ตอนที่ 135 นี่เธอเป็นผู้หญิงจริงๆ เหรอ / ตอนที่ 136 ฉันจะให้เธอได้เห็นว่าความงามที่แท้จริงเป็นยังไง

ลืมรักเลือนใจ

ตอนที่ 135 นี่เธอเป็นผู้หญิงจริงๆ เหรอ

 

 

สไตลิสต์และผู้ช่วยของเขากำลังรออยู่ภายในห้องแต่งหน้าเรียบร้อยแล้วเมื่อพวกหลินเยียนมาถึง

 

 

สไตลิสต์เป็นผู้ชายที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสตามเทรนด์ เขามีรูปร่างผอมเพรียวและดูดี ไว้เล็บสั้นที่ตัดแต่งมาอย่างประณีต ดวงตาแต่งแต้มเป็นสีสโมกกี้อาย ส่วนผมของเขามีสีส้มแอปริคอต

 

 

เขาไม่ได้เปลี่ยนท่าทางแต่อย่างใดเมื่อมองเห็นหลินเยียนที่กำลังเดินเข้ามา หากแต่เพียงแค่พูดคุยกับผู้ช่วยต่อไป

 

 

ผู้ช่วยของเขาสังเกตเห็นหลินเยียนแล้วจึงกวาดตามองเธอ “พี่เควิน คนนี้คือหลินเยียนครับ หน้าตาก็ไม่ได้แย่ แต่เซนส์แฟชั่น…ค่อนข้างแย่…”

 

 

หลินเยียนเดินตรงเข้าไปทักทายด้วยการแนะนำตัว “สวัสดีค่ะ หลินเยียนค่ะ”

 

 

สไตลิสต์หนุ่มมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนเอ่ยว่า “ฉันชื่อเควิน เป็นสไตลิสต์ของคุณ”

 

 

“เราจะเริ่มเลยไหมคะ” หลินเยียนถาม

 

 

สไตลิสต์หนุ่มจ้องมองใบหน้าของเธอ “แต่งหน้ามาหรือเปล่า”

 

 

หลินเยียนตอบกลับ “เปล่าค่ะ แค่ทาครีมบำรุงมานิดหน่อย”

 

 

เควินเลิกคิ้วสูงอย่างประหลาดใจก่อนจะรีบพูดว่า “งั้นก็โอเค เราจะข้ามขั้นตอนลบเครื่องสำอางไปเลย ช่วยทาครีมบำรุงก่อนนะ ฉันจะไปเตรียมตัว เดี๋ยวกลับมา”

 

 

หลินเยียนพยักหน้าก่อนนั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

 

 

ตัวตัวอ่านข่าวบนมือถือด้วยอารมณ์หงุดหงิดและกระวนกระวายใจ เธอเดินวนไปเวียนมาข้างๆ หลินเยียนแล้วบ่นอุบ “โพสต์ของเว่ยสวีเฟิงเมื่อวานนี้ติดท็อปการค้นหาในเว่ยป๋อแล้วพี่ พวกแฟนๆ เองก็น่าจะคลั่งไปแล้วหลังจากที่อ่านโพสต์นั้น เราจะทำไงกันดี เดี๋ยวพี่ก็ต้องถ่ายฉากแรกกับเว่ยสวีเฟิงแล้ว…”

 

 

หลินเยียนคุ้ยหาข้าวของในกระเป๋าแล้วหยิบมอยซ์เจอไรเซอร์ออกมาทาบนใบหน้า เธอบอกกับตัวตัวว่า “ใจเย็นน่า ไว้มันเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ค่อยหาทางรับมือก็ได้”

 

 

เควินเดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมกล่องเก็บเครื่องสำอางขนาดใหญ่

 

 

เขาเห็นหลินเยียนกำลังประทินผิวด้วยสกินแคร์ที่เขาไม่รู้จัก เขาจึงถามว่า “นั่นอะไรน่ะ”

 

 

“มอยซ์เจอไรเซอร์ไงคะ แบรนด์นี้ชื่อดรากอนบลัด ฟังดูน่าเกรงขามดีเนอะ” หลินเยียนแกว่งขวดสีแดงดำไปมาขณะที่พูด

 

 

เควินตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น

 

 

การใช้ผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะนอกจากจะราคาถูกแล้วยังใช้ได้ผลดีอีกด้วย ดูได้จากสภาพผิวของหลินเยียนที่สมบูรณ์แบบ

 

 

แต่ปัญหาก็คือ…

 

 

“นั่นมันของผู้ชายไม่ใช่หรือไง” เควินถาม

 

 

หลินเยียนกระพริบตาอย่างประหลาดใจ “จริงเหรอ? ฉันขอให้คนขายเขาแนะนำอันที่ใช้ง่ายที่สุดมาน่ะค่ะ นี่มีทั้งโทนเนอร์ เซรัม แล้วก็มอยซ์เจอไรเซอร์รวมอยู่ในขวดเดียวเลยนะ!”

