ตอนที่119 เขาต้องเป็นอาจารย์ของฉัน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่119 เขาต้องเป็นอาจารย์ของฉัน

“ไม่มีทาง!”

เมื่อเห็นท่าทีของฉีเล่ยที่เริ่มถอดใจ เหอจื่อก็ร้องตะโกนสวนกลับไปด้วยสีหน้ามุ่งมั่นแน่วแน่ทันที

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม แต่อาจารย์ฉีจะต้องอยู่ที่นี่ต่อไป!”

หลินหมิงจางจ้องมองแววตามุ่งมั่นของเด็กสาวพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอดีนะแม่สาวน้อย ยังไงฉันจะลองไปพยายามคุยกับอดีตอธิการบดีดูก่อน ”

จากนั้นจึงหันไปพูดกับฉีเล่ยว่า “แต่ระหว่างนี้คงต้องให้อาจารย์ท่านอื่นไปสอนแทนเธอพลางๆก่อนนะ”

“ผมเข้าใจครับ”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ

แววตาของเหอจื่อเป็นประกายวูบาขึ้นมาชั่วขณะ

ให้อาจารย์ท่านอื่นมาสอนแทนงั้นเหรอ?

ได้ ได้ เดี๋ยวเจอกัน

หลังออกจากห้องทำงานของอธิการบดีมา ฉีเล่ยกับเหอจื่อก็เดินเคียงข้างกันไปบนท้องถนนที่เงียบสงบเส้นหนึ่ง สองข้างทางขนาบด้วยต้นไม้ใหญ่เรียงเป็นทางยาว

เหอจื่อเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนว่า

“อาจารย์ฉี ไม่ต้องเครียดไปนะคะ หนูจะต้องคิดหาวิธีช่วยอาจารย์ได้แน่นอน”

ฉีเล่ยส่ายหน้าไปมาพร้อมตอบกลับไปทันที

“ผมรู้ครับว่าครอบครัวของคุณมีภูมิหลังที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ทางที่ดีไม่ควรเอาครอบครัวของคุณเข้ามาพัวพันกับเรื่องแบบนี้จะดีกว่า ผมสร้างปัญหาให้คุณถึงสองครั้งแล้ว จะให้คุณช่วยแบบนี้ไปตลอดคงไม่ได้เหมือนกัน”

ฉีเล่ยหยุดนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า

“อีกอย่าง ปัญหาของผมเป็นเรื่องภายในกระทรวงศึกษา พวกเขาเองก็ไม่ได้พูดผิดอะไร ผมไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นอาจารย์จริงๆ ผมไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยซ้ำไป แล้วถ้าครอบครัวของคุณทราบเรื่องนี้เข้า คงไม่เต็มใจจะช่วยผมเช่นกัน มีแต่จะสร้างความลำบากใจให้พวกเขามากกว่า”

เหอจื่อยกมือขึ้นมานวดคอตัวเองเล็กน้อย และพูดขึ้นยิ้มๆว่า

“อาจารย์ฉี หนูไม่เคยคิดเลยนะคะว่าที่ผ่านมาเป็นการขอความช่วยเหลือของอาจารย์ อีกอย่างนักศึกษาทุกคนในคลาสต่างก็ชื่นชมในความสามารถของอาจารย์ด้วย แล้วตัวหนูเองก็เต็มใจและยินดีที่จะช่วยค่ะ”

คำพูดเหล่านี้ถึงฟังเผินๆอาจดูตลก แต่ความจริงแล้วทุกคำพูดล้วนกลั่นออกมาจากใจของเหอจื่อ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าคนฟังจะมีความเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน แน่นอนว่า ฉีเล่ยย่อมรู้ดีว่าหญิงสาวอยากจะช่วยเหลือตนด้วยความจริงใจ

เหอจื่อกล่าวต่อว่า

“ถ้าคนพวกนั้นไม่ยอมเผยตัวออกมาเผชิญหน้ากันดีๆ เดี๋ยวจะหนูจะโทรเรียกคนสักสิบยี่สิบคนไปจัดการเอง ถึงคนพวกนั้นจะมีอำนาจอิทธิพลมากขนาดไหน แต่หนูเชื่อว่าคงไม่ได้ใหญ่ไปกว่านายทหารระดับนายพลอยู่แล้ว”

