“ข้ากินด้วยสักชิ้นก็แล้วกัน อ่า หิวจัง”

เธอยัดคุกกี้อีกชิ้นใส่มืออีกข้างของเฟเรส หลังจากนั้นก็กัดคุกกี้ชิ้นหนึ่งเสียงดังกรอบ

เนื้อสัมผัสหนุบหนับรสหวานละมุนกลมกล่อมแผ่ซ่านไปทั่วปาก ทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาเลย

“มื้อเช้าก็ยังไม่ได้กิน แถมยังต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืดอีก หาว ง่วงจะตายอยู่แล้ว”

ว่ากันตามตรงนอกจาก ‘รสหวาน’ เธอก็ไม่รู้แล้วว่าคุกกี้มีรสชาติแบบไหน

เธอยัดที่เหลือใส่ปากลวกๆ แล้วกลิ้งตัวลงนอนมันข้างๆ เฟเรส

เฟเรสกินหมดไปแล้วหนึ่งชิ้น และกำลังจะกินอีกชิ้นพอดี เขาเหลือบมองเธอที่นอนกลิ้งอยู่แบบนั้น

“หาว ไม่ต้องสนใจข้าหรอก กินไปเถอะ ข้าว่าจะ…งีบสักแป๊บ”

ทั้งเหนื่อย ทั้งง่วง เปลือกตาเริ่มรู้สึกหนัก ความง่วงคืบคลานเข้ามา

ฟีเรนเทียปรือตาที่เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เงยขึ้นมองเฟเรสที่กำลังกินคุกกี้เห็นเศษช็อกโกแลตเลอะติดมุมปาก

แม้ว่าอยากบอกให้เขาเช็ดมัน แต่กลับง่วงจนเผลอหลับไปโดยไม่มีโอกาสให้บอกเสียได้

นัยน์ตาสีแดงคู่นั้นที่จับจ้องอยู่ที่เธอที่กำลังนอน และปากที่เคี้ยวหงุบหงับนั่นมันเหมือนกับกระต่ายมากเลย

เด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูถึงขนาดนี้ ช่างน่าขบขันเสียจริงที่ต่อไปในอนาคตเขาจะกลายเป็นองค์รัชทายาทเลือดเย็นคนนั้น

แต่ถึงยังไงด้านหนึ่งก็รู้สึกโล่งใจเหมือนกัน ที่เด็กคนนี้จะไม่ต้องทนลำบากอีกต่อไปแล้ว

เธอเหม่อมองนัยน์ตาสีแดงที่จับจ้องมาที่เธอพลางครุ่นคิด

ยังไงเธอก็ทำเพื่อเขาขนาดนี้แล้ว ต่อไปคงจะไม่แสร้งทำเป็นไม่รู้จักกันหรอกใช่มั้ย

อย่างน้อยเมื่อตอนที่เขาได้เป็นองค์รัชทายาท และเธอตั้งใจจะเป็นเจ้าตระกูล เขาก็คงจะไม่ยื่นมือเข้ามาขัดขวางกันหรอกมั้ง

ใช่แล้ว ขอแค่นั้นก็พอ

ในตอนที่ช่วงเวลาในการหลับตาเริ่มยืดยาวมากกว่าช่วงเวลาในการลืมตาทีละน้อย

เธอก็รู้สึกได้ว่าเตียงสั่นเล็กน้อย พร้อมกับเห็นว่าเฟเรสล้มตัวลงมานอนข้างเธอ

นายเองก็เหนื่อยเหมือนกันสินะ

แต่ก็นะ ตอนนี้พระอาทิตย์เพิ่งจะขึ้นเอง

มันเป็นเวลาที่ยังเช้ามากเกินกว่าที่เด็กตัวเล็กๆ จะตื่นขึ้นมาทำโน่นนี่

ถ้าอย่างนั้นก็หลับสักงีบแล้วค่อยตื่นก็แล้วกัน

สิ่งที่เธอเห็นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะผล็อยหลับไปคือใบหน้าขาวเนียนของเฟเรสที่เหม่อมองเธอทั้งๆ ที่มีเศษคุกกี้เลอะริมฝีปาก

“ทำยังไงดีครับ”

เสียงที่เอ่ยถามนั้นปรับให้แผ่วเบามากที่สุดราวกับกำลังกลัวจะรบกวน

“ทั้งสองท่านหลับสนิทเลย…”

หลังจากนั้นใครอีกคนก็พูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบาเช่นกัน

“พวกเจ้าลงไปข้างล่างก่อน ไปเก็บข้าวของของเจ้าชายให้เรียบร้อย”

คำสั่งแผ่วเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ ทำให้คนหลายคนเริ่มขยับฝีเท้าเบาโหยงกันอย่างพร้อมเพรียง

“แต่จะว่าไปก็ดูน่ารักกันมากเสียจนหากมีความสามารถมากพอ ก็อยากจะวาดภาพนี้เก็บไว้เลยนะครับ”

คนที่ยกมือขึ้นปิดปากด้วยไม่อาจต้านทานความน่ารักตรงหน้าได้คนนี้คือ คาอิลรัส เฮย์ลิ่ง ผู้ดูแลชายประจำวังองค์จักรพรรดิ

คาอิลรัสผู้เป็นเจ้าของผมสีบลอนด์เข้มและนัยน์ตาสีฟ้าอบอุ่นคนนี้ เป็นบุตรชายคนที่สองของตระกูลเฮย์ลิ่งซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลใต้บังคับบัญชาของตระกูลลอมบาร์เดีย

