บทที่ 81 แสงสีเขียวหมายถึงอะไร

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

การลาดตระเวนยามกลางวันทั้งสามวันก็ผ่านไปเช่นนี้ คืนวันนี้สวี่ชีอันและซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวรวมกลุ่มกัน เขาสวมชุดเครื่องแบบสีดำ เสื้อคลุมตัวสั้น ที่อกแขวนฆ้องทองแดงเอาไว้ ที่เอวห้อยดาบพก แล้วเดินอาดๆ ไปตามถนนในเขตเมืองชั้นในอย่างสบายอารมณ์

ตกค่ำอากาศเย็นลงเรื่อยๆ ดอกไม้บานร่วงลงพื้นกลายเป็นน้ำค้างแข็ง

เมืองหลวงยามค่ำคืนเงียบสงัด ล่วงเข้าสู่ฤดูหนาวแล้วจึงไม่มีเสียงนกเสียงแมลง เงียบเสียจนทำให้สวี่ชีอันคิดว่าตนอยู่ในชนบทที่แสนผ่อนคลาย

บางคราวก็จะได้ยินเสียงฝีเท้าเป็นระเบียบสม่ำเสมอและเสียงเกราะกระทบกันดังโครมคราม

นั่นคือกองดาบที่มาลาดตระเวนในเมือง

หลังจากลาดตระเวนไปตามถนนเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ซ่งถิงเฟิงก็พาสหายร่วมงานทั้งสองคนกระโจนขึ้นไปบนยอดหลังคาของอาคารเล็กๆ แห่งหนึ่ง มองลงไปก็จะเห็นถนนตัดกันทั่วทุกทิศ

“ลาดตระเวนที่ถนนเป็นงานของกองดาบ หน้าที่หลักๆ ของพวกเราคือเจ้าพวกที่เหาะเหินอยู่บนหลังคาพวกนั้น” ซ่งถิงเฟิงยืนอยู่บนหลังคารับลมยามค่ำคืนพลางหรี่ตามอง

“มีเพียงแค่ตอนสังเกตการณ์เท่านั้นจึงจะขึ้นบนหลังคาได้ เว้นเสียแต่จะเจอคดีใหญ่ ไม่อย่างนั้นเจ้าห้ามเหาะเหินขึ้นหลังคาส่งเดช เมืองหลวงมีพวกน้ำนิ่งไหลลึก ยอดฝีมือทั้งที่สว่างและที่มืดมีมากมายนับไม่ถ้วน หากเดินบนหลังคาสะเปะสะปะเล่าก็ ไม่แน่อาจมีกระบี่บินมาจากทั่วที่ใดสักที่แล้วฆ่าเจ้าทิ้งได้”

หยุดไปพักหนึ่งเขาก็เอ่ยเสริม “แน่นอนว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลย่อมแก้แค้นแทนเจ้า รวมถึงเก็บศพและมอบเงินทำขวัญด้วย”

“เงินทำขวัญคือเท่าไหร่หรือ” สวี่ชีอันถาม

“สำหรับฆ้องทองแดงคือสามร้อยตำลึงเงิน” ซ่งถิงเฟิงบอก “ค่อนข้างมีมโนธรรมอยู่นะ สามร้อยตำลึงเงิน เพียงพอให้บุตรภรรยามีชีวิตรุ่งเรืองแล้ว”

“แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้สามร้อยตำลึงเงินก็พอให้ข้านอนกับฝูเซียงที่ค่าตัวพุ่งขึ้นมาได้แค่ห้าครั้งเท่านั้น…” สวี่ชีอันกล่าวติดตลก “นั่นสิหนา จากนั้นภรรยาเจ้าก็จะแต่งงานใหม่ ผู้ชายคนอื่นก็จะใช้เงินของเจ้า นอนกับลูกสะใภ้ แล้วยังทุบตีลูกชายเจ้าด้วย”