“…”

คำพูดที่ว่า ผู้หญิงเป็นเพศที่ร้ายกาจที่สุดนั้น ดูเหมือนจะเป็นความจริง เพราะตรรกะความคิดของผู้หญิงนั้นเป็นเรื่องที่ดำมืดกว่าที่จินตนาการได้

ทั้งสองเดินเล่นกันไปอย่างเงียบๆ แต่แล้วจู่ๆ โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าของฉีเล่ยก็ดังขึ้น และเมื่อเขาล้วงออกมาดู ที่หน้าจอก็ปรากฏชื่อของหลินชูวโม่ขึ้น

“หลิวซูวโม่งั้นเหรอ?”

เหอจื่อผู้มีสายตาอันแหลมคมหันขวับทันที หางตาเหลือบไปเห็นชื่อนั้นบนหน้าจออย่างรวดเร็ว

ฉีเล่ยถึงกับเกาศีรษะสองสามทีพร้อมกับอธิบายไปว่า

“เอ่อ…พอดีผมติดหนี้อีกฝ่ายอยู่น่ะ”

“เชอะ!”

เหอจื่อเบะริมฝีปากเล็กน้อยพร้อมกับสะบัดหน้าหนีทันที

ส่วนฉีเล่ยนั้นหลังจากอธิบายให้หญิงสาวฟังแล้วเขาก็กดรับสายทันที พร้อมกับเอ่ยถามออกไปว่า

“ฮัลโหล มีธุระอะไรรึเปล่าครับ?”

“นี่สุดหล่อ ทำไมพูดกับพี่สาวคนนี้สุภาพจังหื้ม? แล้วถ้าไม่มีธุระอะไร ฉันจะโทรหานายไม่ได้เลยเหรอ?”

ปลายสายปรากฏเป็นสุ้มเสียงอันทรงเสน่ห์ของหลินชูวโม่ที่ดังออกมา ทำเอาเหอจื่อที่แอบฟังอยู่ข้างๆถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น

“ก็ประมาณนั้นแหละครับ ผมไม่ได้มีเวลาว่างมาก ถ้าไม่มีธุระอะไรก็แค่นี้นะครับ”

ตอนนี้ฉีเล่ยกำลังเดินคุยกับลูกศิษย์ของตัวเองอยู่ เขาจึงไม่อยากจะเสียเวลาเล่นเกมทายคำกับหลินชูวโม่ที่พยายามจะตามตื้อตนเองแบบนี้แน่นอน

“ให้ตายเถอะ! นี่นายเกลียดฉันขนาดนั้นเลยรึไง? แล้วนี่หมดคาบสอนแล้วใช่ไหม?”

“เปล่า ยังเหลืออีกสองคาบ”

“โกหก! ฉันกำลังดูตารางสอนของนายอยู่ วันนี้นายมีสอนแค่สองคาบ หลังจากนั้นก็ว่างทั้งวัน! สุดหล่อ หยุดการพยายามหนีได้แล้ว ไม่ว่าจะพยายามยังไงนายก็ไม่มีทางหนีเงื้อมมือพี่สาวคนนี้พ้นหรอกนะจ๊ะจะบอกให้!”

“โอเค ผมคงจำตารางสอนผิด แล้วสรุปคุณมีธุระอะไร?”

“มันก็ต้องมีอยู่แล้ว มาที่คลินิกชูวโม่เดี๋ยวนี้เลย ฉันมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับนาย ถ้าไม่รีบมาภายในครึ่งชั่วโมง นายจะต้องโดนลงโทษ ต้องโดนพี่สาวคนนี้‘จุ๊บ’หนึ่งที…”

ตู๊ด…ตู๊ด…

ฉีเล่ยกดตัดสายทิ้งทันที เขาทำราวกับเจอสายป่วนจากพวกโรคจิต

“อาจารย์ฉีดูสนิทสนมกับเธอจังนะคะ”

เหอจื่อเหลือบมองฉีเล่ยด้วยสาตาแปลกๆ

“ไม่เลยสักนิด”

