ตอนที่ 219 เหตุไม่คาดคิด / ตอนที่ 220 สนิทสนมกับคนไข้ขนาดนี้เชียว

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

ตอนที่ 219 เหตุไม่คาดคิด

 

 

อวี๋กานกานกลืนน้ำลายตามสัญชาตญาณ รับรู้เพียงแค่ว่าร่างกายอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว หัวใจเต้นรัวประหนึ่งเสียงท้องฟ้าคำราม…

 

 

อวี๋กานกานมองชายตรงหน้าด้วยแววตาสับสน นัยน์ตาดำขาวแบ่งแยกออกจากกันอย่างชัดเจน แววตาที่ตลอดมาใสซื่อบริสุทธิ์ ตอนนี้ดูเหมือนถูกเคลือบไว้ด้วยความต้องการลางเลือน ยิ่งชวนให้ใจเตลิด

 

 

หน้าผากของฟังจือหันชนกับหน้าผากของอวี๋กานกาน เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย ทำให้ปลายจมูกเฉี่ยวโดนใบหน้าของเธอเบาๆ ตะกอนความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ ตลบอบอวลไปทั่วอากาศ บรรยากาศละมุนละไม เย้ายวนให้มัวเมา

 

 

ฟังจือหันสบตาอวี๋กานกาน จากนั้นเลื่อนสายตาลงเล็กน้อยหยุดที่ริมฝีปากอวบอิ่มของเธอ

 

 

อวี๋กานกานเองก็จ้องมองไปที่ฟังจือหัน สายตาเลื่อนลอยเคลื่อนมาหยุดอยู่ตรงที่ริมฝีปากบางของเขาเช่นกัน

 

 

ใบหน้าของฟังจือหันเคลื่อนเข้ามาอย่างช้าๆ เหมือนกับจะประทับจูบลงมา ดวงตาของอวี๋กานกานจู่ๆ ก็อ่อนแรงลงอย่างกะทันหัน แพขนตาสั่นไหว ก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆ ปิดลง

 

 

ทันใดนั้นเองจู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังลอดมาจากในห้อง

 

 

ฟังจือหันชะงักไปในทันที จากนั้นเอียงศีรษะเล็กน้อย ถอนหายใจข้างหูของอวี๋กานกานอย่างแรง

 

 

อวี๋กานกานเองก็สะดุ้ง ได้สติคืนกลับมา จุมพิตที่คาดเดาเอาไว้ว่าจะเกิดยังไม่ทันได้ประทับลงมา ในขณะเดียวกันเธอเองก็ประหลาดใจที่ภายในใจลึกๆ ของตัวเอง กลับเฝ้ารอจูบของฟังจือหัน

 

 

อวี๋กานกานตกใจ ผลักฟังจือหันแล้วลงมาจากตักของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นหมุนตัววิ่งออกไป เสียงเรียกเข้าดังมาจากโทรศัพท์ของเธอซึ่งวางอยู่บนหัวเตียงของฟังจือหัน อวี๋กานกานเดินตรงเข้าไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา เป็นสายจางจังซ่า ทันทีอวี๋กานกานกดรับเสียงของจังซ่าก็ดังพรวดขึ้นมา “ปลาน้อย ตอนนี้ว่างไหม”

 

 

อวี๋กานกานรับรู้ถึงความร้อนใจผ่านน้ำเสียงจากโทรศัพท์ เธอรีบสลัดความคิดยุ่งเหยิงต่างๆ ออกจากหัว ถามอย่างเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้น”

 

 

จังซ่า “คุณอาของฉันป่วยน่ะ ให้คุณหมอที่โรงพยาบาลฉันตรวจดูแล้ว เขาแนะนำให้ไปแผนกจิตเวช แต่ก่อนหน้านี้คุณอาฉันก็แข็งแรงดี ตอนนี้เธอว่างไหม ช่วยมาดูอาการอาฉันหน่อย”

 

 

แม้ว่าอวี๋กานกานจะเรียกจังซ่าว่ารุ่นพี่ แต่จังซ่ารู้ดีว่าวิชาแพทย์ของเธอสู้อวี๋กานกานไม่ได้ สมัยนั้นที่เธอเรียนแพทย์แผนจีนกับปู่เหอ ที่อวี๋กานกานเรียกเธอว่าศิษย์พี่เป็นเพราะเธออายุมากกว่าจึงต้องเคารพและเรียกตามมารยาท ทั้งที่จริงช่วงเวลาที่ปู่เหอมาสอนด้วยตัวเองนั้นมีน้อยมาก โดยส่วนมากแล้วจะเป็นอวี๋กานกานที่เข้ามาสอนแทนปู่เหอว่าอาการแบบนี้ควรรักษาอย่างไร

