช่วยพวกนางเยอะกว่าคนอื่นมาก

หลายวันให้หลัง ลู่เซิ่งยังคงชี้แนะกระบวนท่าพื้นฐานส่วนหนึ่งให้แก่คนทั้งสอง บอกให้พวกนางฝึกฝนกระบวนดาบพื้นฐานซ้ำๆ เด็กสาวทั้งสองรู้สึกว่าอานุภาพมากกว่าก่อนหน้าที่พวกนางฝึกฝนกันมั่วซั่ว ตอนจับคู่สู้ก็มีจังหวะและความมั่นใจที่มีลำดับขั้นตอนในการรุกถอย

ที่แล้วมาเมื่อพวกนางสู้กับภูตผี เพียงอาศัยไพ่ตายของตัวเองจึงค่อยทำได้ และไพ่ตายจำเป็นต้องประชิดตัวจึงจะเห็นผล เป็นเพราะพวกนางไม่รู้จักกระบวนท่าจู่โจม ทุกครั้งล้วนเสี่ยงชีวิตค่อยฝืนบรรลุเป้าหมาย

แต่ขณะนี้มีการชี้แนะของลู่เซิ่ง พวกนางสองคนในที่สุดก็มีโอกาส จากคนธรรมดาที่ไม่เป็นอะไรเลย ลอกคราบกลายเป็นนกน้อยที่ใช้วิชาโจมตีขั้นพื้นฐานได้นิดหน่อย

อย่างค่อยเป็นค่อยไป เด็กสาวทั้งสองเริ่มทำตัวเป็นลูกศิษย์ลู่เซิ่ง วางตัวเองในตำแหน่งลูกศิษย์อย่างเข้าท่าเข้าทาง

ลู่เซิ่งไม่ได้ว่าอะไร สิ่งที่เขาสอนเป็นพื้นฐานส่วนหนึ่ง ไม่ว่าพลพรรคที่ฝึกฝนวิชาดาบวาฬแดงได้ดีหน่อยคนใดก็ใช้เป็นทั้งนั้น

แต่ว่าพื้นฐานเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่สองพี่น้องต้องการที่สุดในตอนนี้

เขาทางหนึ่งสอนทั้งสองคน ทางหนึ่งทุกๆ หลายวันจะแช่น้ำโอสถถังหนึ่งเพื่อยกระดับวิชาโซ่เก้าสินธุ

ทำสองอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ขณะที่สิ้นเปลืองวิชาหยินหยางกระเรียนหยกกับคุณสมบัติของร่าง เขาก็ยกระดับวิชาแข็งกร้าววิชานี้ถึงระดับสามซึ่งเป็นขั้นสูงสุดอย่างรวดเร็ว

เมื่อผิวหนังเขาใช้วิชาแข็งกร้าว จะมีลวดลายสีดำเหมือนเชือกหลายเส้นกระจายทั่วร่างโผล่ขึ้นมา ความแข็งแกร่งของร่างกายก็บรรลุขอบเขตใหม่ เป็นระดับพลังปลอดโปร่งทั่วไป ขอแค่ไม่ใช้อาวุธมีคมที่มีความคมสุดขีด ฟาด ทุบใส่ตัวเขา ต่างป้องกันได้โดยไม่บุบสลาย

แต่สิ่งที่ลู่เซิ่งคิดยกระดับเป็นหลักยังเป็นวิชาลมปราณแดงฉานอันเป็นแกนหลัก วิชาภายในวิชานี้บรรลุจุดสูงสุดแล้ว คิดจะเพิ่มระดับ จำเป็นต้องใช้ปราณหยินเรียนรู้

ปราณหยินที่ดูดจากถุงบัวของผีตัวที่ฆ่าไปก่อนหน้าน้อยเกินไป ไม่พอจะเรียนรู้วิชาลมปราณแดงฉานระดับเจ็ด