“…” ซ่งถิงเฟิงมองเขาโดยไม่พูดอะไร พักหนึ่งก็กลั้นใจเอ่ยออกไป “จู่ๆ ข้าก็รู้สึกโชคดีที่ยังไม่สร้างครอบครัว”

จูกว่างเสี้ยวพยักหน้าด้วยสีหน้าอึมครึม

เที่ยงของวันต่อมา สวี่ชีอันที่นอนไปได้แค่ห้าชั่วยามก็ลุกขึ้นจากที่นอนอย่างกระฉับกระเฉง

ใช้แปรงขนคอหมูจุ่มผงสีฟัน แล้วนั่งยองๆ แปรงฟันอยู่ใต้ชายคา

ผงสีฟันก็คือยาสีฟันแบบโบราณ มียาจีนเก้าชนิดได้แก่ ขิง จ้าวเจี่ยว[1] เซิงหมา[2] โกฐขี้แมว กะเม็ง ฮว๋ายเจี่ยว ซี่ซิน[3] ใบบัว เกลือเขียว

นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบที่สวี่ชีอันในชาติก่อนไม่เคยได้สัมผัส มีชื่อว่า ยาขจัดคราบตะกรัน[4]

ของสิ่งนี้มีผลช่วยทำให้ฟันสะอาด ขาวสวย และขจัดกลิ่นปากโดยตรงได้ดีอย่างยิ่ง

ยาสีฟันของชาติก่อนยังด้อยกว่าผงสีฟันของยุคสมัยนี้มาก

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือผลงานของนักเล่นแร่แปรธาตุจากสำนักโหราจารย์

การมีอยู่ของนักเล่นแร่แปรธาตุทำให้ชีวิตของชาวบ้านระดับล่างสะดวกและสุขภาพดียิ่งขึ้น

ความจริงแล้วพวกเขาเก่งกาจมาก เพียงแต่ประวัติศาสตร์สายการเล่นแร่แปรธาตุค่อนข้างสั้น ไม่ได้ก่อร่างขึ้นเป็นการเรียนการสอนทางทฤษฎีแบบรอบด้าน

และทฤษฎีเคมีของสวี่ชีอันก็ได้เสริมจุดอ่อนของนักเล่นแร่แปรธาตุพอดี

เขาข้ามกำแพงมายังบ้านใหญ่ ในเวลาแบบนี้ อาสะใภ้กับพวกน้องสาวกินข้าวเที่ยงเรียบร้อยแล้ว

บ่ายของวันนี้จะต้องไปฝึกลมหายใจหลอมปราณ ใคร่ครวญเรื่องวิชาดาบเดียวตัดฟ้าดิน ดังนั้นจึงไม่ได้ไปฟังดนตรีกินอาหารที่หอคณิกา สวี่ชีอันให้ห้องครัวอุ่นอาหารที่เหลืออยู่มาให้เขา

เขาไม่ได้เข้าสู่การฝึกบำเพ็ญในทันที แต่ไปหยอกเล่นกับสวี่หลิงอินที่เรือนหลังอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงไปคุยเล่นไร้สาระเรื่องเหลียงซานป๋อและจู้อิงไถ[5] กับน้องหญิงวัยสิบเจ็ดปีผู้มีดวงตากลมโตดวงหน้าเรียวราวกับเมล็ดแตง องคาพยพทั้งห้าประณีตละเอียด

“กลับไปข้าจะเขียนนิยายให้น้องหญิงสักหน่อย เอาไว้อ่านยามอยู่ในห้องหอ” สวี่ชีอันเอ่ยพร้อมยิ้ม

“เป็นเรื่องราวความรักเหมือนเหลียงซานป๋อและจู้อิงไถหรือเจ้าคะ” สวี่หลิงเยวี่ยแย้มยิ้มราวบุปผา

“ไม่ใช่ น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าสองคนนั้นอีก”

“เรื่องอะไรหรือ” เมื่อได้ยินคำว่าน่าตื่นเต้น สวี่หลิงเยวี่ยก็หน้าแดงก่ำ

“ความรักแท้จริงระหว่างชายหนุ่มหญิงสาวผมขาวสองคน”