ฉีเล่ยยักไหล่ขณะตอบ

“ไม่แม้แต่อยากจะรู้จักด้วยซ้ำไป”

“ถ้าไม่อยากรู้จัก แล้วทำไมเธอพูดอะไรแบบนั้นออกมา”

เหอจื่อร้องถามพลางทำท่าจูบลอยๆให้ฉีเล่ยดู

“เธอน่าจะหยอกเล่น”

“โอ้? ถ้าอย่างนั้นผู้หญิงทุกคนที่เข้าหาอาจารย์ก็สามารถหยอกเล่นแบบนี้ได้สินะคะ?”

“ไม่”

“ไม่? แล้วทำไมเธอคนนี้ถึงทำได้ล่ะ?”

ฉีเล่ยทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าวตอบไปว่า

“เพราะเธอคือหลินชูวโม่มั้ง? หรือคุณอยากเป็นแบบเธองั้นเหรอ?”

เหอจื่อโดนยิงคำถามแบบนี้เข้าใส่ถึงกับพูดไม่ออก ไม่นานรอยยิ้มอันสดใสของเธอก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยงามนั้นอีกครั้ง

“ช่างเถอะค่ะ! หนูเชื่อว่ายังไงอาจารย์ฉีก็ไม่ใช่คนแบบนั้น”

ฉีเล่ยยิ้มตอบกลับไปว่า

“คุณก็รู้ดีอยู่แล้วนี่”

“แต่คนอื่นกลับรู้หน้าไม่รู้ใจ”

เหอจื่อกล่าวต่อว่า

“ในมหาวิทยาลัยมีแต่คนบอกว่าเธอคือปีศาจจิ้งจอก ผู้ชายคนไหนที่ได้ติดต่อกับเธอต่างหลงหัวปักหัวปำอย่างกับถูกสูบวิญญาณ ดังนั้นนะคะอาจารย์ฉี อย่าเข้าใกล้เธอเป็นการดีที่สุด แต่ถ้าอาจารย์ฉีต้องการผู้หญิงสักคนที่จริงใจ สวย แถมบ้านมีฐานะ ก็ยังมี…”

ฉีเล่ยไม่รอให้เธอพูดคำว่า‘หนู’ ออกมา เขาตัดสินใจเร่งฝีเท้าวิ่งออกไปโดยเร็วทันที

เมื่อร่างของฉีเล่ยวิ่งออกไปจนลับสายตา เหอจื่อก็ได้แต่เม้มริมฝีปากพร้อมกับกำหมัดทั้งสองข้างแน่น ปากก็พึมพำออกมาว่า

“หลินชูวโม่…เธอเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งจริงๆ”

หลังจากครุ่นคิดกับตัวเองอยู่ชั่วครู่ เหอจื่อก็หยิบมือถือขึ้นมาโทรออกทันที

ปลายนิ้วกระแทกจิ้มไปที่เบอร์หนึ่งอย่างแรง ทั่วทั้งใบหน้าของเธออัดแน่นไปด้วยความคับข้องใจในขณะที่พูดขึ้นว่า

“มู่เซียวหยาน! ฉันถูกรังแกอีกแล้ว!”

“ใคร!? ใครมันกล้ารังแกลูกสาวฉัน!”

ปลายสายหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะร้องถามขึ้นด้วยน้ำเสียงชวนฉงนสงสัย

“แม่ว่า ช่วงนี้ลูกสาวแม่ดวงตกหรือเปล่า? ในเมืองปักกิ่งมีผู้หญิงนับล้าน แล้วทำไมลูกสาวของฉันถึงได้โดนรังแกอยู่คนเดียวนะ?”

“หยุดพูดจามั่วซั่วได้แล้ว! ฉันหมายถึงอาจารย์ฉีต่างหากที่โดนรังแก!”

เหอจื่อตะคอกสวนตอบด้วยความโมโห

“ลูกเขยฉันน่ะเหรอ? ใครมันกล้ารังแกลูกเขยของฉันกัน? แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรับมือไม่ไหวงั้นเหรอ?”

