ตอนที่ 5 เรื่องไม่คาดคิดในงานประมูล Ink Stone_Fantasy
ในโลกปุถุชน ทองคำย่อมต้องเป็นสิ่งที่สวยงามและล้ำค่ามากที่สุด แต่คนส่วนใหญ่ที่เรือนเป่าซู่ทำการค้าด้วยคือผู้บำเพ็ญพรต พวกเขาย่อมต้องคุ้นเคยกับวิถีของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตเป็นอย่างดี
เงินตราที่พบเห็นได้บ่อยๆ ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตนั้นมิใช่เงินทอง หากแต่เป็นหินผลึกที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งกว่าเงินทอง
จิ๋งจิ่วรู้จักหินผลึก แต่กลับมิเคยสัมผัสมันมาก่อน เนื่องเพราะหินผลึกจะมีประโยชน์แต่กับผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ในสภาวะต่ำกว่าขั้นมิประจักษ์เท่านั้น อีกทั้งผลลัพธ์ของมันยังมิอาจเทียบกับยาวิเศษที่เขากินอยู่ทุกวันได้ด้วย
สำหรับเจ้าล่าเยวี่ย ตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นมาก็มีสำนักชิงซานคอยให้ยาวิเศษอยู่ตลอด จึงไม่เคยต้องเป็นกังวลกับเรื่องแบบนี้ นางมองจิ๋งจิ่วแล้วกล่าวถามว่า “เจ้ามีไหม?”
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ
บนใบหน้าของผู้ดูแลคนนั้นยังคงมีรอยยิ้มเล็กน้อย เพียงแต่สายตากลับยิ่งทวีความเย็นชาขึ้น
จิ๋งจิ่วหยิบเอายาวิเศษเม็ดหนึ่งจากในแขนเสื้อออกมาวางไว้บนโต๊ะ
ยาวิเศษเม็ดนั้นมีสีแดงเข้ม ดูแล้วมิได้มีอะไรพิเศษ เมื่อดมดูดีๆ จะพบว่ามีกลิ่นฉุนของสมุนไพรจำพวกหญ้าเฮียเฮียะ
ผู้ดูแลคนนั้นทำงานอยู่ในเรือนเป่าซู่ ย่อมต้องมีความรู้กว้างขวาง สีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย หลังมั่นใจว่านั่นคือสิ่งที่ตนเองคิด สายตาพลันเป็นประกายขึ้นมาทันที
ไม่ทันจะหากล่องมาใส่ เขาหาถ้วยชามาสองใบด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด ก่อนจะเอายาวิเศษสีแดงเม็ดนั้นใส่เข้าไปแล้วใช้กระดาษพันแน่นๆ ไปหลายทบ
กระทั่งเสร็จเรียบร้อย สีหน้าเขาจึงดูผ่อนคลายขึ้น
สีหน้าเจ้าล่าเยวี่ยแปลกใจเล็กน้อย ยาเม็ดนั้นน่าจะเป็นยาเซวียนเฉ่า[1] มิใช่ยาที่ยอดเขาซื่อเยวี่ยปรุงขึ้นมา หากแต่เป็นยาจากเขาเซวียนฮว่าที่อยู่ในมณฑลจงโจว
สีหน้าที่ผู้ดูแลคนนั้นมองดูจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยใหม่อีกครั้งดูมีความเคารพมากขึ้น
เป็นว่าจะเป็นตัวประหลาดมาจากไหน ไม่ว่าจะพวกเจ้าจะเป็นคนที่เมืองเฉาหนานต้องการตัวหรือไม่ ขอเพียงเจ้ามียาเซวียนเฉ่า เช่นนั้นเจ้าก็มีสิทธิ์ได้รับความเคารพจากเรือนเป่าซู่
ผู้ดูแลพาพวกเขาสองคนมายังด้านนอกห้องส่วนตัวที่อยู่บนชั้นเจ็ด ก่อนจะกำชับเสียงเบาๆ ถึงเรื่องที่ต้องระวังเวลาทำการประมูล เสร็จแล้วจึงจากไป
ห้องส่วนตัวนี้เป็นห้องที่ดีอย่างมากในเรือนเป่าซู่ บรรดาพรรคบำเพ็ญพรตธรรมดาเหล่านั้น หากผู้ที่มามิใช่บุคคลระดับผู้อาวุโส ก็ไม่มีทางถูกจัดให้พักอยู่ที่นี่แน่