น่าเสียดายที่งานด้านวรรณกรรมของข้าไม่ดี นิยายที่เคยอ่านส่วนมากในชาติก่อนก็จำรายละเอียดไม่ได้…ไม่อย่างนั้นตอนนี้ข้าคงอาศัยนิยายออนไลน์มาหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำแล้ว…สวี่ชีอันถอนหายใจอย่างจนปัญญา

เมื่อเดินผ่านห้องของสวี่ฉือจิ้ว เขาก็ได้ยินเสียงท่องหนังสือดังออกมาจากข้างใน

“ฉือจิ้ว เจ้าไม่ได้อยู่ในสำนักศึกษาหรือ” สวี่ชีอันยืนอยู่ข้างหน้าต่างและเอ่ยถาม

“กำลังจะไปหาพี่ใหญ่พอดี” สวี่ฉือจิ้วหยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะแล้วเดินมาที่ข้างหน้าต่าง ก่อนยื่นให้สวี่ชีอัน

“นี่คือสิ่งที่อาจารย์กับท่านมู่ไป๋และท่านโย้วผิงให้ข้าส่งมอบให้พี่ใหญ่ ข้ากลับมาตั้งแต่เช้าแล้วแต่เจ้ายังหลับอยู่”

สวี่ชีอันเปิดตำราดูอย่างสงสัย พลิกไปสองสามหน้าแบบสุ่มๆ เขาก็พบว่าเนื้อหาในตำรานั้นแปลกประหลาดมาก

มีทั้งตัวอักษร มีทั้งประชุมแผนที่ เหมือนกับนำสิ่งต่างๆ มากมายหลากหลายมายัดรวมเข้าด้วยกัน

สวี่ซินเหนียนอธิบายเสียงเบา “สิ่งที่บันทึกอยู่ในหนังสือนี้คือเคล็ดวิชาฝึกตนของแต่ละสาย ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามท่านนำวิชาคาถาที่สะสมของแต่ละท่านมารวมกันแล้วมอบให้เจ้า”

เหมือนข้าจะได้กลิ่นคนอิจฉานะ…ดวงตาของสวี่ชีอันเปล่งประกายเจิดจ้า

สวี่ซินเหนียนกล่าวต่อ “ลัทธิขงจื๊อระดับหกเรียกว่ากำเนิดปราชญ์ แก่นของระดับนี้คือ ‘การเรียน’ สามารถบันทึกวิชาคาถาที่ได้เห็นบนกระดาษด้วยปลายพู่กันได้ พี่ใหญ่ใช้พลังปราณจุดไฟที่กระดาษก็สามารถใช้วิชาคาถาที่จดบันทึกไว้บนกระดาษได้แล้ว”

ลัทธิขงจื๊อเป็นตัวช่วยที่แข็งแกร่งจริงๆ สวี่ชีอันควบคุมมุมปากของตน อดกลั้นความดีใจแล้วพยักหน้า “ขอบใจมาก ฝากบอกปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามท่านด้วยว่าวันหน้าข้าจะไปคำนับขอบคุณที่สำนักแล้วหารือเรื่องบทกวีกับพวกเขา”

ดั่งคำที่ว่าดีมาก็ดีกลับ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามส่งของขวัญมาให้อย่างไม่มีที่มา ก็ย่อมต้องมีเหตุผล

สวี่ซินเหนียนส่งเสียง “อืม” แล้วโบกมือ “พี่ใหญ่ไปเถอะ อย่าได้รบกวนข้าอ่านหนังสือ พรุ่งนี้ข้าจะกลับสำนักศึกษาแล้ว”

ฉือจิ้วอย่าได้อิจฉา พี่ใหญ่ยังรักเจ้านะ!

