กู้ชูหน่วนเงี่ยหูและพยายามฟังการสนทนาของพวกเขา
เพราะระยะนั้นห่างไกลเกินไปนางจึงได้ยินไม่ชัด ได้ยินเพียงแม่เล้าพยายามอ้อนวอนทุกวิถีทาง
“คุณชายเยี่ย ท่านทำๆไปช่วยๆหน่อยเถอะนะ เพียงแค่ดื่มไม่กี่จอกจะไม่ให้ท่านทำสิ่งใดมากเกินไป ท่านดูสิว่าแม่ก็ลำบากนักค่าใช้จ่ายในหอนั้นมากมายเช่นนี้สิ่งใดก็ต้องใช้เงินทั้งนั้นแล้วยังเด็กสาวๆหนุ่มๆทั้งหลายเจ็บป่วยรับลูกค้าไม่ได้ แม่พบกับลูกค้ารายใหญ่ผู้นี้ได้อย่างยากเย็นจริงๆนะ”
“ขออภัยด้วย ข้าเคยบอกแล้วว่าไม่ดื่มเป็นเพื่อน ไม่อยู่กับแขก วันนี้ถึงเวลาแล้วข้าต้องกลับไปแล้ว”
“คุณชายเยี่ย ท่านจะไปแล้วข้าจะอธิบายอย่างไร ถือเสียว่าแม่เล้าขอร้องท่านแล้วได้ไหม? ท่านดูสิตอนนั้นที่ยายของท่านป่วยหนักท่านไร้ทางไปก็เป็นแม่อย่างข้าที่มีเมตตาเชิญหมอมารักษาอาการป่วยของยายของท่านไม่ใช่หรือ ท่านก็เห็นแก่ที่แม่เคยช่วยท่านเอาไว้ครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ช่วยแม่หน่อยได้หรือไม่?”
กู้ชูหน่วนถามคณิกาหนุ่มข้างๆผู้หนึ่ง
“พวกเจ้าสนิทกับเยี่ยเฟิงหรือ?”
“ตอบท่านพี่หญิง เยี่ยเฟิงเป็นคนเงียบขรึมปกติไม่ค่อยพูดและไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้คน พวกพี่ๆน้องๆในหอไม่สนิทกับเขารู้แค่ว่าครอบครัวของเขายากจนและพึ่งพาอาศัยกันอยู่กับยายตาบอดผู้หนึ่ง”
“ตอนแรกขณะที่ยายของเขาเจ็บป่วยใกล้หมดลมหายใจ เป็นแม่ที่มีเมตตาช่วยเชิญท่านหมอมาให้เขา เยี่ยเฟิงรู้สึกขอบคุณแม่ที่มีบุญคุณช่วยชีวิตและเพื่อที่จะหาเงินอันน้อยนิดจึงอยู่ในหอบรรเลงบทเพลง บรรเลงบทเพลงวันละหนึ่งบทเพลงโดยไม่เป็นเพื่อนดื่มสุราและไม่อยู่รับแขก ทุกๆวันไม่ว่าจะดีดฉินหรือไม่ก็จะกลับไปก่อนเวลาไฮ่สือ บอกว่าอะไรนะเกรงว่ายายจะเป็นห่วง”
“แล้วเจ้ารู้ภูมิหลังของเยี่ยเฟิงหรือไม่?”
เด็กน้อยผู้งดงามส่ายศีรษะ
เยี่ยเฟิงไม่เคยกล่าว พวกเขาก็ไม่ชัดเจน
“ได้แล้ว เจ้าถอยออกไปเถอะ”
กู้ชูหน่วนให้รางวัลเขาเป็นเงินหนึ่งพันตำลึง ลูบคลำคางอย่างต่อเนื่องและครุ่นคิดถึงภูมิหลังของเยี่ยเฟิง
เซี่ยวอวี่เซวียนสงสัย “แม่สาวอัปลักษณ์ หลังจากการแข่งขันชุมนุมวิชาการสิ้นสุดลงแล้วฝ่าบาทไม่ได้ทรงพระราชทานเครื่องประดับเงินทองไม่น้อยแก่เขาหรอกหรือ เจ้าดูเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่เหตุใดถึงยังเรียบง่ายเช่นนั้นอยู่อีก?”
