ตอนที่ 103

เสน่ห์คมดาบ

ทุกคนตะลึง สิ่งนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำเนิดของสัตว์เทพหรือไม่? 

 

 

“หึ! ใช่แล้ว นี่เป็นสิ่งที่วิหารแห่งแสงผู้สูงศักดิ์และใจดีของเจ้าทำเอาไว้! ไม่เพียงแต่ฆ่าคน แต่ยังสะกดวิญญาณของผู้อื่นไว้ด้วย!” เมื่อได้ยินแบบนี้วัลโดก็โกรธมากและพูดออกมาเช่นนี้ แต่ว่า เขาไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย เด็กผู้นี้แต่งเรื่องขึ้นมาหรือ? เป็นไปไม่ได้! ในฐานะที่เขาเป็นบุตรแห่งแสง จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะใส่ร้ายเทพีแห่งแสงล่ะ? 

 

 

“ข้าไม่เคยพูดว่าวิหารแห่งแสงมีเกียรติและยุติธรรม ” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดประโยคนี้อย่างเย็นชา 

 

 

วัลโดส่งเสียงฮึมฮัมอย่างไม่แยแส 

 

 

“แล้วทำไมเจ้าถึงรู้เรื่องนี้? ไม่มีบันทึกแบบนี้ในหนังสือเลยนะ” ปากของคามิลล์ยังคงยกขึ้นอย่างสง่างาม แต่ในใจของเขากลับเศร้าสร้อยที่ มีสิ่งที่เขาไม่รู้อยู่ 

 

 

“นี่คือจุดด่างพร้อย ของวิหารแห่งแสง วิหารแห่งแสงจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงเช่นนั้นเผยแพร่ ออกไปเด็ดขาด นี่คือเรื่องลับของวิหาร” น้ำเสียงของเหลิ่งหลิงยวิ๋นไม่แยแสอย่างยิ่ง ไม่มีร่องรอยของความเสน่หาใดๆ 

 

 

“หนองน้ำนี้คือบึงสีดำใช่หรือไม่?” คามิลล์ถามพลางลูบคางที่สวยงามของเขาและมองหนองน้ำที่อยู่ตรงหน้า 

 

 

“น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ทำไมสัตว์เทพถึงเลือกสถานที่เช่นนี้ล่ะ” หลี่หมิงหยู่มองหนองน้ำสีดำตรงหน้าเขาอย่างสงสัย 

 

 

“ใช่สัตว์เทพหรือไม่ก็ไม่รู้” วัลโดพูดด้วยน้ำเสียงร้ายกาจ 

 

 

“เราคอยดูอยู่ที่นี่เดี๋ยวก็รู้เอง” แคลร์มองไปรอบๆ แล้วพูด “ที่นี่ยังมีอาหารอยู่มากมายเลย” 

 

 

สัตว์เวทย์ที่อยู่รอบๆ ก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที 

 

 

พอตกกลางคืนคนทั้งกลุ่มก็ตั้งแคมป์ห่างจากหนองน้ำประมาณหนึ่งร้อยเมตร ไม่มีใครสามารถทนกลิ่นเหม็นเน่าของหนองน้ำได้หากอยู่ใกล้เกินไป พวกเขากลายเป็นศูนย์กลางและมีที่ว่างรอบๆเพราะสัตว์เวทย์ล้วนไม่กล้าเข้าใกล้พวกเขา เลย 

 

 

หลี่เยว่เหวินมองการกระทำของแคลร์แล้วพูดไม่ออกเล็กน้อย แคลร์กำลังขุดแกนเวทย์ทั้งหมดของสัตว์เวทย์ทุกตัวที่นางฆ่าออกมา ขณะที่จินเหยียนและหลี่หมิงหยู่กำลังย่างเนื้อ แคลร์ก็พาเบนและวัลโดไปจัดการสัตว์เวทย์ที่อยู่รอบๆเพื่อเอา แกนเวทย์ของสัตว์เวทย์เหล่านั้น แคลร์บอกว่าโอกาสดีๆ แบบนี้มีไม่มาก นี่คือเงินทั้งนั้น 

 

 

พวกเขา วนออกไปหนึ่งรอบแล้วกลับมา แคลร์เอาแกนเวทย์ทั้งหมดมากองไว้ตรงหน้าหลี่เยว่เหวิน “พวกเจ้ามีแหวนมิติใช่หรือไม่? เก็บพวกมันไว้สิ เมื่อพวกเรา กลับไปที่เมืองก็ขายพวกมันซะ พวกมันเป็นแกนเวทย์ระดับ 5 และ 6 ทั้งหมด น่าจะขายได้สองแสน เหรียญทองอยู่” 

 

 

หลี่เยว่เหวินตะลึง สาวน้อยผู้นี้หมายความว่าอย่างไร? 