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยไม่ทราบเรื่องเหล่านี้ พวกเขาผลักประตูเข้าไปในห้อง จากนั้นใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่กวาดไปรอบห้อง หลังแน่ใจว่าไม่มีกลิ่นอายของข่ายพลังกระบี่ และไม่มีคนคอยจับตาดูอยู่ พวกเขาถึงปลดผ้าสีเทาออก
การตกแต่งภายในห้องส่วนตัวมิอาจเรียกได้ว่าหรูหรา แต่กลับมีความละเอียดประณีตยิ่งนัก บนโต๊ะมีชาเชวี่ยเสอวางอยู่กาหนึ่ง ไอร้อนยังคงลอยกรุ่นขึ้นมา ดูแล้วมันคงจะเพิ่งถูกชงในตอนที่พวกเขาเดินขึ้นมาจากชั้นหนึ่ง ด้านข้างกาน้ำชามีจานผลไม้และขนมทานเล่นวางอยู่สองสามอย่าง ผ้าร้อนผ้าเย็นมีครบถ้วน ป้ายไม้สองป้ายวางอยู่สองข้างของโต๊ะ
เมื่อดูจากรายละเอียดแล้ว เรือนเป่าซู่จัดการได้ไม่เลวเลยจริงๆ
แต่จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยต่างมิพอใจ เนื่องเพราะห้องส่วนตัวนี้เป็นห้องลี้ลับหมายเลขสอง
เมื่อคืนนี้ในโรงเตี๊ยมของเมืองซางโจว พวกเขาพักห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งเลยนะ
“เหตุใดพวกเราต้องมาที่นี่?” จิ๋งจิ่วถาม
เจ้าล่าเยวี่ยย่อมมิได้เป็นเพราะต้องการหลบทหารของเมืองเฉาหนานที่กำลังตามไล่ล่าจึงมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่
นางกล่าวว่า “หัวหน้าผู้ดูแลของเรือนเป่าซู่ในตอนนี้คือหลานชายของเหลยพั่วอวิ๋น”
นี่แท้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่นี่ืคือยอดเขาปี้หู
จิ๋งจิ่วกล่าว “แล้ว?”
เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจ นี่เจ้ารู้แล้วยังแสร้งถาม?
“ไม้วิญญาณอัศนีของยอดเขาปี้หูหายไปสองท่อน เหลยพั่วอวิ๋นธาตุไฟเข้าแทรกเสียชีวิตตายไป เรื่องเหล่านี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับการบรรลุเป็นเซียนของปรมาจารย์อาอย่างแน่นอน”
นางกล่าวว่า “คนตายไปแล้ว อย่างไรก็ต้องมีเบาะแสเหลือทิ้งไว้แน่ เหลยพั่วอวิ๋นเพียงคนเดียวย่อมไม่กล้าคิดร้ายกับปรมาจารย์อาอย่างแน่นอน เขาจะต้องถูกพวกชั่วร้ายที่อยู่นอกชิงซานล่อลวงเป็นแน่ เรือนเป่าซู่เป็นหนึ่งในช่องทางที่ชิงซานใช้ติดต่อกับโลกภายนอก อีกทั้งหัวหน้าผู้ดูแลยังเป็นหลานชายของเหลยพั่วอวิ๋น ข้าคิดว่าที่นี่น่าจะมีปัญหา”
จิ๋งจิ่วคิดในใจ พวกชั่วร้ายมิแน่ว่าจะชั่วร้าย นอกภูเขาที่ว่าอาจจะเป็นในภูเขา
จากนั้นเขาถามขึ้นมาอีกว่า “แล้วทำไมพวกเราถึงไม่ไปหาหัวหน้าผู้คุมเลย?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เพราะเขาจะไม่พูด เผลอๆ พอเห็นพวกเราแล้วอาจจะฆ่าตัวตายก็เป็นได้ ดังนั้นพวกเราจึงได้แต่ต้องคอยสังเกตดูว่าพอจะมีเบาะแสอะไรบ้างหรือเปล่า”
จิ๋งจิ่วรู้สึกว่ามันยุ่งยากอย่างมาก
เขาคิดจริงๆ ว่าเรื่องนี้มันไม่มีอะไรให้สืบเลย
ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านเขาได้คาดการณ์เหตุการณ์ต่างๆ มาเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม หลายๆ เรื่องล้วนแต่คิดเข้าใจแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีหลักฐานเท่านั้น
และเรื่องแบบนี้มันไม่มีหลักฐานใดๆ มีเพียงคน
เหลยพั่วอวิ๋นเพียงแค่สภาวะหยุดชะงักไม่ก้าวหน้า จึงคิดพึ่งพากระบี่เล่มนั้นเพื่อให้ได้รับพลังใหม่ จึงถูกคนผู้นั้นชักจูงไป
ในเมื่อต้องถาม สู้ถามคนผู้นั้นไปเลยดีกว่า ก็เหมือนกับในคืนหน้าร้อนคืนนั้น ที่เขาไปยังยอดเขาปี้หูเพื่อถามไป๋กุ่ย
ปัญหาคือทำอย่างไรจึงจะหาตัวคนผู้นั้นพบ? คงมิใช่ว่าต้องกินร้านหม้อไฟทั่วทั้งแผ่นดินจริงๆ หรอกนะ
แต่จิ๋งจิ่วเชื่อว่าขอเพียงอีกฝ่ายรู้ว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นเขาจะต้องมาหาตนเองแน่
เมื่อถึงตอนนั้น เขาก็สามารถถามอีกฝ่ายได้ตรงๆ ว่าเหตุใดจึงทำเช่นนี้
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรวันนั้นจะมาถึง
พรุ่งนี้ หรือว่าอีกนานหลายปี?
……
……
ปกติผู้บำเพ็ญพรตจะทำสมาธิในเวลากลางคืน ดังนั้นงานประมูลของเรือนเป่าซู่จึงจัดขึ้นในเวลากลางวัน เพียงแต่กำแพงด้านนอกของที่นี่ไม่มีหน้าต่าง ด้านในจึงดูเหมือนอยู่ในเวลากลางคืน ผู้ที่ดูแลงานประมูลยืนอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ส่งเสียงผ่านข่ายพลังถ่ายทอดเสียงไปยังทุกห้องอย่างแม่นยำ ภาพสินค้าที่ทำการประมูลก็ปรากฏอยู่ในทุกๆ ห้องผ่านทางกระจกลวงตา
แขกที่มายังเรือนเป่าซู่เป็นครั้งแรกยากที่จะไม่รู้สึกตกใจ ทว่าจิ๋งจิ่วกับเจ้าล่าเยวี่ยกลับมิได้มีความรู้สึกสนใจใดๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าพวกเขามิเคยเข้าร่วมงานประมูลมาก่อน จึงเกิดความรู้สึกใคร่รู้ว่าภายในงานประมูลจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ในตอนที่พบว่าสินค้าที่นำมาประมูลเป็นเพียงสมุนไพรภูเขาและยาวิเศษธรรมดา พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกเบื่อหน่าย
คนที่ยินดีจ่ายเงินเป็นจำนวนมากเพื่อซื้อของพวกนี้ น่าจะเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยหรือไม่ก็ขุนนางบางคน สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้วมันเป็นของธรรมดาที่มิได้มีอะไรวิเศษ แต่สำหรับคนธรรมดาแล้วมันคือโอสถเซียนที่ช่วยยืดอายุขัย
การประมูลดำเนินมาถึงรอบที่เจ็ด ในที่สุดภายในเรือนเป่าซู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นคึกคักขึ้นมา จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยยังคงมิสนใจ
สินค้าที่นำมาประมูลในรอบคือนี้แผ่นน้ำแข็งสงบจิตกล่องหนึ่ง
แผ่นน้ำแข็งสงบจิตถูกผลิตในเขตทางเหนือ จำนวนมีไม่มาก อีกทั้งส่วนใหญ่ยังถูกกองทัพเจิ้นเป่ยอันเป็นศัตรูของสำนักเฟิงเตาควบคุมเอาไว้ จำนวนแผ่นน้ำแข็งที่สามารถหลุดรอดเข้ามาในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตจึงมีน้อยมาก