สวี่ชีอันจากไปอย่างเป็นสุข

ย่ำค่ำ สวี่ชีอันเปลี่ยนไปสวมชุดเครื่องแบบของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแล้วขี่ม้าไปยังที่ทำการโดยไม่หยุดพัก

ก่อนที่ประตูเมืองชั้นในจะปิด เขาก็มาถึงที่ทำการ พบสหายร่วมงานอย่างพวกซ่งถิงเฟิงทั้งสองคน ก่อนจะเริ่มทำงานกะดึกเยี่ยงสัตว์

ค่ำคืนในเมืองชั้นในค่อนข้างเงียบสงบ จนกระทั่งถึงกลางดึก พวกสวี่ชีอันทั้งสามคนก็จับกุมหัวขโมยที่โชคดีหนีการลาดตระเวนของกองดาบมาได้สองคน

ตามคำกล่าวของซ่งถิงเฟิง ผลงานเล็กๆ เช่นนี้มากสุดก็แค่ห้าอีแปะ

สวี่ชีอันยืนอยู่บนยอดหลังคาของร้านอาหารแห่งหนึ่ง ทอดมองเมืองหลวงยามค่ำคืน

ซ่งถิงเฟิงเคี้ยวถั่วคั่วแล้วเอ่ยถาม “หนิงเยี่ยน เคล็ดวิชาของเจ้าคืออะไร มีลักษณะเด่นอย่างไรหรือ”

สวี่ชีอันตอบตามตรง “การใช้งานในการต่อสู้จริงนั้นแข็งแกร่งมาก พลังทำลายล้างก็แข็งแกร่งยิ่งกว่า เพียงแต่ไม่ค่อยคงทน…อืม หลังจากข้าฟันดาบออกไปหนึ่งครั้ง ข้าจะอ่อนแออยู่ช่วงสั้นๆ”

บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่ในหนึ่งดาบจะตัดไม่ได้ ถ้าหากมี เช่นนั้นก็หนี…ตอนแรกสวี่ชีอันยังคิดว่าผู้เขียนป่วนไปเรื่อย

ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคำชี้แนะอันล้ำเลิศ แก่นแท้ของเคล็ดวิชานี้ก็คือเป็นชายชาตรีอย่างแท้จริงหนึ่งวินาที พอฟันเสร็จแล้วก็ล้มทรุด

ข้อดีคือพลังทำลายล้างรุนแรง สวี่ชีอันสงสัยว่าหากฝึกไปจนถึงระดับสูงจนลึกล้ำได้แล้ว เขาจะฟันคนระดับสูงกว่าได้

พูดคุยกันอยู่สองสามคำ เขาก็ฉวยโอกาสที่ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวไม่สนใจ หยิบตำราที่เหล่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มอบให้ออกมาจากในกระจกหยกใบเล็ก แล้วฉีกออกมาหนึ่งหน้า

กระดาษแผ่นนี้วาดภาพดวงตาสว่างใสคู่หนึ่ง วิชาคาถาที่สอดคล้องกันก็คือวิชามองปราณของสำนักโหราจารย์

วิชาเวทระดับต่ำเช่นนี้มีอยู่ในตำรามากมาย เป็นวิชาเวทสนับสนุน ไม่ได้ล้ำค่าอะไรขนาดนั้น

สวี่ชีอันคิดจะทำความคุ้นเคยวิธีการใช้ตำรานี้ให้สมใจอยากสักหน่อย

‘ชี่!’

พลังปราณลุกไหม้กระดาษ แสงไฟส่องสว่างในพริบตา ดึงดูดความสนใจของจูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิง

สวี่ชีอันรู้สึกปวดตา ในวิสัยทัศน์ของเขามีสีสันมากมายปรากฏขึ้น โลกทั้งใบราวกับกลายเป็นภาพเขียนสีน้ำมันสดใส

สีขาวนั้นมีมากที่สุดและหนาแน่นที่สุด กระจัดกระจายเป็นหย่อมๆ รองลงมาเป็นสีแดง สีแดงอ่อน สีแดงสด ตามด้วยสีม่วง