เขาจำเป็นต้องไปหาปราณหยินมาเสริมจากที่อื่น

พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือนโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ลู่เซิ่งไปๆ มาๆ ระหว่างศาลาประกาศยุทธกับที่พัก และรอข่าวจากโถงสมบัติเลิศมาโดยตลอด ขณะเดียวกันเขาก็ทดลองไปติดต่อผู้อาวุโสจางไป๋อวี้ในพรรค แต่สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังคือ ผู้อาวุโสจางตอบรับคำขอชมโบราณวัตถุของเขาอย่างเต็มใจยิ่ง ให้เขาไปชมของสุดรักที่ตนเก็บไว้ น่าเสียดายไม่มีปราณหยินเลยสักชิ้น

ลู่เซิ่งให้ความสนใจคลังของพรรควาฬแดงอย่างรวดเร็ว ด้านในเก็บวัตถุหลายประเภท นอกจากสินสงคราม ของแลกเปลี่ยนหลากหลาย ก็มีเครื่องประดับเล็กๆ ส่วนหนึ่ง แต่เป็นเพราะส่วนใหญ่เป็นของใหม่ ปราณหยินไม่ต้องเอ่ยถึง

สุดท้ายลู่เซิ่งก็คว้าน้ำเหลว

ข่าวที่ประมุขพรรคเฒ่าส่งมาคับขันขึ้นเรื่อยๆ เจินอี้จากตระกูลเจินซึ่งเป็นคุณชายที่เขาเคยเจอ ถูกโจมตีในเมืองต้นฉัตรที่อยู่ใกล้เมืองป่าบูรพา ได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกส่งกลับตระกูลเจิน

ในที่สุดเขาก็ได้รับภารกิจมุ่งหน้าไปเก็บกวาดสนามรบที่หมู่บ้านตระกูลซ่ง ที่นั่นเพิ่งเกิดศึกใหญ่ จัตุรัสแดงทิ้งซากของภูตผีหลายตัวไว้ที่นี่

ภารกิจที่ทำให้ยอดฝีมืออันดับสามระดับลู่เซิ่งเคลื่อนไหวได้ อันตรายย่อมไม่ธรรมดา ต้องมีคนของหอแดงเคลื่อนไหวลอบสังหารแน่นอน คล้ายกับต้องนำบางสิ่งจากหมู่บ้านตระกูลซ่งกลับไป

หลังรับภารกิจ ลู่เซิ่งไม่พูดพร่ำทำเพลง ถือดาบสองเล่มที่เพิ่งได้มา นำคนไปยังหมู่บ้านตระกูลซ่ง ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเพิ่งเข้าร่วมงานศพของลู่เฉินซินที่บ้าน สภาพการณ์รุนแรงขึ้น บวกกับความต้องการต่อปราณหยิน จึงให้ความสำคัญต่อภูตผีเหล่านี้

หมู่บ้านตระกูลซ่ง

ลู่เซิ่งยืนอยู่นอกประตู มองลานทรุดโทรมด้านใน นอกจากร่องรอยถูกไฟเผา กำแพงรอบหมู่บ้านตระกูลซ่งล้มไปแถบใหญ่ อาคารด้านในเป็นหลุมเป็นบ่อ เหมือนกับวัดร้างที่ไม่ได้ซ่อมแซมมานานปี

ตามข่าวตระกูลเจินเข้าไปเก็บกวาด ความประหลาดลี้ลับด้านในถูกขจัดโดยสมบูรณ์แล้ว เพียงแต่มีซากไม่น้อยเหลืออยู่ ถ้าไม่กำจัดจะก่อให้เกิดตัวแปรใหม่ง่ายดายยิ่ง ดังนั้นจึงให้พรรควาฬแดงมาจัดการ

พลพรรคหลายสิบคนล้อมอยู่รอบหมู่บ้านตระกูลซ่งก่อนลู่เซิ่งจะมา ผู้รับผิดชอบเป็นผู้จัดการภารกิจภายในแซ่หวังคนหนึ่ง

เห็นลู่เซิ่งมาถึง หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายในหวัง แทบถอนหายใจเฮือกใหญ่ ชายฉกรรจ์ที่มีน้ำหนักหนึ่งร้อยแปดสิบชั่งผู้นี้ เฝ้าหมู่บ้านตระกูลเซิ่งได้เจ็ดแปดวัน ก็ผอมลงเกือบสามสิบชั่ง

