พันมหัศจรรย์ (ท้าย) โดย ProjectZyphon

ในขอบเขตของต้าหลี เทพแม่น้ำทั้งหมดที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก เมื่อมาอยู่ในสายตาของชาวบ้านทั่วไปก็เป็นเพียงแค่รูปปั้นดินเผาร่างทองรูปหนึ่งและศาลอีกแห่งหนึ่งเท่านั้น ต่อให้เป็นมหาเทพห้าขุนเขาก็ยังคงเป็นเช่นเดียวกันนี้ ไม่มีข้อยกเว้น

แต่หากเป็นบุรพแจกันสมบัติทวีปที่นอกเหนือจากต้าหลีแล้ว อย่าว่าแต่เทพแม่น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูอำเภอหลงเฉวียน หรือแม่น้ำชงตั้นของเมืองหงจู๋เลย เกรงว่าต่อให้เป็นองค์เทพระดับล่างอย่างแม่ย่าลำคลองหลงซวีที่ขอแค่มีความสัมพันธ์อันดีกับขุนนางท้องถิ่น บวกกับบริเวณใกล้เคียงไม่มีตระกูลเซียนที่ทรงอิทธิพล ก็ล้วนสามารถสร้างจวนภูเขาแม่น้ำที่เปิดเผยโจ่งแจ้งได้ และขนาดของจวนนั้นก็แทบไม่ต่างจากจวนขุนนางระดับสูงของราชสำนักในโลกมนุษย์ ซ้ำอาจถึงขั้นเหนือกว่าอีกด้วย

ในฐานะหนึ่งในองค์เทพที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแคว้นหวงถิง เทพแม่น้ำหันสือจึงใช้เวลาหลายปีสร้างจวนโอ่อ่าหรูหราที่แขวนกรอบป้ายว่า ‘มหาวารี’ ไว้ในช่วงแม่น้ำที่ไม่มีเมืองอยู่ใกล้ในรัศมีร้อยลี้ กินอาณาบริเวณพันไร่ เพียงแต่หลังประกาศบอกกับคนนอกไปว่าเจ้าของสถานที่แห่งนี้คือสกุลฉู่ผู้มีคุณูปการในการบุกเบิกแคว้นหวงถิง คนรุ่นหลังของสกุลฉู่ที่รู้วิธีการหาเงินจึงได้ครอบครองกิจการยิ่งใหญ่เทียมฟ้า แต่ในความเป็นจริงแล้วเจ้าของที่แท้จริงก็คือเทพแม่น้ำหันสือ

คืนนี้ในจวนสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ เสียงเพลงคลอเคล้าเสียงหัวเราะเบิกบาน สลับเปลี่ยนไปด้วยเสียงกระทบกันของจอกเหล้า

เหล่าผู้สูงศักดิ์นั่งกันอยู่เต็มห้องโถง

สองฝากผนังแขวนโคมฉางหมิง (สว่างยาวนาน) ดารดาษ วัตถุประเภทนี้ต่อให้เป็นตระกูลบนภูเขาก็ยังถือว่าสมบัติล้ำค่าที่มีให้เห็นไม่มากนัก ความแพงของมันไม่ได้อยู่ที่ตัวโคมซึ่งถูกสร้างอย่างประณีตบรรจง แต่อยู่ที่เครื่องหอมน้ำลายมังกรหนึ่งหยดต่างหาก ส่วนใหญ่แล้วโคมฉางหมิงจะถูกนำไปใช้ในห้องลับของกษัตริย์หรือในสุสานหลวง แค่เอาเทียนไขธรรมดามาแท่งหนึ่ง จากนั้นหยดน้ำมันตะเกียงที่ได้มาจากไขมันปลาวาฬมังกรหอมใต้ทะเลลึกลงไปบนใส้เทียนหนึ่งหยด หากคุณภาพของเครื่องหอมน้ำลายมังกรดีพอ ไฟในโคมนี้อยู่ได้นานร้อยปีก็ไม่ดับ อีกทั้งกลิ่นหอมประหลาดยังคงอยู่เนิ่นนาน สามารถทำให้จิตใจสงบ ไม่แพ้เครื่องหอมชั้นเยี่ยมเลย

ชายสวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่งนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงอันเป็นที่นั่งของประธาน ในมือถือจอกเหล้าหยกขาว แกว่งเบาๆ สุราสีทองอร่ามเหนียวข้นก็ส่งกลิ่นหอมกำจาย

