ภาคที่ 1 บทที่ 82 ผู้ชนะอันดับหนึ่ง

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 82 ผู้ชนะอันดับหนึ่ง

เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนที่อยู่ในห้องก็ถึงกับชะงักไปทันที

“ถ้าผมจำไม่ผิด ลูกศิษย์ของอาจารย์หลี่เพิ่งจะเข้าห้องตรวจไปได้ 10 นาทีเองนะ? อย่าบอกนะว่าเขาตรวจคนไข้ครบหมดทุกคนแล้ว?”

“ตรวจคนไข้สามคนในเวลาแค่ 10 นาที ถือว่าทำเวลาได้ดีมาก แต่ส่วนสำคัญคือความแม่นยำในการวินิจฉัยนี่สิ…”

หนึ่งในคณะอาจารย์ไม่ต้องพูดส่วนที่เหลือออกมา ทุกคนก็รับทราบเป็นอย่างดี

ความแม่นยำในการวินิจฉัยคือสิ่งสำคัญที่สุด

“เดี๋ยวพวกเราก็ได้รู้”

จางกงอี้เอนตัวมาพูดกับหลี่เคอหมิงว่า “ไม่แน่ประวัติศาสตร์อาจจะซ้ำรอยเดิมก็ได้ ใครจะรู้ว่าลูกศิษย์ของคุณอาจต้องแพ้ให้กับลูกศิษย์ของผมอีกครั้ง”

หลังจากส่งเสียงหัวเราะด้วยความพอใจ จางกงอี้ก็ลุกขึ้นยืน และเดินลงไปที่ชั้นล่าง

คณะอาจารย์อาวุโสเดินตามลงไปทีละคนสองคน

หลี่เคอหมิงไม่มีเจตนาจะต่อล้อต่อเถียงกับจางกงอี้แม้แต่น้อย

ในหัวใจของเขากำลังรู้สึกร้อนรน

การตรวจคนไข้สามคนในเวลา 10 นาที ถือเป็นการทำเวลาได้รวดเร็วมากเกินไปสำหรับซูเย่ ซึ่งตอนที่ตรวจคนไข้ฟรีที่หมู่บ้านฉีเจี๋ยซุน ซูเย่ต้องใช้เวลาเฉลี่ยในการตรวจคนไข้คนละ 5 นาที

นี่แสดงว่าซูเย่ตั้งใจรีบตรวจเร็วกว่าปกติ

แล้วจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ?

หลี่เคอหมิงเดินตามทุกคนไปที่สวนหย่อมด้านหลังด้วยความร้อนใจ

เมื่อการสอบสิ้นสุดลงแล้ว ผู้เข้าสอบทั้ง 10 คนก็ถูกปล่อยตัวออกมาจากห้องน้ำชา

“เป็นยังไงบ้าง?”

หลี่เคอหมิงรีบเดินเข้าไปสอบถามลูกศิษย์ของตนเอง

“น่าจะไม่เป็นไรครับ”

ซูเย่ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ทำไมเธอถึงได้ออกมาเร็วขนาดนี้? เธอตั้งใจตรวจคนไข้เร็วกว่าปกติใช่ไหม?”

หลี่เคอหมิงถามออกมาอีกครั้ง

เจ้าหน้าที่ทุกคนรวมไปถึงคณะอาจารย์อาวุโสที่ยืนอยู่แถวนั้น พร้อมใจกันหันมารอฟังคำตอบจากซูเย่

“ผมคิดเอาเองว่าความเร็วในการตรวจคนไข้น่าจะมีผลในการคิดคะแนนด้วยน่ะครับ ก็เลยเร่งสปีดตัวเองเล็กน้อย”

ซูเย่ยิ้มแย้มเหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ

หลี่เคอหมิงพูดอะไรไม่ออก

คนอื่น ๆ ต่างก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน

นี่ซูเย่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญหรือไง

“ทุกคน” ผู้จัดการสมาคมแพทย์แผนจีนเดินเข้ามาพูดว่า “เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีการแอบเตี๊ยมคำตอบระหว่างผู้เข้าสอบกับคนไข้อาสาทั้งสามคนนี้ พวกเราจะเดินทางไปที่โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนประจำเมือง และเราจะมารับฟังการวินิจฉัยโรคจากคุณหมอไปพร้อม ๆ กัน”