หลังจากมอบงานให้ลู่เซิ่ง หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายในหวัง ก็รีบกลับไปพักผ่อน เขาจะทนไม่ไหวแล้ว

สำรวจสภาพของหมู่บ้านตระกูลซ่งในตอนนี้ ลู่เซิ่งเงยหน้ามองท้องฟ้า

ยามกลางอู่ เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์โชติช่วงที่สุด อาทิตย์บนศีรษะร้อนแรงแผดเผา

เขามองพวกต้วนเหมิ่งอันและนิ่งซานที่อยู่ข้างๆ ด้านหลังยังมียอดฝีมือระดับพลังปลอดโปร่งห้าคนของโถงอินทรีเหิน

“พวกเจ้าเฝ้าอยู่ด้านนอก ห้ามให้ผู้ใดเข้าไป ข้าจะเข้าไปดู” เขาสั่ง

“ขอรับ!” ทุกคนรีบขานรับ

ผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุดในโถงอินทรีเหินเป็นมือกระบี่ร่างคล้ำที่ชื่อสวีชุย เป็นบุรุษวัยกลางคน เป็นกระบี่เร็วที่แม้แต่ลู่เซิ่งก็สนใจ เทียบกับดาบถลาลมในตอนแรกของเขาเร็วกว่าไม่ต่ำกว่าหนึ่งขั้น

คนผู้นี้เคยแสดงความสามารถ ฟันโต๊ะเป็นสี่เหลี่ยมหกส่วนอย่างเรียบร้อย ขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนที่ลู่เซิ่งเล็งผลเลิศมากที่สุดในโถงอินทรีเหิน เป็นยอดฝีมือที่มีความหวังว่าจะเลื่อนถึงระดับสำนึกปลอดโปร่ง

“หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก ต้องให้ข้าไปด้วยหรือไม่” สวีชุยลังเลเล็กน้อย ส่งเสียงด้วยตัวเอง เขาเดิมเป็นคนประเภทซุ่มฝึกฝนอย่างหนักในโถงอินทรีเหิน นิสัยค่อนข้างซื่อตรง หลังลู่เซิ่งรวบรวมพวกเขา ก็ไม่ได้ยึดผลประโยชน์เดิม ยังคอยชี้แนะตลอดเวลา ตอนนี้เขาจึงค่อยๆ เกิดความรู้สึกอยู่ในสังกัดลู่เซิ่งทีละนิด

“เจ้าไม่กลัวหรือ” ลู่เซิ่งหันไปมองเขาแวบหนึ่ง

“พวกเราฝึกวรยุทธ์ ไม่ใช่เพราะเวลานี้หรอกหรือ?” สวีชุยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ผ่าเผยยิ่ง

ลู่เซิ่งครุ่นคิด ถามว่า

“เจ้าแต่งงานหรือยัง”

สวีชุยพยักหน้า “มีบุตรคนหนึ่ง หนึ่งหลวงหนึ่งอนุ”

“อย่างนั้นไปเถอะ” ลู่เซิ่งพยักหน้าให้เขาติดตาม “ถ้าเจ้ายังไม่แต่งงาน ข้าไม่อยากให้ตระกูลสวีไร้ผู้สืบทอด”

สวีชุยหัวเราะ “ข้าเชื่อมั่นในตัวหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่ ขอแค่ไม่เจอภูตผีกับพวกสุนัขน้อยแห่งหอแดง อยู่ต่อหน้าหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกก็เพียงเท่านั้น”

“หอแดงมีผู้คุมหอสี่คน ขอแค่ไม่ใช่ยอดฝีมือระดับนี้ ข้ายังเชื่อมั่นว่าจะปกป้องความปลอดภัยให้เจ้าได้” ลู่เซิ่งหัวเราะฮ่าๆ ขีดความสามารถที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้เป็นพลังของวิชาลมปราณแดงฉานระดับสี่กับระดับห้าโดยประมาณ ส่วนวิชาโซ่เก้าสินธุกับวิชาลมปราณแดงฉานระดับเจ็ด เป็นความสามารถที่เขาซ่อนไว้