 

 

เมื่อโรงพยาบาลแนะนำให้ส่งตัวอาไปแผนกจิตเวช เธอจึงนึกถึงอวี๋กานกานเป็นคนแรก หวังว่าจากมุมมองของแพทย์แผนจีนจะมีวิธีรักษาอาการนี้

 

 

อวี๋กานกานพูดปลอบ “ใจเย็นๆ นะคะพี่ ช่วงเช้าหนูพอมีเวลาว่าง เดี๋ยวหนูไปหาค่ะ พี่ส่งที่อยู่มาในมือถือหนูนะคะ”

 

 

“โอเค”

 

 

หลังจากที่คุยสายเสร็จแล้ว เมื่ออวี๋กานกานหมุนตัวก็เห็นฟังจือหันที่ยืนอยู่พอดี

 

 

ฟังจือหันยืนพิงตู้เสื้อผ้าด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย มองมาที่เธอด้วยสายตาที่เหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

 

 

อวี๋กานกานนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ จู่ๆ ก็รู้สึกเคอะเขินและกระอักกระอวนขึ้นมา ทั้งแขนและขาเกร็งไปหมด ไม่รู้จะวางตรงไหนดี ทำได้เพียงแค่มองฟังจือหันด้วยสายตาเลิกลั่ก

 

 

ฟังจือหันยกยิ้ม ถาม “เป็นอะไร หืม”

 

 

อวี๋กานกานตอบ “คุณอาของรุ่นพี่ฉันป่วยน่ะ หมอที่โรงพยาบาลวินิจฉัยว่าเป็นอาการป่วยทางจิต ฉันจะไปดูซะหน่อย”

 

 

“อือ กินข้าวเช้าก่อน เดี๋ยวผมไปส่ง”

 

 

ฟังจือหันเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อออกมาเปลี่ยน อวี๋กานกานเดินออกมาจากห้องนอนไปยังห้องครัวเพื่อทำอาหารเช้า

 

 

อวี๋กานกานทำบะหมี่ทั้งสองถ้วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว จังหวะที่ยกออกมาตรงกับฟังจือหันที่อาบน้ำและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วพอดี

 

 

หลังจากที่ทั้งคู่รับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว พวกเข้าเดินทางไปหอพักของอวี๋กานกานก่อน เนื่องจากกล่องอุปกรณ์ของอวี๋กานกานอยู่ที่นั้น

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 220 สนิทสนมกับคนไข้ขนาดนี้เชียว

 

 

บ้านของจังซ่าอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมาก เพียงแต่ว่าการจราจรในตอนเช้าค่อนข้างติดขัด กว่าอวี๋กานกานจะได้กล่องอุปกรณ์แล้วออกเดินทางจนถึงที่หมาย ใช้เวลาไปกว่าสองชั่วโมง

 

 

เมื่อจังซ่าเห็นหน้าอวี๋กานกานก็จับลากเข้าไปในห้องทันที ภายในห้องมีชายวัยกลางคนนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายผอมโซเหลือแต่กระดูก โดยมีอาสะใภ้คอยดูแลอยู่ข้างๆ

 

 

อวี๋กานกานค่อนข้างตกใจ หันไปมองจังซ่า “เกิดอะไรขึ้น ป่วยมานานแล้วเหรอคะ”

 

 

จังซ่าถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้ป่วยมาระยะหนึ่ง เพราะเป็นโรคบิดต้องระวังเรื่องอาหารการกิน ก็เลยซูบลงไปเยอะ แต่ร่างกายน่าจะกลับมาเป็นปกติดีแล้วนะ แต่ก็ไม่รู้ทำไมว่าช่วงนี้เป็นอะไรไปอีก จู่ๆ ก็สติเลอะเลือน บางทีก็จำลูกหลานคนรู้จักไม่ได้ บางครั้งออกไปด้านนอกคนเดียวก็กลับบ้านไม่ถูก เดี๋ยวนี้ก็เลยไม่ให้ออกไปไหนแล้ว แถมบางครั้งยังร้องโหวกเหวกโวยวายขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ ถ้าไม่ร้องก็จะนั่งเหม่อลอยไม่พูดไม่จา ก่อนหน้านี้เคยตรวจที่ไป๋หยาง แต่หาสาเหตุไม่ได้ ก็เลยให้ลองมาตรวจที่ปักกิ่ง คุณหมอบอกให้ไปแผนกจิตเวช”

 

 

จังซ่าพูดพลางยื่นประวัติการรักษาที่ผ่านมาทั้งหมดให้อวี๋กานกาน

 

 