ตรงหน้าอกชุดคลุมของบุรุษปักรูปวงกลมรูปหนึ่ง ซึ่งก็คือรูปมังกรสีทองนอนขดตัว

ในห้องโถงมีแขกที่เดินทางมาจากทิศไกลยี่สิบกว่าคน ทุกคนต่างก็เป็นผู้ฝึกตนที่มีฐานะไม่ธรรมดา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับชายสวมชุดคลุมสีดำผู้นี้กลับยังมีท่าทางนอบน้อมเปี่ยมมารยาท บางครั้งสีหน้าและแววตาฉายความกริ่งเกรง ไม่เหมือนแค่ความเคารพที่แขกมีต่อเจ้าของบ้านเท่านั้น

……

โรงเตี๊ยมชิวหลู

ในห้อง เด็กหนุ่มชุดขาวจากไปนานแล้ว อาศัยแสงจากตะเกียง เฉินผิงอันแกะสลักปิ่นหยกขาวชิ้นแรกเสร็จแล้ว จึงเงยหน้ามองหลี่ไหวที่นอนฟุบหน้าอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตัวเอง “เจ้าชอบคำว่าหลี่ไหวหรือคำว่าไหวอิน (ร่มเงาต้นไหว)? หากสลักชื่อของเจ้าก็จะเหมือนเป่าผิงกับโส่วอี เรียบง่ายเข้าใจไม่ยาก แต่ถ้าเป็นไหวอินก็จะพอมีความหมายแฝงอยู่บ้างเล็กน้อย”

หลี่ไหวมีเรื่องวุ่นวายในใจ พอได้ยินก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ตามใจเจ้า ข้ายังไงก็ได้”

เฉินผิงอันหยิบปิ่นหยกสีหมึกชิ้นนั้นขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นเอาชิ้นนี้นะ? สีสันของมันค่อนข้างเหมาะกับคำว่าไหวอิน”

หลี่ไหวพยักหน้ารับ จากนั้นก็ปลุกระดมความกล้าถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้าจะต่อยให้หลินโส่วอีตายในหมัดเดียวเพราะความโกรธหรือไม่? ข้ารู้สึกว่าถึงแม้หลินโส่วอีจะเป็นผู้ฝึกลมปราณอะไรนั่นแล้ว แต่ถ้าเขาทะเลาะกับเจ้า ข้าก็คิดว่าคงต้องแลกหมัดกันสักสองสามหมัดมากกว่า อันที่จริง หลินโส่วอีนิสัยไม่ค่อยดีอยู่บ้าง ค่อนข้างเงียบขรึมเป็นน้ำเต้าตัน ใส้ก็คดงอหลายตลบ (เปรียบเปรยว่ามีอุบายเยอะ) กว่าพวกเรา แต่เขาก็ไม่ใช่คนจิตใจชั่วร้ายนะ…”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “คิดอะไรของเจ้าน่ะ ข้าจะทะเลาะกับหลินโส่วอีได้ยังไง”

หลี่ไหวพูดเสริมขลาดๆ อีกหนึ่งประโยค “แล้วถ้าหลินโส่วอีเป็นฝ่ายมาหาเรื่องเจ้าก่อนล่ะ เฉินผิงอัน ถึงเวลานั้นเจ้าจะลงมือก็ได้ แต่แค่สั่งสอนเขานิดหน่อยก็พอแล้ว จำไว้ว่าอย่าหนักมือเกินไป หลินโส่วอีเป็นลูกหลานคนรวย ไม่ได้หนังหนาอย่างข้าที่ถูกหลี่เป่าผิงทุบตีอยู่หลายทีก็ยังไม่เป็นอะไร ข้ารู้สึกว่าเขาทนรับไม่ไหวหรอก”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องที่เกี่ยวกับจิตใจของคนอย่างไรจึงได้แต่พูดว่า “ข้าจะระวัง”