พูดอีกอย่างคือ เปลือกนอกเขายังคงเป็นยอดฝีมือระดับผนึกจิตที่ฝึกกำลังภายใน กำลังภายนอกพร้อมกัน แต่ความจริงด้วยพลังยุทธ์ในปัจจุบันของเขา ถ้าลงมือสุดกำลังจริงๆ ยอดฝีมือขอบเขตเอกะฟ้าต้านทานเขาได้หรือไม่ยังไม่แน่

แต่เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นๆ พบความลับของดีปบลู เขาจึงไม่อาจไม่แสดงขีดความสามารถเดิมต่อไป

และตามคำพูดของเฉินอิงรองประมุขพรรคเมื่อก่อนหน้า เขาเคยสู้กับผู้คุมหอแดงมาก่อน ผู้คุมหอเหล่านี้เป็นระดับสูงสุดของระดับผนึกจิต ไม่มาก็แล้วกันไป ถ้ามาจริงๆ จุดจบเพียงหนึ่งเดียวคือถูกลู่เซิ่งฟันตาย

“ไปเถอะ” ลู่เซิ่งนำสวีชุยค่อยๆ เดินไปที่ประตูหมู่บ้านตระกูลซ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเก็บกวาดสนามรบให้ตระกูลเจิน

เพิ่งข้ามธรณีประตูเข้าไป

สิ่งที่ลู่เซิ่งเห็นทันทีคือเชือกยาวที่แขวนและโยกไหวบนต้นไม้แห้ง เชือกยาวแขวนคนผู้หนึ่งไว้ เป็นศพสตรีสวมกระโปรงสีขาวเทา และเสื้อสีเหลืองอ่อน

เขาชะงักเท้า มองไปที่ศพ

ดวงตาของศพถูกควักออก จมูกโดนตัด คนเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม แห้งเหี่ยวและบิดเบี้ยวอยู่บนต้นไม้

“นี่เป็นภูตผีจากจัตุรัสแดงหรือ” ลู่เซิ่งถามเบาๆ

สวีชุยส่ายหน้าน้อยๆ เขาเองก็ไม่ทราบ

“ภูตผีมีร่างจริงหรือ”

ลู่เซิ่งทบทวนอย่างลังเล คล้ายกับว่าภูตผีระดับต่ำไม่มีร่างจริง ก่อนหน้านี้หลังจากถูกเขาฆ่าแล้วก็เหลือแค่ผง หรือไม่ก็เป็นวัตถุเล็กๆ มีแต่ประเภทวิญญาณศพที่แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อยจึงมีกายเนื้อ

ลู่เซิ่งมองศพสตรีอยู่ไกลๆ ก่อนเดินเข้าใกล้จนถึงใต้เท้าศพ ชักดาบออกมา ใช้ปลายดาบเขี่ยศพหมุนไปมาเพื่อตรวจสอบ

“นี่เป็นศพคน ไม่ใช่ผี ถ้าไม่ใช่คนผ่านทาง ก็เป็นคนจากหอแดง” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วกล่าว

บนศพไร้ปราณหยิน เขาไม่ได้สนใจมากนัก วางดาบลงก่อนเดินไปยังห้องตรงกลาง

ตอนแรกที่เขามานี่ สตรีประหลาดลี้ลับนางนั้นอยู่ในห้องตรงกลางมาโดยตลอด ในหมู่บ้านยังเลี้้ยงวิญญาณศพกับภูตผีฝูงใหญ่

ตอนนี้หลังถูกตระกูลเจินเก็บกวาด อาจจะเจอวัตถุสิ่งของที่ปราณหยินยังไม่สลายส่วนหนึ่ง

ถีบเท้าใส่ประตูไม้ดังโครม ลู่เซิ่งปิดจมูกเดินหลบฝุ่นสีเทาเข้าไปในห้อง

เสื้อผ้าไม่น้อยกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น ยังมีผงสีขาวเทาเหมือนผงกระดูกมากมายหล่นเกลื่อนกลาด

……………………………………….

[1] ส่งถ่านไม้กลางหิมะ หมายถึง ช่วยเหลือคนในยามยากลำบาก