อวี๋กานกานรับมา เปิดออกดู ชื่อคนไข้ที่อยู่ในประวัติทำให้เธอถึงกับนิ่งอึ้งไปเลย ‘จังหรงเปียว’ เธอเคยเห็นชื่อนี้มาก่อน เป็นหนึ่งในชื่อประวัติคนไข้ที่อาจารย์เก็บไว้

 

 

หลังจากที่ได้อ่านประวัติการรักษาแล้ว อวี๋กานกานนั่งลงข้างๆ เริ่มทำการตรวจชีพจรให้จังหรงเปียว

 

 

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า

 

 

หลังจากที่ตรวจชีพจรแขนด้านนี้เสร็จแล้ว เธอก็เปลี่ยนไปตรวจแขนอีกข้าง บรรยากาศภายในห้องเงียบเชียบ สายตาของอาสะใภ้จดจ้องอยู่ที่อวี๋กานกานโดยไม่ละสายตาแม้แต่น้อย

 

 

จังซ่าลูบไหล่อาสะใภ้ให้เธอผ่อนคลาย จากนั้นเดินไปรินน้ำให้อวี๋กานกาน ในตอนนี้นี่เองที่เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่าหนุ่มหล่อที่เจอที่ร้านคาราโอเกะเมื่อวันนั้นก็มากับอวี๋กานกานด้วย หมอนั่นนั่งเงียบๆ อยู่บนโซฟา ความหล่อเหลาของเขา เมื่อมองเข้าไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัวเหมือนราวกับว่าวิญญาณกำลังถูกช่วงชิง

 

 

ฟังจือหันสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมา เขาปรายตามามองจังซ่าแวบหนึ่ง สัมผัสได้ถึงไอเย็นเยียบบางเบา

 

 

ครั้งก่อนปลาเค็มน้อยบอกว่าหมอนี่เป็นแค่คนไข้คนหนึ่งไม่ใช่เหรอ จังซ่าไม่เคยเห็นหมอคนไหนที่สนิทสนมกับคนไข้จนถึงขั้นขนาดออกตรวจก็ยังหนีบมาด้วย

 

 

ยัยเด็กแสบ มีแฟนแล้วกับรุ่นพี่ก็ยังปกปิด

 

 

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋กานกานตรวจชีพจรเสร็จแล้ว เธอถ่างหนังตาของจังหรงเปียวขึ้นเพื่อดูลูกตา ต่อด้วยตรวจดูฝ้าบนลิ้น

 

 

อาสะใภ้รีบเดินเข้ามา ถามด้วยความกังวล “เป็นไงคะ”

 

 

อวี๋กานกานมีสีหน้าเคร่งเครียด ถาม “ก่อนหน้านี้ที่ไป๋หยาง ไม่ทราบว่ารักษาที่โรงพยาบาลอะไรคะ”

 

 

จังซ่ากลัวว่าอาสะใภ้จะพูดได้ไม่ชัดเจนพอ จึงออกตัวพูดแทน “สามเดือนก่อนหน้านี้รักษาที่โรงพยาบาลป๋อจือ ตรวจออกมาว่าเป็นโรคบิด ทั้งยังมีแนวโน้มเป็นมะเร็งด้วย ตอนนั้นใช้ยาที่โรงพยาบาลจ่าย ทานเข้าไปแล้วรู้สึกเวียนหัวตื้อๆ ก็เลยไปตรวจที่โรงพยาบาลประจำเมืองไป๋หยางอีกที แต่ผลออกมาว่าไม่มีแนวโน้มของอาการมะเร็ง เป็นแค่โรคบิดธรรมดาที่อาการหนักหน่อยก็เท่านั้น คุณหมอจ่ายยาให้ หลังจากทานยาแล้ว อาการดีขึ้นค่อนข้างมาก ฉันยังจัดยาจีนบำรุงให้สองสามชุดอยู่เลย แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนจู่ๆ คุณอาก็สติเลอะเลือน หมอที่ไป๋หยางหาสาเหตุไม่เจอ ฉันก็เลยให้พวกเขาลองมาตรวจที่ปักกิ่ง…”

 

 

“เคยตรวจเลือดไหมคะ”

 

 

“เคย ผลตรวจปกติดี” จังซ่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถาม “ผลที่เธอตรวจได้คือ?”

 

 

“ไม่เกี่ยวกับโรคบิดเลยค่ะ ทั้งนอกและในอ่อนแอ นอกร้อนในเย็น ลมปราณก่อโรคเข้าจู่โจมโดยตรง น่าจะภาวะเป็นพิษเนื่องจากยา[1]”

 

 

 

 

——

 

 

[1] ภาวะเป็นพิษเนื่องจากยา (Drug Toxicity) สาเหตุมาจากการรับประทานยาผิดชนิด รับประทานยาเกินขนาด แพ้ยา หรือฤทธิ์ของยาแรงเกินไป