คราวนี้หลี่ไหววางใจได้จริงๆ แล้ว จึงรีบยิ้มกว้าง ลุกขึ้นวิ่งไปทางหีบหนังสือใบเล็ก หยิบเอาหุ่นไม้สีสันกับเงินก้อนนั้นออกมาแล้วกลับมานั่งลงข้างโต๊ะเหมือนเดิม พอจัดวางให้หุ่นไม้เหยียบบนเงินก้อนแล้วก็ถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “ก่อนหน้านี้หลินโส่วอีบอกกับข้าว่า เขตการปกครองและนครใหญ่ใต้หล้าล้วนใช้กฎระเบียบและพิธีการที่ลัทธิขงจื๊อเป็นผู้ตั้งให้แก่ราชวงศ์ในการสร้างหอเทพอภิบาลเมือง ในอำเภอที่มีศาลเทพอภิบาลเมืองจะมีขุนนางพ่อแม่อย่างผู้พิทักษ์เมือง นายอำเภอ ฯลฯ ที่ทำหน้าที่ปกป้องดูแลในโลกมนุษย์ ส่วนตำแหน่งของเทพอภิบาลเมืองก็คือควบคุมดูแลโลกแห่งความตาย ลาดตระเวนพื้นที่ในปกครอง ป้องกันไม่ให้ภูตผีสิ่งชั่วร้ายเข้ามาก่อเรื่อง เฉินผิงอัน เจ้าว่าศาลเทพอภิบาลเมืองที่พวกเราไปเยือนก่อนหน้านี้มีขนาดใหญ่ถึงเพียงนั้น อีกทั้งยังตั้งอยู่ในตัวเมือง ทำไมถึงยังเรียกว่าศาลอีกล่ะ? ทำไมถึงไม่เรียกว่าหอเทพอภิบาลเมือง? อีกอย่างเมื่อตอนกลางวันพวกเราเดินเล่นอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองนานขนาดนั้น เป็นไปได้ไหมว่าอันที่จริงพวกเราได้เจอกับเทพอภิบาลเมืองแล้ว เพียงแต่ว่าพวกเราไม่รู้ว่าเขาเป็นใครก็เท่านั้น?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “เรื่องพวกนี้เจ้าต้องไปถามชุยตงซานผู้นั้น”

หลี่ไหวส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าไม่ชอบไอ้หมอนั่น ทำตัวลึกลับประหลาดนัก”

……

ในห้องหนึ่ง แม่นางหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กนั่งอยู่ตรงข้ามกันโดยมีตะเกียงหนึ่งดวงกั้นกลาง คนหนึ่งกำลังเช็ดขลุ่ยไม้ไผ่ อีกคนหนึ่งยกแขนสองข้างขึ้นกอดอกจ้องอีกฝ่ายเขม็ง

แม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงกล่าวว่า “เซี่ยเซี่ย ตอนกลางคืนเจ้าชอบนอนกรนเสียงดังราวเสียงฟ้าผ่า ตอนกลางคืนข้านอนอยู่ในกระโจมของตัวเองห่างจากเจ้าไกลถึงขนาดนั้นก็ยังได้ยินเสียงของเจ้า”

เด็กสาวผิวดำเงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ “ขอโทษที เวลานอนข้าไม่กรน”

หลี่เป่าผิงเลิกคิ้ว “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตัวเองไม่ได้นอนกรน?”

เซี่ยเซี่ยใช้ท้องนิ้วลูบคลำไปบนขลุ่ยไม้ไผ่เบาๆ จงใจเลิกคิ้วเลียนแบบท่าทางของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดง “เพราะข้าคือผู้ฝึกลมปราณ คือเทพเซียนบนภูเขาในสายตาของพวกเจ้าอย่างไรล่ะ?”

หลี่เป่าผิงเชิดคางขึ้นสูง ถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามีหีบหนังสือใบเล็กไหม?”

เซี่ยเซี่ยหมดคำจะเอ่ย

นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่ได้รับชัยชนะในท้ายที่สุดก็หยิบตำราเล่มนั้นออกมาจากในหีบหนังสือ แล้วเริ่มอ่าน คือบันทึกการท่องเที่ยวภูเขาและแม่น้ำเล่มที่นางชื่นชอบมากที่สุด ในหนังสือเขียนบอกเล่าเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของภูเขาและแม่น้ำ เขียนเรื่องของภูตผีปีศาจ เขียนเรื่องของปัญญาชนกับเซียนจิ้งจอก แม่นางน้อยอ่านอย่างเคลิบเคลิ้ม บางครั้งก็ขมวดคิ้ว บางครั้งก็ทำสีหน้ากระจ่างแจ้ง บางครั้งลิงโลด บางครั้งก็เหม่อลอย

เซี่ยเซี่ยล้วนเห็นอยู่ในสายตา นางยื่นนิ้วมือข้างหนึ่งออกมาวาดไล้ไปตามกรอบหน้าเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว

……

หลินโส่วอีนั่งหลับตาอยู่ในศาลาพักร้อนขนาดเล็ก สมาธิมุ่งมั่นแน่วแน่ สูดลมหายใจเข้าฌานเ รับสัมผัสกับ “น้ำไหล” ที่อยู่ระหว่างฟ้าดิน คลื่นลูกใหญ่ม้วนเม็ดทรายเข้าหา ดึงเอาแก่นสำคัญสกัดไว้ จำกัดกากเดนทิ้งไป ค่อยๆ เก็บแก่นของปราณน้ำที่ดูเหมือนจะไหลรินอยู่รอบๆ บ่อน้ำมาทีละนิด แล้วเก็บเข้าไปไว้ในลมปราณของตัวเอง

ต่อให้ตรงบ่อน้ำโบราณจะมีความเคลื่อนไหวดังมาไม่น้อย เด็กหนุ่มก็ยังคงนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน ยังดีที่ภูตผีที่ลอยออกมาจากน้ำในบ่อไม่ได้มีเป้าหมายเป็นหลินโส่วอี ทั้งสองฝ่ายจึงไม่ข้องเกี่ยวกัน

‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ที่หลินโส่วอีถูกใจตั้งแต่แรกเห็นตอนอยู่บนภูเขาฉีตุนคือตำราลับลัทธิเต๋าที่ใช้ฝึกเวทห้าอสนี เกี่ยวพันกับการฝึกตนที่เป็นรูปธรรมของห้าขอบเขตล่าง มีเพียงข้อความที่อธิบายกว้างๆ พอสังเขปเท่านั้น แต่เมื่อมาอยู่ในมือของหลินโส่วอีที่เชี่ยวชาญการวิเคราะห์อนุมาน ประสิทธิผลที่ได้รับกลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง

เพียงไม่นานช่องโพรงลมปราณหลายแห่งในร่างของหลินโส่วอีก็ให้ความรู้สึกเหมือนปูดพองขึ้นมา หลินโส่วอียังคงไม่ยินดีหยุดมือ ตลอดระยะทางที่ขึ้นเขาลงห้วย ไม่เคยมีครั้งไหนที่สัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์และเข้มข้นได้เหมือนครั้งนี้ หลินโส่วอีไม่ยินดีปล่อยผ่านไป ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลินโส่วอีก็หน้าแดงปลั่งคล้ายมนุษย์ธรรมดายามที่หิวโหยสุดจะทนแล้วตรงหน้าวางปลาและเนื้อกองโต จึงไม่รู้จักควบคุมตัวเอง สวาปามรวดเดียวจนอิ่มแปล้

จู่ๆ ฝ่ามือข้างหนึ่งก็ตบลงมาบนไหล่ของหลินโส่วอี หลินโส่วอีเรอดังเอิ้ก แล้วถือโอกาสพ่นลมขุ่นมัวเฮือกหนึ่งออกไป เป็นลมขุ่นมัวสมชื่ออย่างแท้จริงเพราะทั้งเหม็นทั้งสกปรก แขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้นรีบโบกชายแขนเสื้อสีขาวราวหิมะแรงๆ เพื่อปัดไล่ปราณสกปรกขุ่นมัวที่สั่งสมมาหลังจากที่หลินโส่วอีถือกำเนิดทิ้งไปพลางบ่นว่า “เจ้านี่ช่างใจกล้ายิ่งนัก ไม่กลัวว่าจะทำให้ตัวเองอิ่มตายหรือไง?”

สีหน้าหลินโส่วอีตะลึงงัน กล่าวด้วยความสงสัย “ผู้ฝึกลมปราณดูดซับเอาปราณวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ระหว่างฟ้าดินมายิ่งเยอะก็ยิ่งดีไม่ใช่หรือ?”

เด็กหนุ่มชุดขาวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็อย่างที่เซี่ยเซี่ยเคยพูดไว้ จอกเหล้าหนึ่งจอกจะใส่เหล้าพันจินได้อย่างไร?  หากยิ่งเยอะก็ยิ่งดีอย่างที่เจ้าพูด พวกผู้ก่อตั้งลัทธิเรียกตัวเองว่าบรรพบุรุษทั้งหลายก็ไม่ควรกลืนปราณวิญญาณในใต้หล้าหลายแห่งลงท้องให้หมดไปนานแล้วหรือ ไหนเลยจะยังเหลือโอกาสให้กับผู้ฝึกลมปราณคนอื่น? แน่นอนว่าต้องค่อยๆ ขยับไปทีละก้าวตามขั้นตอน บุกเบิกถ้ำสถิตได้กี่หลังก็ดูดซับเอาปราณวิญญาณไปได้มากเท่านั้น”