 

 

ตัวตัวนิ่งค้างไปหลังจากที่ได้ยินหลินเยียนพูด เธอรู้สึกขายหน้าเกินกว่าจะยอมรับว่าหลินเยียนเป็นดาราในความดูแลของเธอ “พี่น่าจะตายเพราะความขี้เกียจไปตั้งนานแล้วนะ…”

 

 

เควินเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกัน เขาจ้องเธอตาไม่กะพริบด้วยอารมณ์เหลือเชื่อ “นี่เธอเป็นผู้หญิงจริงๆ เหรอ”

 

 

เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าหลินเยียนที่ใครๆ ก็ร่ำลือนักหนาว่าเป็นผู้หญิงจอมมารยาที่เที่ยวอ่อยดาราชายไปทั่ววงการบันเทิงจะเป็นคนที่สมชายยิ่งกว่าผู้ชายทั่วไปเสียอีก…

 

 

เควินกล่าวว่า “ทุกคนในเน็ตพากันเรียกเธอว่าเป็นนังเหลี่ยมจัดจอมวางแผน…เธอจะใช้ชีวิตอยู่กับชื่อเสียงพรรค์นั้นจริงๆ น่ะเหรอ”

 

 

หลินเยียนตอบกลับ “อะแฮ่ม…ฉันขอโทษค่ะ”

 

 

เควินขยับเข้ามาใกล้ใบหน้าของหญิงสาวเพื่อเพ่งพินิจสภาพผิวของเธอ “เธอไม่แต่งหน้าเลยจริงๆ เหรอ ผิวดีมากเลยนะเนี่ย ใช้เจ้าขวดนี้มานานแล้วหรือยัง”

 

 

หลินเยียนตอบ “ใช่ค่ะ! ใช้มานานมากแล้ว!”

 

 

เควินรู้สึกเคืองเล็กน้อย “ถึงจะใช้ดีขนาดไหนแต่ก็ยังเป็นของผู้ชายอยู่ดี ทำไมไม่เอาให้แฟนหรือเปลี่ยนไปใช้ของที่เหมาะกว่านี้หน่อยล่ะ”

 

 

มอยซ์เจอไรเซอร์ขวดนี้ใช้ดีขนาดนี้เลยเหรอ เขาน่าจะลองใช้ดูบ้างแล้ว…

 

 

 

 

ตอนที่ 136 ฉันจะให้เธอได้เห็นว่าความงามที่แท้จริงเป็นยังไง

 

 

“แต่งหน้านี่ต้องใช้เวลานานแค่ไหนคะ” หลินเยียนถามด้วยท่าทีสบายๆ

 

 

เควินตอบอย่างเฉยเมย “เกือบๆ สองชั่วโมง”

 

 

“นานขนาดนั้นเลยเหรอ” หลินเยียนตกใจ

 

 

เควินถามกลับ “นานเหรอ? แค่แต่งหน้าอย่างเดียวก็สองชั่วโมง ทำผมอีกครึ่งชั่วโมง แต่งตัวก็น่าจะอีกครึ่งชั่วโมงได้”

 

 

“พูดจริงอ่า…” หลินเยียนทำหน้างอ

 

 

เควินกลอกตาใส่หลินเยียน “เธอไม่เคยแต่งหน้าหรือไง ดาราหลายๆ คนเขาตื่นมาแต่งหน้ากันตั้งแต่ไก่โห่เลยนะ!”

 

 

“แต่ก่อนฉันใช้เวลาแต่งหน้าแค่ครึ่งชั่วโมงเองนะ…” หลินเยียนพึมพำ

 

 

เควินโพล่งออกมาอย่างฉุนเฉียว “เธอเป็นดารานะ! ใช้เวลาแต่งหน้าแค่ครึ่งชั่วโมงแล้วไปแสดงหนังมันใช้ได้ที่ไหน? มิน่า ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมของเธอถึงได้ดูประหลาดนักตอนอยู่บนหน้าจอ มีผิวดีขนาดนี้แท้ๆ ไม่น่าเล้ย

 

 

ต่อให้เธอมีผิวพรรณแย่ขนาดไหนแต่เธอก็ไม่ควรปล่อยให้ตัวเองดูแย่แบบนั้นเลยนะ เธอจ้างสไตลิสต์ประเภทไหนมาแต่งหน้าให้เนี่ย การขึ้นกล้องด้วยสภาพน่าอนาถขนาดนั้นน่ะถือเป็นอาชญากรรมเลยนะรู้ไหม”