 

 

“เจ้าต้องสอนข้าไม่ใช่หรือ ถือว่านี่เป็นค่าเล่าเรียนของข้าไง” แคลร์นั่งลงและพูดอย่างสบายๆ 

 

 

จู่ๆ หลี่เยว่เหวินก็เข้าใจ จากนั้นความรู้สึกอบอุ่นก็แผ่ซ่าน ในหัวใจของนาง นางรู้ว่าแคลร์กำลังหาเงินให้นาง แคลร์ยังจำสิ่งที่ฮว๋าหนานเทียนพูดบนเรือได้ 

 

 

“เจ้าอย่าคิดว่าแค่นี้ จะเพียงพอกับค่าเล่าเรียนนะ!” หลี่เยว่เหวินรู้สึกดีอยู่ในใจ แต่ก็พูดดุๆ ออกมา 

 

 

“ข้ารู้ นี่ก็จ่ายมัดจำบางส่วนก่อนไง” แคลร์โบกมือแล้วหันไปมองที่บึง ท้องฟ้ามืดลงอย่างช้าๆ และบริเวณโดยรอบก็ค่อยๆ ถูกกลืนไปด้วยสีดำ 

 

 

“แสง! อา มีแสงสว่าง!” ซัมเมอร์ลุกขึ้นยืนและพูดอย่างตื่นเต้นพร้อมกับโบกมือไปในทิศทางของหนองน้ำ ในฐานะที่นางเป็นหัวขโมยที่ยอดเยี่ยม ซัมเมอร์ มีความไวต่อแสงของสมบัติมาก สัญชาตญาณบอกนางว่าแสงตรงหน้า ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน 

 

 

แคลร์ก็มองเห็นมันเช่นกัน แสงสว่าง เหนือหนองน้ำนั้น 

 

 

“ไป ไปดูกัน” หลี่หมิงหยู่วางเนื้อย่างในมือแล้วลุกขึ้นยืน 

 

 

“ข้ารออยู่ที่นี่นะ ข้าไม่สนใจ” เบนนั่งหาวและนอนลงบนพื้น 

 

 

“ก็ดี เฝ้าอยู่ที่นี่นะ” แคลร์พยักหน้าแล้วเดินไปที่ริมบึงพร้อมกับทุกคน 

 

 

พวกเขามาถึงริมหนองน้ำและตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า ในคืนสลัว บริเวณ กลางบึงสีดำมีกลุ่มแสงหลากสีปรากฏอยู่ด้านล่าง สว่างไสวท่ามกลางความ มืด ดูแล้วรู้สึกใจเต้น 

 

 

“มันสวยงามมากเลย” ซัมเมอร์พึมพำขณะมองไปที่แสงหลากสีนั้น 

 

 

ทุกคนไม่พูดอะไร แต่ละคนต่างกลั้นหายใจและมองไปที่แสงหลากสีกลางหนองน้ำ 

 

 

ทันใดนั้นแสงก็สว่าง และเปล่งประกาย มากยิ่งขึ้น สัตว์เวทย์รอบหนองน้ำเริ่มกระวนกระวายใจ สัตว์เวทย์หลายตัวส่งเสียงคำรามต่ำออกมา 

 

 

“มันกำลังจะออกมาแล้ว” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูด 

 

 

แสงหลากสีสว่างขึ้นเรื่อยๆ ความถี่ในการส่องสว่างก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ ด้วย แสงนั้นดูเหมือนจะพยายามอย่างหนักที่จะฝ่าพื้นผิวหนองน้ำเพื่อส่องแสงให้สว่าง และเร็วยิ่งขึ้น สัตว์เวทย์ที่อยู่รอบๆ ยิ่งกระสับกระส่ายมากขึ้น ทั้งบึงมีเสียงดังเต็มไปหมด 

 

 

กลางคืนมืดลงเรื่อยๆส่วน แสงก็สว่างขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

แสงค่อยๆ ทะลุตะกอนบนพื้นผิวของหนองน้ำอย่างช้าๆ และแสดงสีที่แท้จริงของมัน 

 

 

ไข่สีชมพูอ้วนกลมลอยขึ้นในอากาศ แสงหลากสีพุ่งตรงไปบนท้องฟ้า แสงนั้นสว่างจนทุกคนแทบลืมตาไม่ขึ้น พวกเขา หรี่ตามองไปที่ภาพมหัศจรรย์ตรงหน้า ไข่ที่อ้วนกลมนั้นลอยอยู่ในอากาศอย่างแผ่วเบาเช่นนั้น และค่อยๆ หมุนส่องแสงหลากสีงดงาม 