หลินโส่วอียกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก รู้สึกหวาดผวาทีหลังเล็กน้อย

เด็กหนุ่มชุดขาวนั่งขัดสมาธิ มองไปยังบ่อโบราณที่มีปราณวิญญาณผุดลอยขึ้นมา เพียงแต่ว่าภาพเหตุการณ์ที่ปราณแห่งเซียนล่องลอยเช่นนี้ มีเพียงผู้ฝึกลมปราณที่ก้าวเดินไปบนเส้นทางอย่างเป็นทางการ หรือไม่ก็ปรมาจารย์วิถีวรยุทธเท่านั้นถึงจะมองเห็น สำหรับชาวบ้านร้านตลาดแล้ว ต่อให้ยื่นหัวเข้าไปในบ่อน้ำก็ได้แต่รู้สึกว่าอากาศเย็นกว่าที่อื่นเล็กน้อยเท่านั้น

เด็กหนุ่มชุยฉานหันหน้ากลับมาเอ่ยยิ้มๆ “ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้หนึ่งครั้ง เจ้าให้ข้ายืมยันต์หนึ่งแผ่น ดีไหม? เป็นการยืม วันหน้าข้ายังต้องคืนให้”

หลินโส่วอีลังเลอยู่พักใหญ่

เด็กหนุ่มชุยฉานกระตุกมุมปาก “วางใจเถอะ ไม่ใช่สี่แผ่นที่มีค่ามากที่สุด แค่ยันต์ผงทองที่ดีมาก แต่ไม่ถือว่าดีที่สุดแผ่นหนึ่งเท่านั้น”

หลินโส่วอีพยักหน้ารับ “ได้”

ชุยฉานดีดนิ้วดังเป๊าะ ยันต์สีทองแผ่นหนึ่งก็ลอยออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอกของหลินโส่วอี แล้วหล่นลงกลางฝ่ามือของเขา ชุยฉานก้มหน้าลงพิศมอง สายตาฉายแววชื่นชม

กระดาษยันต์คือหนึ่งในรากฐานของลัทธิเต๋าสายใหญ่อย่างพรรคมหายันต์ กระดาษยันต์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในโลกมนุษย์ก็คือกระดาษสีเหลือง เหนือขึ้นมาอีกระดับก็คือกระดาษแข็งเหลืองที่เรียกว่า “หวงสี่” (ราชลัญกรเหลือง) ซึ่งลัทธิเต๋าทั่วหล้ามักใช้กันเป็นประจำ

ในบรรดานี้ยังมีกรณีพิเศษอีกส่วนหนึ่ง ก็คือกระดาษยันต์สีครามที่ได้รับการขนานนามว่า “ฟ้าใสหลังฝน” รวมไปถึงกระดาษยันต์หลากหลายสีสัน ซึ่งเป็นวัตถุที่ตระกูลโอรสสวรรค์นำมาใช้ทำพระราชโองการโดยเฉพาะ โดยมากจะใช้ในการแต่งตั้งขุนนางใหญ่บุ๋นบู๊ขณะช่วงเทศกาลเฉลิมฉลอง ตระกูลร่ำรวยทั่วไปต่อให้มีเงินก็หาซื้อไม่ได้

โดยทั่วไปแล้วจะเป็นลัทธิเต๋าที่ใช้กระดาษยันต์ ยันต์ของลัทธิเต๋าคือรากฐาน คือต้นกำเนิดดั้งเดิมแห่งอักขระยันต์บนโลกมนุษย์ ถูกขนานนามว่าเป็นบรรพบุรุษของสายของยันต์มากมาย แต่ไม่แน่เสมอไปว่ากระดาษยันต์จะถูกจำกัดอยู่เฉพาะกระดาษสีเหลืองเท่านั้น เจินเหรินและเทพเซียนพสุธาของลัทธิเต๋าไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษยันต์ที่จับต้องได้จริงก็สามารถวาดยันต์กลางอากาศ แล้วทำให้กลายมาเป็นยันต์วิเศษแผ่นหนึ่งได้เลย ส่วนสำนักการทหารก็มียันต์อักษรสังหารและสยบ ลัทธิขงจื๊อเองก็มีคัมภีร์เนื้อหาที่ค่อนข้างซับซ้อนกว่าสำนักการทหารเล็กน้อย อีกทั้งตัวอักษรที่ใช้ส่วนใหญ่ยังเป็นตัวบรรจง และอักษรตัวบรรจงก็ยังแบ่งออกเป็นอีกเจ็ดแปดชนิดตามวิธีเขียนของปรมาจารย์ มีชื่อเรียกมากมายอาทิเช่น “แปดบรรจง” “บรรจงเก้า” ลัทธิพุทธเชี่ยวชาญในการสร้างตราประทับ แม้ว่าจะมียันต์อยู่เหมือนกัน แต่ค่อนข้างจะหาได้ยาก