เขาเป็นชายหนุ่มอายุยังน้อยที่เข้าวังมาได้สิบปีแล้ว ทั้งยังเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะที่ได้รับตำแหน่งผู้ดูแลชั้นสูงระดับหนึ่ง และอีกคนที่มองภาพบนเตียงด้วยนัยน์ตาเปี่ยมรักเหมือนกันกับเขาอยู่ด้านข้างก็คือหัวหน้านางกำนัลประจำวังองค์จักรพรรดิ แคทเธอรีน บราวน์นั่นเอง

เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน ทั้งสองคนได้ย้ายตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยสถานที่ที่พวกเขาได้รับตำแหน่งให้ย้ายไปทำงานด้วยความยินดีก็คือ วังของเจ้าชายลำดับที่สองที่นอนอยู่ตรงหน้านั่นเอง

“ปล่อยให้หลับกันไปก่อนเถอะค่ะ ยังไงก็ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะจัดการเก็บของชั้นล่างเสร็จอยู่ดีนี่คะ”

“ครับ ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับบุตรสาวของท่านแคลอฮันมามากก็จริง แต่เพิ่งเคยได้พบแบบนี้เป็นครั้งแรกเลยครับ ทั้งเจ้าชายก็ด้วย”

คาอิลรัสเป็นคนชอบเด็กอยู่แล้ว เขาจึงไม่อาจละสายตาออกไปจากภาพตรงหน้าได้ง่ายๆ

“แต่ทำไมถึงได้น่ารักกันขนาดนี้นะคะ ทั้งสองท่านเลย”

อาจจะฟังดูเกินไปหน่อย แต่แคทเธอรีนเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของคาอิลรัสหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์

เด็กสองคนที่นอนหลับไปทั้งๆ มองหน้ากันโดยมีขนมหวานกองอยู่บนเตียง ต่างก็กำลังหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องรู้ราว

ไม่ว่าจะเป็นฟีเรนเทียที่ผมหยักศกสีน้ำตาลยุ่งกระเซอะกระเซิงไปหมด หรือเฟเรสเจ้าของผมสีดำสนิทดั่งท้องฟ้ายามค่ำคืน ทั้งสองคนดูน่ารักมากเสียจนไม่ว่าใครต่างก็ต้องเหลียวหลังกลับมามองอีกครั้งกันทั้งนั้น

อีกหนึ่งสิ่งที่ทิ่มแทงใจของคาอิลรัสกับแคทเธอรีนเข้าอย่างจังนั่นคือ เด็กน้อยทั้งสองคนกำลังห่มผ้าคลุมสีดำผืนหนึ่งด้วยกัน

“ต้องช่วยห่มให้ดีหน่อย…”

คาอิลรัสค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้เพราะกลัวว่าจะเผลอไปปลุกเด็กๆ ตื่นเข้า เขาตั้งใจจะช่วยห่มผ้าคลุมให้ดีๆ แต่แล้วก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง มุมปากจึงกระตุกยิ้มอีกครั้ง

แคทเธอรีนรู้สึกสงสัยขึ้นมา จึงย่องตามเข้าไป แล้วก็ได้เห็นว่ามือของเฟเรสกำลังกุมมือของฟีเรนเทียเอาไว้แน่น

“โอ้ว…”

คาอิลรัสทำท่าราวกับคนที่บาดเจ็บหนักได้รับแผลฉกรรจ์ เขาหลับตาแน่น พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่เผลอส่งเสียงดังออกไป

มันเป็นความผิดของความน่ารักที่จู่ๆ ก็โถมเข้าใส่เกินกว่าจะต้านทานไหว

คาอิลรัสสูดลมหายใจเข้าลึกอยู่หลายครั้ง ก่อนจะช่วยห่มผ้าคลุมให้ถึงไหล่ของฟีเรนเทีย

หมับ

ถ้าหากไม่มีแรงหนึ่งที่คว้าแขนของตนเอาไว้แล้วละก็

“เจ้าชายลำดับที่สอง…”

เฟเรสที่จนถึงเมื่อครู่ยังหลับครอกอยู่กลับลืมตาขึ้นมาจ้องหน้าเขา ทั้งยังบีบข้อมือของคาอิลรัสอย่างแรง

“ใคร”

“อ่า คือ…กระหม่อม…”

ความรู้สึกรวดร้าวราวกับข้อมือจะหักทำให้คาอิลรัสถึงกับพูดอะไรไม่ออก

พระองค์เป็นแค่เด็กอายุสิบเอ็ดขวบไม่ใช่หรือแต่เรี่ยวแรงมหาศาลนี่มันอะไรกัน

แคทเธอรีนช่วยตอบด้วยเสียงสงบแทนคาอิลรัสที่กำลังตื่นตระหนก

“ยินดีที่ได้พบกันครั้งแรกเพคะ เจ้าชายลำดับที่สอง พวกหม่อมฉันเป็นคนที่จะคอยรับใช้ข้างกายเจ้าชายตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หม่อมฉันแคทเธอรีน บราวน์เพคะ”

“กระ…กระหม่อม…คาอิลรัส คาอิลรัส เฮย์ลิ่งพ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย”

คาอิลรัสเกือบตอบออกไปแทบไม่ทัน

แต่ความหวาดระแวงยังคงไม่จางหายไปจากใบหน้าของเฟเรสเลยแม้แต่น้อย

และในตอนนั้นเอง

“งื้อ…”

ฟีเรนเทียค่อยๆ ลืมตาอย่างเชื่องช้าในขณะที่ส่งเสียงครางแผ่วเบา