 

 

หลินเยียนทำคอย่นเมื่อถูกดุอย่างกะทันหัน

 

 

เดิมที เธอไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เธอจึงไว้ใจให้หลินซูหย่าจัดการทุกอย่าง

 

 

เควินนี่ป่วยเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำหรือเปล่านะ

 

 

ต่อให้หลินเยียนจะน่าเกลียดน่ากลัวขนาดไหนก็ไม่เห็นจะต้องโมโหเลยนี่นา

 

 

“จริงเหรอคะ ฉันเคยคิดว่านั่นก็โอเคแล้วน้า…” หลินเยียนตอบอย่างถ่อมตัว

 

 

ที่เธอสนใจก็แค่ขอให้ทุกอย่างมันจบๆ ไปอย่างสะดวกรวดเร็วเท่านั้นเอง

 

 

เควินดูตกอกตกใจที่เห็นว่าเธอไม่สนใจเรื่องความสวยความงามเลย เขากำแปรงแต่งหน้าไว้แน่นก่อนจะเท้าเอวแล้วตะโกนออกมา “บังอาจนัก! วันนี้แหละ ฉันจะให้เธอได้เห็นว่าความงามที่แท้จริงเป็นยังไง!”

 

 

เขาอดชื่นชมสภาพผิวและองค์ประกอบต่างๆ บนใบหน้าของหลินเยียนไม่ได้จึงถามออกมาว่า “แต่ก่อนเธอทำงานอะไร เป็นดารามาตลอดเลยเหรอ”

 

 

“แต่ก่อน…” หลินเยียนตกใจเล็กน้อย เธอพึมพำว่า “ฉันไม่ได้เป็นดาราหรอกค่ะ ฉันทำอาชีพที่ผู้ชายส่วนใหญ่เขาทำกัน ค่อนข้างหนักหนาสาหัสเลย”

 

 

เควินทำท่าทีเหมือนเพิ่งบรรลุบางอย่าง “มิน่าล่ะ! แล้วทำไมถึงมาเป็นดารา”

 

 

 หลินเยียนโพล่งออกมาเสียงดัง “เพราะฉันอยากรวย!”

 

 

เควินคำรามเบาๆ “โอเค…”

 

 

เขาคิดว่าเธอจะพูดถึงเรื่องความฝันหรือแรงบันดาลใจ แต่กลายเป็นว่าเธอตอบกลับมาอย่างตรงไปตรงมา แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกตกใจแต่อย่างใด

 

 

เควินกวาดตามองเสื้อผ้าของหลินเยียนก่อนถามว่า “เธอเคยแสดงทั้งโฆษณาทั้งรายการเกมโชว์ เธอก็ไม่น่าจะยาจกขนาดนี้รึเปล่า ดูสภาพเธอเข้าสิ เธอไม่ซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า หรือเครื่องสำอางเลย…แล้วเงินไปไหนหมดล่ะ”

 

 

“ฉันไม่ได้สนใจของพวกนั้นหรอกค่ะ…” หลินเยียนตอบอย่างกำกวมโดยพยายามหลีกเลี่ยงคำถามนั้น

 

 

เงินส่วนใหญ่ที่เธอหามาได้เข้ากระเป๋าหลินซูหย่าและศูนย์พักพิงสัตว์นางฟ้าไปเกือบหมดแล้ว แต่เงินส่วนที่มากที่สุดของเธอนั้นถูกบริจาคให้กับมูลนิธิการกุศล

 

 

เมื่อเวลาผ่านไป หลายๆ คนก็ลืมไปว่าหลินเยียนมีน้องชายที่พลัดพรากจากกันไปนานแสนนานแล้ว

 

 

แต่หลินเยียนยังไม่ลืมเขา…

 

 

ทุกครั้งที่เธอคิดถึงเด็กชายตัวเล็กๆ ซึ่งเฝ้าติดตามเธอไปทุกหนแห่ง เธอมักจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงราวกับหัวใจถูกบีบอยู่เสมอ

 

 

หลินเยียนกลัวว่าจะทำให้แม่รู้สึกไม่พอใจ เธอจึงไม่เคยพูดถึงน้องชายต่อหน้าแม่เลยสักครั้ง แต่เธอก็ไม่เคยยอมแพ้เรื่องของเขาหรือลืมเขาได้เลย

 

 

ตราบใดที่เธอยังมีชีวิตอยู่ เธอจะตามหาน้องชายของเธอให้พบ เธอสาบานว่าจะพาเขากลับมาให้ได้ในสักวันหนึ่ง!