“เจ้าถามข้าแล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร”
กู้ชูหน่วนไม่รู้ว่าแม่เล้าเกลี้ยกล่อมเยี่ยเฟิงอย่างไรแต่กลับเห็นเยี่ยเฟิงมาตรงหน้านางด้วยใบหน้าอันเย็นชา
แม่เล้ายืนชื่นชมไม่หยุดไม่หย่อนอยู่ด้านข้าง
“แม้ว่าเยี่ยเฟิงของครอบคร้วเราจะพูดไม่เก่งแต่เขาเป็นผู้ที่หล่อเหลาที่สุดในหอไร้กังวลของเรา และเขาเต็มไปด้วยความรอบรู้ด้านบทกวี พรสวรรค์ของเขานั้นมิใช่คุณชายทั่วๆไปจะสามารถเทียบได้”
กู้ชูหน่วนพยักหน้า
จุดนี้นางไม่ปฏิเสธ
เดิมทีเขารู้สึกว่าชายหนุ่มงดงามทั้งหลายในหอนั้นหน้าตาไม่เลวแล้วแต่พอเยี่ยเฟิงออกมาก็โยนพวกเขาออกไปนอกท้องฟ้าเลยโดยตรง
ส่วนความรู้ความสามารถ……
อันดับที่สองในการแข่งขันชุมนุมวิชาการเป็นชื่อเสียงจอมปลอมที่ใดกัน
แม่เล้าผู้นี้ก็คงไม่รู้ว่าเยี่ยเฟิงเป็นอันดับที่สองในการแข่งขันชุมนุมวิชาการ
“ปกติเยี่ยเฟิงของครอบครัวเราจะไม่เป็นเพื่อนดื่มสุรา แต่ท่านพี่หญิงน้ำใจดีและจิตใจกว้างขวาง เยี่ยเฟิงของครอบครัวเราถึงได้……”
“พอแล้วพอแล้ว ครอบครัวเจ้าครอบครัวอันใดกัน พูดราวกับว่าเขาเป็นลูกชายเจ้าเช่นนั้น เจ้าถอยออกไปเถอะ”
“ได้……” แม่เล้าจากออกไปอย่างเขินอายยำเกรง
กู้ชูหน่วนชี้ไปที่ที่นั่งข้างๆแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวเฟิงเฟิง จากกันยังไม่ถึงวันก็พบกันอีกแล้ว รีบมานั่งสิ”
“คุณหนูสาม ท่านมีสิ่งใดจะสั่งก็กล่าวออกมาเถอะ”
“ข้าจะกล้าสั่งสิ่งใดกับเจ้า เพียงแค่ต้องการเป็นสหายกับเจ้า”
“ขออภัยด้วย ข้าไม่เคยคบสหาย”
“งั้นเจ้าดื่มกับข้าสักสองสามจอก”
“ข้าไม่ดื่มสุรา”
“เมื่อครู่แม่เล้านั่นได้รับเงินหนึ่งแสนตำลึงจากข้าไปแล้ว หรือว่าเงินหนึ่งแสนตำลึงเชิญเจ้าดื่มสุรายังไม่ได้หรือ?”
เยี่ยเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
“หากเจ้าไม่ดื่มข้าจะให้แม่เล้าคืนเงินหนึ่งแสนตำลึงให้ข้า”
ริมฝีปากบางของเยี่ยเฟิงขยับเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างขมขื่นว่า “ข้าเป็นแค่ผู้ต่ำต้อยเหตุใดคุณหนูสามจึงได้กลั่นแกล้งข้าครั้งแล้วครั้งเล่า”
หมายเหตุ
เวลาไฮ่สือ ช่วงเวลาระหว่างยี่สิบเอ็ดนาฬิกาถึงยี่สิบสามนาฬิกา