 

 

ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดของสัตว์เวทย์ก็ดังขึ้นไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน ในชั่วพริบตากลิ่นเลือดก็อบอวลไปทั่ว 

 

 

มีคนมา! สายตาของแคลร์เย็นชา ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีเพียงพวกเขาที่รู้ ข่าวนี้ แต่ยังมีคนอื่น มาที่นี่ด้วย 

 

 

วินาทีต่อมาเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น ทุกคนเห็นคนห้าคนปรากฏตัวที่ฝั่งตรงข้ามผ่านแสงที่ส่องสว่างนั้น ผู้ชายสามคนและผู้หญิงสองคน เมื่อพิจารณาจากเสื้อผ้าของพวกเขาแล้ว ชายร่างสูงที่รุปร่างดู แข็งแรงคือนักรบ เขามีขวานขนาดใหญ่บนหลังที่ เขาสามารถเอื้อมมือไปคว้าได้ ชายอีกคนคือนักเวทย์ชายใบหน้าผอม เขาจมูกทรงนกอินทรีและดวงตาที่เศร้าหมอง ส่วนชายอีกคนเป็นนักธนู ร่างผอมที่มีสีหน้าเย็นชา ผู้หญิงสองคนหน้าตาเหมือนกัน ทั้งสองแต่งกายธรรมดาจึงบอกไม่ได้ว่าประกอบอาชีพอะไร แต่ทั้งคู่เป็นฝาแฝดกัน 

 

 

คนทั้งสองกลุ่มต่างมองหน้ากันและกัน 

 

 

“โอ้ มีคนมาก่อนเรา แต่ไม่เป็นไรหรอก คนตายปล้นเราไม่ได้ ” นักรบผู้สง่าผ่าเผยจับที่หน้าอกของเขาและพูดอย่างน่ารังเกียจ 

 

 

นักธนูร่างผอมก็เริ่มหยิบธนูและเล็งมาทางนี้โดยไม่ได้เจาะจง เขาดึงสายธนูเต็มที่เลย 

 

 

“ชิ่ว…” เสียงที่คมกริบนั้นทำให้กลุ่มของแคลร์ตกใจมาก! การโจมตีครั้งนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน! ที่สำคัญที่สุดก็คือนักธนูร่างผอมนั้นไม่ได้หยิบลูกศรเลย! สิ่งนี้หมายความว่าอะไร ? ก็หมายความว่าอีกฝ่ายใช้ธนูเวทย์เช่นเดียวกับเฉียวฉู่ซินใช้ไงล่ะ! ท่าทางในการดึงธนูเมื่อกี้ดูเหมือนว่าคู่ต่อสู้ใช้พละกำลังไม่ถึง 30% เลยด้วยซ้ำ! 

 

 

“ปัง!” เสียงดังขึ้นบนท้องฟ้ายามค่ำคืน 

 

 

เหลิ่งหลิงยวิ๋นกางเขตกั้นเวทย์เพื่อป้องกันการโจมตี จากนั้นธนูและลูกศรก็กระทบ เข้าที่ เขตกั้นพร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังขึ้น นั่นคือลูกศรเปลวไฟ! 

 

 

“ว้าย ตายแล้ว อย่าทำร้ายคนหล่อผู้นั้นนะ! เก็บไว้ให้พวกเรา!” หลังจากที่ธนูและลูกศรระเบิด เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างตำหนิในทันที 

 

 

“เมื่อไหร่เจ้าสองคนจะปรับปรุงรสนิยมของพวกเจ้าเสียที? ใบหน้าขาวๆ เล็กๆ แบบนั้น พวกเจ้าก็ชอบงั้นหรือ? อย่างข้าเท่านั้นที่จะเรียกว่าผู้ชาย ดูกล้ามของข้า ดูขนหน้าอกของข้าสิ!” นักรบพูดและถือขวานขนาดใหญ่อย่างไม่รำคาญใจ 

 

 

“โอ๊ย! ก็เจ้าดูเหมือนหมี! เจ้าจะเปรียบเทียบกับผู้ชายที่หล่อเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?” หญิงสาวอีกคนพึมพำด้วยความโกรธ 

 

 

“ให้ตายเถอะ! ข้าจะสับใบหน้าขาวนั่นให้เละโทษฐาน ที่ทำให้พวกเจ้าชอบเลย” นักรบผู้ยิ่งใหญ่พูดและดึงขวานของเขาออกมาเขา พุ่งเข้าไปหากลุ่มของแคลร์โดยไม่ได้อ้อมจากด้านข้างของหนองน้ำ แต่เขาก้าวเข้าไปในบึงโดยตรงเลย! ร่างสูงเพิ่งก้าวลงไปบนหนองน้ำ แต่เขาไม่จม! เขากลับรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว! 