เหล่าคณะอาจารย์ผู้เป็นกรรมการพยักหน้าด้วยความตื่นเต้นทันที

พวกเขาล้วนเป็นแพทย์แผนจีนมีชื่อเสียง ไม่จำเป็นต้องไล่ตรวจจับชีพจรคนไข้ด้วยตัวเอง ขอแค่เพียงฟังการวินิจฉัยจากแพทย์ที่เป็นคนกลาง เดี๋ยวทุกคนก็สามารถตัดสินได้เองว่าผู้เข้าสอบคนไหนจะวินิจฉัยออกมาได้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด

หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็เดินทางไปที่โรงพยาบาลแพทย์แผนจีน

“ผลการสอบรอบสุดท้ายของผู้เข้าสอบทั้ง 10 คนออกมาแล้ว”

ผู้จัดการสมาคมเดินเข้ามาหากลุ่มคณะอาจารย์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “จากนี้ไป ผมจะขอประกาศคะแนนเฉพาะแต่ผู้เข้าสอบหกอันดับแรกที่ทำคะแนนได้ดีที่สุดเท่านั้น โดยคะแนนในการสอบรอบแรกจะคิดเป็นสองส่วนของคะแนนทั้งหมด คะแนนในการสอบรอบสองจะคิดเป็นคะแนนหนึ่งส่วนของคะแนนทั้งหมด ส่วนคะแนนในการสอบรอบสุดท้าย จะคิดเป็นเจ็ดส่วนของคะแนนทั้งหมด”

“ผู้ที่ทำคะแนนได้ดีเป็นหกอันดับแรกไล่จากอันดับหกขึ้นมาประกอบไปด้วย หยางหลี่จุน ทำได้ 93 คะแนนจากการสอบวัดข้อเขียน 98 คะแนนจากการสอบวัดความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร และ 88 คะแนนจากการสอบวัดความรู้เกี่ยวกับการวินิจฉัยโรค…”

“อันดับที่ห้า”

“อันดับที่สอง เหออี้เฉิน ทำได้ 98 คะแนนจากการสอบวัดข้อเขียน 100 คะแนนเต็มจากการสอบวัดความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร และ 90 คะแนนจากการสอบวัดความรู้เกี่ยวกับการวินิจฉัยโรค”

เมื่อได้ยินการประกาศผลคะแนน

ทุกคนก็ตกตะลึงที่เหออี้เฉินได้เพียงตำแหน่งอันดับสองเท่านั้น แล้วใครจะได้ตำแหน่งอันดับหนึ่งกันล่ะ?

ทันใดนั้นกลุ่มคนก็หันมามองหน้าผู้เข้าสอบที่เหลืออยู่อีกห้าคน

สายตาของทุกคนจ้องมองไปที่ซูเย่ เป็นตาเดียว

แต่พวกเขาก็ยังไม่มั่นใจว่าจะเป็นเด็กหนุ่มคนนี้ เพราะเขาใช้เวลาวินิจฉัยโรครวดเร็วมากเกินไป และคะแนนในการวินิจฉัยโรค ก็คิดเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ของคะแนนทั้งหมดเลยทีเดียว

อย่าว่าแต่เป็นนักศึกษาต่างคณะจะตรวจคนไข้สามคนได้ในเวลาแค่ 10 นาทีเลย ต่อให้เป็นแพทย์แผนจีนมืออาชีพ ก็ไม่มีทางตรวจได้รวดเร็วขนาดนี้ด้วยซ้ำ

ดังนั้นถึงแม้ว่าซูเย่จะทำคะแนนมาเป็นอันดับหนึ่งในการสอบรอบแรก และรอบที่สอง แต่คณะอาจารย์ก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดีว่าเด็กคนนี้จะคว้าตำแหน่งผู้ชนะการสอบแข่งขันประจำปีนี้ไปครอบครองได้สำเร็จ

เหออี้เฉินขมวดคิ้วหน้ายุ่ง

“ทำไมเราถึงเป็นได้แค่ที่สองนะ หมายความว่ามีคนทำคะแนนได้สูงกว่าเราอีกหรือไง?”