สีม่วงในสีแดง ม่วงอ่อนจาง และม่วงเข้ม…อย่างสุดท้ายนั่นมาจากทางพระราชวัง

นี่ก็คือปราณสินะ…ปราณที่มีอยู่ในทุกสรรพสิ่งในฟ้าดิน ในใจของสวี่ชีอันเกิดการตระหนักรู้พุ่งขึ้นมา

ตอนนี้เอง เขาก็มองเห็นสีแปลกๆ ตำแหน่งมาจากทางพระราชวัง มันมีสีสันเปล่งประกายงดงามราวกับสีของสายรุ้ง

สีสันแพรวพราว…แตกต่างจากสีม่วงอันหมายถึงราชวงศ์โดยสิ้นเชิง แต่กลับอยู่ในพระราชวัง…นักบวชเต๋าจินเหลียนเคยพูดไว้ว่าข้าจะมีความสัมพันธ์กับสตรีที่นั่งรถม้าประจำราชวงศ์ผู้นั้น แล้วท่านนักบวชยังประเมินสตรีผู้นั้นว่า ภาพปราณโดดเด่นโชติช่วง ยากจะพบเห็นในโลกมนุษย์…

ปราณใส…ก็อยู่ทางพระราชวังเช่นกัน ข้าจำได้ว่าไฉ่เวยเคยบอกว่าปราณใสหมายถึงลัทธิขงจื๊อหรือไม่ก็ลัทธิเต๋า…อืม เช่นนั้นนั่นก็คือนิกายมนุษย์หรือ

เอ๋ ทำไมสีของสำนักสังคีตถึงเป็นสีเขียวมรกตล่ะ…สตรีของหอนางโลมส่วนใหญ่ล้วนเป็นสมาชิกในครอบครัวของขุนนางต้องโทษ…น่าจะเป็นเพราะข้าคิดมากไป ค่อยกลับไปถามไฉ่เวยว่าแสงสีเขียวหมายถึงอะไรแล้วกัน…เอ๋ หายไปแล้วหรือ

เขามองเห็นปราณสีเขียวมรกตอยู่ที่สำนักสังคีต มันกะพริบวูบพักใหญ่ แล้วก็เลือนหายไป

สุดท้ายเขาก็ทอดสายตามองไปยังสำนักโหราจารย์ มองไปยังหอดูดาวใต้ภูเขา

“อ๊าก…” จู่ๆ สวี่ชีอันก็ร้องออกมาแล้วตกลงจากยอดหลังคาร้านอาหาร

เขาเจ็บจนกลิ้งไปทั่วพื้น ปิดตา กรีดร้องลั่นไม่หยุด

จูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิงตกใจยกใหญ่ กระโจนลงจากหลังคา คนหนึ่งชักดาบเตรียมป้องกัน อีกคนเดินเข้าไปดู

“เจ้าเป็นอะไร” ซ่งถิงเฟิงเอ่ยอย่างร้อนใจ

………………………….

[1] จ้าวเจี่ยว คือฝักของต้นตั๊กแตนผึ้งจีน โดยจะใช้ฝักแห้งเอามาทุบแล้วลอกเปลือกสีดำและเมล็ดที่อยู่ข้างในออก ในสมัยโบราณจะนำไปใช้ในการซักผ้าและทำความสะอาดร่างกายได้

[2] เซิงหมา สมุนไพรจีน มีสรรพคุณในการขับลมร้อน ขับเหงื่อ กระทุ้งผื่น ล้างพิษ

[3] ซี่ซิน สมุนไพรจีน มีสรรพคุณในการขับลมเย็นและความชื้น แก้ปวด ทำให้จมูกโล่ง ละลายเสมหะ

[4] ยาขจัดคราบตะกรัน หรือก็คือคราบหินปูน

[5] เหลียงซานป๋อกับจู้อิงไถ เป็นตำนานความรักพื้นบ้านของชาวจีน รู้จักกันในชื่อม่านประเพณี ได้รับการยกย่องว่าเป็นตำนานโรมิโอและจูเลียตแห่งตะวันออก