หลินโส่วจึงถามด้วยความใคร่รู้ “นี่คือวิชาอภินิหารอะไร?”

ชุยฉานเก็บยันต์ผงทองแผ่นนั้นเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง ก่อนเอ่ยตอบ “รอจนเจ้าเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางก็จะเข้าใจได้เอง ผู้ฝึกลมปราณในเวลานี้สามารถรวบรวมเจตจำยงให้กลายเป็นเส้นสายแห่งหัวใจ ระดับการฝึกตนสูงต่ำ ตบะลึกตื้นล้วนเป็นตัวตัดสินถึงความมากน้อยและความหนาบางของเส้นสายแห่งหัวใจ คำว่าหยิบของผ่านความว่างเปล่าก็เป็นเช่นนี้นี่แหละ”

ตอนนี้หลินโส่วอีคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามขั้นสูงสุด การที่เขาสามารถฝึกตนได้เร็วขนาดนี้ในเวลาเพียงไม่กี่เดือนก็เรียกได้ว่าเดินหนึ่งก้าวขึ้นฟ้าอย่างแท้จริง

ทั้งเป็นเพราะเด็กหนุ่มเองคือตัวอ่อนที่ดีในการฝึกตนมาตั้งแต่เกิด แล้วก็เป็นเพราะเหล้าของอาเหลียง

คนมีเงินชอบซื้องูตัวใหญ่มาจากนายพรานแล้วกรีดเอาดีงูผสมกับเหล้า สรรพคุณทางยาน่าตะลึง

ถ้าเช่นนั้นเมื่อเป็นเหล้าที่แช่มาจากโอสถปีศาจของมหาปีศาจขอบเขตบินทะยานท่านหนึ่ง ความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายในจะมีมากแค่ไหน เพียงคิดก็พอจะจินตนาการได้

เด็กหนุ่มชุดขาวลุกขึ้นยืน ยิ้มตาหยีพูดว่า “อาเหลียงคือคนที่นำทางเจ้าเดินขึ้นไปบนภูเขาแห่งการฝึกตน จงทะนุถนอมโชควาสนานี้ไว้ให้ดี หากเจ้าไม่รู้จักเห็นค่าของมัน ข้าจะ…”

หลินโส่วอีตัดบทถามโดยตรง “จะทำไม?”

เด็กหนุ่มชุดขาวเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “ข้าจะไม่ดีใจ”

คำพูดเดิมของเด็กหนุ่มชุยฉานคือ “ข้าจะฆ่าเจ้า”

หลังจากที่ความรู้สึกเหมือนตัวพองค่อยๆ ถดถอยหายไป หลินโส่วอีก็เริ่มหลับตาทำสมาธิ ใช้เรือนกายของตนไปเก็บลมรวมน้ำมาสร้างเป็นสะพานแห่งอมตะของตัวเอง

เด็กหนุ่มชุดขาวแตะปลายเท้ากระโดดออกจากศาลาพักร้อน เดินตรงไปยังบ่อน้ำเก่าแก่บ่อนั้น นิ้วสองข้างคีบยันต์ผงทองที่ยืมมาจากหลินโส่วอี

หลินโส่วอีตะโกนเสียงต่ำ “ชุยตงซาน เจ้าคิดจะทำอะไร?!”

สีหน้าของเด็กหนุ่มชุดขาวเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เดินขึ้นไปยืนบนปากบ่อ หันหน้าหาหลินโส่วอีที่อยู่ในศาลา เด็กหนุ่มชุยฉานชูสองนิ้วขึ้นสูง โบกยันต์ที่คีบอยู่ระหว่างนิ้วมือเบาๆ ก้าวถอยไปด้านหลัง ร่างทั้งร่างตกลงไปในบ่อ ขณะเดียวกันก็พึมพำว่า “หลบน้ำ”