 

 

ใบหน้าของแคลร์เปลี่ยนไปเล็กน้อย นางรู้แล้วว่าวันนี้นางเจอศัตรูที่ทรงพลังเข้าให้แล้ว! 

 

 

คืนนี้คงจะต้องต่อสู้กันหนักเลย! 

 

 

นักรบผู้สง่าผ่าเผยตะโกนและพุ่งตัวไปข้างหน้า จินเหยียนท่าทางเย็นชาและชักดาบออกมาอย่างรุนแรงเพื่อโต้เขา 

 

 

เสียง อาวุธฟาดฟันกันดังก้องไปทั่วท้องฟ้า 

 

 

จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้น นักเวทย์ฝั่งตรงข้ามปล่อยเวทย์โจมตีออกมา ซึ่ง คือเวทย์ไฟ เมื่อจินเหยียนและนักรบของฝ่ายตรงข้ามต่อสู้กัน นักเวทย์ของฝ่ายตรงข้ามก็ลอบโจมตีจินเหยียน แคลร์จึง ทำการสกัดกั้นเวทย์มนตร์ในทันที เวทมนตร์ของนักเวทย์ร่างผอมและเวทมนตร์ของแคลร์ปะทะกันและระเบิดกลางอากาศ ประกายไฟจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายจนทำให้สภาพแวดล้อมสว่างไสวขึ้นทันที 

 

 

นักธนูของฝ่ายตรงข้ามยิงธนูมาอีกครั้งและก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นอีก เหลิ่งหลิงยวิ๋นกางเขตกั้นขวางลูกธนูเวทย์ที่นักธนูของฝ่ายตรงข้ามยิงมาแล้วลูกศรเวทย์ก็ระเบิดลงบนเขตกั้นนั้น ดวงตาของเฉียวฉู่ซินเย็นชาทันที นางรีบดึงธนูเวทย์ที่หลังออกมาและยิงธนูใส่คู่ต่อสู้ 

 

 

ลูกศรเวทย์ที่เฉียวฉู่ซิยิงไปยังคู่ต่อสู้นั้น ทำให้ นักธนูของฝ่ายตรงข้ามตะลึงไป เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คิดว่าคู่ต่อสู้จะใช้ธนูเวทย์เช่นกัน นักเวทย์ของฝ่ายตรงข้ามกางเขตกั้นทันทีเพื่อปิดกั้นลูกศรเวทย์ที่เฉียวฉู่ซินยิงมา ลูกศรเวทย์นั้นพุ่งเข้าใส่กำแพงพร้อมกับเสียงแหลมที่ทำให้คนขนลุก 

 

 

“โอ้ คราวนี้เจอ คนเก่งนี่” แฝดหญิงมอง ด้วยความประหลาดใจ 

 

 

“หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว รีบเข้ามาสิ” นักเวทย์ร่างผอมยังคงปล่อยเวทย์ของเขาต่อไป เขาสามารถปล่อยเวทย์ไปได้ทันทีโดยไม่ต้องร่ายคาถาเลย! 

 

 

สิ่งที่ทำให้แคลร์ตกใจก็คือชาย ที่ต่อสู้กับจินเหยียนระเบิดพลังยุทธ์สีเทาออกมา ! นั่นคือนักรบผู้ยิ่งใหญ่ ! จินเหยียนต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่ยากลำบากมากแล้ว 

 

 

ซัมเมอร์กลืนน้ำลายแล้วขยับไปข้างหลังแคลร์ นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่เสียงทุ้มต่ำของคามิลล์ก็ดังขึ้น “แคลร์ ปกป้องข้าด้วย” 

 

 

“ท่านเป็นราชานักฆ่าไม่ใช่หรือไง? ท่านยังต้องการให้คนปกป้องอีกหรือ?” ซัมเมอร์พูดอย่างดูถูก 

 

 

“การเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัวไม่ใช่จุดแข็งของข้า” คามิลล์พูด จากนั้นเขาก็ยืนอยู่ข้างหลังแคลร์อย่างสง่างาม ท่าทางเคลื่อนไหวอัน สง่างามของเขาเป็น พฤติกรรมที่ไม่สง่างามเอาเสียเลย