“เรื่องนี้มันค่อนข้างใหญ่…”

เหอจื่อตอบกลับเสียงอ่อน

“นี่! ลืมแม่คนนี้ไปแล้วรึไง? บอกมาสิว่าใครกันที่กล้ารังแกลูกเขยฉัน ฉันจะจับมันมาขอขมาแทบเท้าให้!”

“มันคือ…มหาวิทยาลัย”

“มหาวิทยาลัย? แล้วทำไมมหาวิทยาลัยถึงต้องรังแกเขา?”

“ทางมหาวิทยาลัยบอกว่า เขาไม่มีคุณสมบัติของความเป็นอาจารย์ พวกนั้นต้องการไล่เขาออก”

“คุณสมบัติความเป็นอาจารย์? มีไว้เพื่อ? มันกินได้เหรอ?”

“มู่เซียวหยาน…ฉันรู้นะว่าเธอไม่ค่อยฉลาดเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ แต่อย่าให้มากขนาดนี้ได้ไหม? หรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คุณสมบัติความเป็นอาจารย์เขาวัดจากอะไร?”

“ก็ความรู้ละมั้ง? เหมือนเวลาจะทำอาหารต้องมีใบรับรองความสะอาด จะทำเครื่องสำอางก็ต้องมีใบรับประกันความปลอดภัย? ประมาณนั้นใช่ไหมล่ะ?”

เมื่อได้ฟังแบบนั้น เหอจื่อเข้าใจได้ทันทีว่าเธอต้องได้รับความช่วยเหลือโดยด่วน หลังจากถอนหายใจใส่เฮือกใหญ่ เหอจื่อก็ได้อธิบายให้ฟังว่า

“มันคือใบประกอบวิชาชีพ หรือไม่ก็ใบปริญญารับรองวุฒิการศึกษา ถ้าไม่มีใบพวกนี้ก็มาเป็นอาจารย์สอนไม่ได้ เธอเองก็เคยเรียนมาวิทยาลัยมาไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงไม่รู้เรื่องอะไรบ้างเลย?”

“เห้ออ…แม่คนนี้ไม่ได้เรียนมาหลายปีแล้วไหมล่ะ? ตอนนี้ฉันแต่มัวยุ่งอยู่กับเรื่องความสวยความงาม แล้วจะมีเวลาที่ไหนไปสนใจเรื่องอื่นล่ะ? อืม…แต่แม่คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่เลยนะ ถ้าเป็นอาจารย์ไม่ได้ ทำไมไม่ลองไปเป็นทหารดูล่ะ ถ้าต้องการย้ายมาสายนี้ยังไง แม่กับพ่อแกช่วยได้นะ ว่าไง?”

“….”

“อ้าว ฉันพูดไม่ถูกรึไง? เขามีแววเป็นทหารระดับหน่วยรบได้เลยนะ ครั้งแรกที่เจอดูก็รู้แล้วว่าเป็นคนแข็งแกร่งมาก สามารถโค่นกลุ่มอันธพาลได้ด้วยตัวคนเดียว แถมยังฝีมือการแพทย์ที่เข้าขั้นเทพแบบนั้น ลองถามเขาสิว่า สนใจเป็นแพทย์สนามบ้างไหม?”

“หยุด! หยุด! หยุดให้หมด!”

เหอจื่อรีบกล่าวขัดก่อนที่แม่ตัวเองจะออกทะเลไปมากกว่านี้ เธอตะคอกใส่มือถือเสียงดังลั่น

“ฉันต้องการให้เขาเป็นอาจารย์ของฉัน! เข้าใจไหม!? เป็นอาจารย์ของฉัน!”

“…เอาล่ะ เอาล่ะ งั้นไปซื้อใบปริญญามาเลยดีไหมตอนนี้?”

“แต่หนูไม่รู้แหล่ง…”

“เดี๋ยวแม่จัดการเอง”

“แต่จะต้องมีคนไล่สืบสวนข้อเท็จจริงเรื่องนี้แน่นอน”

พอพูดจบ เหอจื่อก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง ทั้งนี้เธอยังกล่าวถึงชื่อของทุกคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องดังกล่าวทั้งหมดอีกด้วย