ในขณะที่บรรดาแขกเตรียมจะเสนอราคา เสียงที่ฟังดูชราและอ่อนโยนเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
“ทุกท่าน พวกอาตมาคือสมณะแพทย์จากมั่วชิว วันนี้มีเรื่องใคร่ขอร้องทุกท่านเรื่องหนึ่ง…”
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะได้เห็นสมณะสูงศักดิ์ของวัดกั่วเฉิงในการประมูลที่เรียบง่ายไม่มีอะไรพิเศษแบบนี้
ภายในหอมีเสียงเปิดหน้าต่างดังขึ้นมา จากนั้นก็เป็นเสียงทักทายจำนวนนับไม่ถ้วน
เจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกแปลกใจ นางเดินไปยังริมหน้าต่างแล้วมองลงไปเบื้องล่าง ก่อนจะเห็นที่ด้านล่างมีสมณะสองรูป หนึ่งแก่หนึ่งหนุ่มยืนอยู่ จีวรดูเก่า ถูกซักทำความสะอาดจนสะอาดสะอ้าน มิได้มีท่าทีที่สูงส่งเหมือนอย่างผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมาก แต่กลับให้ความรู้สึกสงบและควรค่าแก่การเชื่อใจ
จากนั้นครู่หนึ่ง เหล่าผู้เข้าร่วมการประมูลถึงได้รู้ว่าสมณะจากวัดกั่วเฉิงสองรูปนี้ได้รับคำเชิญจากสำนักชิงซานให้มากำจัดปีศาจในแม่น้ำจั๋ว บัดนี้ปีศาจได้ถูกกำจัดไปแล้ว อาจารย์เซียนของสำนักชิงซานก็กลับไปแล้ว แต่เหล่าชาวบ้านที่ถูกกุ่ยมู่หลิงทำให้ตกใจกลัวจนแทบเสียสติยังคงรักษาไม่หาย
แผ่นน้ำแข็งสงบจิตคือโอสถล้ำค่าที่จำเป็นต้องใช้ในการรักษาชาวบ้านเหล่านั้น
สมณะของวัดกั่วเฉิงเอ่ยปากขอความช่วยเหลือก็นับเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะทั่วทั้งโลกต่างรู้ว่า พวกเขา…จนมาก
เสียงหลายเสียงยื้อแย่งกันดังขึ้นมา
“ท่านสมณะโปรดวางใจ สำนักเซวียนเทียนของข้าไม่แข่งเสนอราคาสินค้าชิ้นนี้แน่นอน”
“เยี่ยม สำนักจื่อเฮ่าก็ไม่เข้าร่วมเช่นเดียวกัน
ผู้ดูแลเรือนประมูลผู้นั้นยกสองมือขึ้นมาเพื่อบอกให้เหล่าแขกเงียบเสียงลงก่อน จากนั้นมองไปทางสมณะสูงอายุรูปนั้น พลางกล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งว่า “ท่านสมณะมีเมตตา เช่นนี้เรือนเป่าซู่ของเราจะยืนมองอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร เมื่อครู่ทางเจ้าของสินค้าชิ้นนี้และท่านหัวหน้าได้แจ้งมา ทางเรือนเป่าซู่ของเราขอมอบแผ่นน้ำแข็งสงบจิตนี้ให้กับทางวัดกั่วเฉิง”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ภายในหอพลันมีเสียงตะโกนชื่นชมดังขึ้น
แต่ทันใดนั้นพลันมีเสียงเยือกเย็นเสียงหนึ่งที่มิได้เข้ากับบรรยากาศในเวลานี้ดังขึ้นมา
“ในเมื่อเป็นเรือนประมูลก็ต้องทำตามกฎ ข้ายังมิได้เสนอราคา ท่านก็ส่งสินค้าออกไปแล้ว เรือนเป่าซู่มิกลัวเสียชื่อเสียงของตัวเองอย่างนั้นหรือ?”
…………………………………………………………………..
[1]เซวียนเฉ่า ชื่อของสมุนไพรชนิดหนึ่ง หรือเรียกอีกอย่างว่าผักเบี้ยใหญ่