เขานึกสงสัยอยู่ในใจและหันไปมองหน้าซูเย่ด้วยแววตาเย็นชา

หรือว่าจะเป็นหมอนี่?

ก่อนหน้านี้เหออี้เฉินเดินออกจากห้องตรวจโรคมาด้วยความมั่นใจว่าคงไม่มีผู้เข้าสอบคนไหนสามารถตรวจคนไข้ได้เร็วเกินกว่า 15 นาทีเหมือนเขาแน่นอน แต่ที่ไหนได้ ซูเย่กลับสามารถตรวจคนไข้ได้ในเวลาแค่ 10 นาทีเท่านั้น เรื่องราวเช่นนี้จะเป็นความจริงได้อย่างไร?

หลี่เคอหมิงก็กำลังสงสัยอยู่เช่นกัน

ในสถานการณ์เช่นนี้ หากซูเย่ไม่ใช่ผู้ชนะประจำปี เขาก็คงมีคะแนนไม่ติดหนึ่งในหกอันดับแรก

ตอนนี้มีเพียงซูเย่คนเดียวเท่านั้นที่ยังมีท่าทางเรียบเฉยเช่นเดิม

“ผู้ชนะอันดับหนึ่ง”

ผู้จัดการสมาคมหยุดชะงักเล็กน้อย

ทุกคนหันหน้าไปมองทางผู้จัดการอีกครั้งด้วยความอยากรู้ว่าใครคือผู้ชนะประจำปีนี้กันแน่?

ผู้จัดการสมาคมหันมายิ้มให้กับซูเย่ และประกาศชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงชื่นชม

“ซูเย่!”

ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นถึงกับเบิกตาโตเมื่อได้ยินชื่อของชายหนุ่ม

เป็นซูเย่จริง ๆ ด้วย!

“100 คะแนนเต็มสำหรับการสอบข้อเขียน 100 คะแนนเต็มสำหรับการสอบวัดความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร และ 99 คะแนนสำหรับการสอบวัดความรู้เกี่ยวกับการวินิจฉัยโรค”

เมื่อผลการสอบถูกประกาศออกมา

คณะอาจารย์อาวุโสต่างก็ยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น

ผลคะแนนการสอบวินิจฉัยโรค ซูเย่ขาดอีกเพียงแต้มเดียว ก็จะได้คะแนนเต็มอย่างนั้นหรือ?

ทั้ง ๆ ที่เขาใช้เวลาตรวจคนไข้แค่ 10 นาทีเนี่ยนะ? ด้วยความสามารถในระดับนี้ เรียกได้ว่าชายหนุ่มก้าวข้ามระดับแพทย์ผู้เขียนใบสั่งยา ขึ้นมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงแพทย์รักษาโรคมากที่สุดแล้ว!

แต่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?

“ทำได้ดีมากเลยนะ”

หลี่เคอหมิงเดินเข้าไปตบไหล่ซูเย่อย่างมีความสุข

“เป็นไปไม่ได้”

จางกงอี้ลุกขึ้นยืน พูดขัดจังหวะ “ผมอยากดูใบวินิจฉัยด้วยตาของผมเอง”

คณะอาจารย์คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาอยากเห็นใบวินิจฉัยของซูเย่ด้วยตาของตนเองเช่นกัน

พวกเขาอยากจะรู้ว่าซูเย่วินิจฉัยคนไข้ได้แม่นยำสักแค่ไหนกันเชียว

“ได้สิ” ผู้จัดการสมาคมแพทย์แผนจีนพยักหน้า แล้วนำใบวินิจฉัยโรคของซูเย่ออกมาถืออยู่ในมือ เขาชำเลืองมองมาที่ซูเย่ด้วยความมหัศจรรย์ใจเล็กน้อย ก่อนที่จะส่งใบวินิจฉัยให้ทุกคนดู

“พวกเรามาดูกันเถอะ”