บทที่ 113 บุตรสาวสกุลกู้

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

เซียวจิ่นลอบตระหนกตกใจ ทว่ายังคงสงบสติอารมณ์ลงได้ เขาพูดขึ้นก่อนเซียวเยี่ยนก้าวหนึ่งว่า “คนที่อยู่ในตำหนักเป็นผู้ใด ยังไม่รายงานชื่อออกมา”

น้ำเสียงของสตรีนางนั้นห้าวหาญแหบใหญ่เฉกเดียวกัน “เดินไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ ข้ากู้หมิงเฟิ่ง เพื่อแก้แค้นให้กับสกุลกู้ร้อยกว่าชีวิต จะให้พวกเจ้าชำระหนี้เลือดด้วยเลือด!”

เซียวจิ่นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสกุลกู้ยังมีคนผู้นี้อยู่ เขากล่าวว่า “อดีตเสนาบดีกรมกลาโหม กู้เทียนหลิน ลอบซ่องสุมกำลังทหาร มีใจคิดคดทรยศ ด้วยหลักฐานพร้อมมูล ประหารชีวิตสกุลกู้เก้าชั่วโคตร นี่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายของต้าเซี่ย เจ้าเป็นคนของสกุลกู้ มีโทษสถานหนักติดตัวซ้ำยังลอบสังหารเจิ้น ย่อมมีโทษประหารอย่างเลี่ยงได้ยาก”

กู้หมิงเฟิ่งเงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดัง นางพูดอย่างเคียดแค้นเหลือแสน “บิดาของข้ากู้เทียนหลินซื่อสัตย์จงรักภักดีมาตลอดชีวิต เป็นขุนนางใจซื่อมือสะอาด เขาซ่อมสุมกำลัง มีใจคิดคดทรยศตั้งแต่เมื่อใดกัน! หากสามารถแก้แค้นให้กับสกุลกู้ได้ข้าตายก็ไม่เสียดายชีวิต สกุลกู้ทั้งตระกูลถูกปรักปรำ ต่อให้ข้าตายตกไปอยู่ใต้บาดาลทั้งเก้าย่อมตายตาไม่หลับ กลายเป็นผีก็จะกลับมาเอาชีวิตของพวกเจ้า!”

หลินชิงเวยนั่งดูอยู่ด้านข้างอย่างสงบ

ปลายนิ้วของเซียวเยี่ยนพลิกรายงานคำให้การในมือ เขาโยนรายงานฉบับนั้นลงไปเบื้องหน้ากู้หมิงเฟิ่ง “ช่างเถิด วันนี้จะให้เจ้าตายตาหลับ คดีของกู้เทียนหลินหลักฐานและบันทึกทั้งหมดอยู่ในรายงานนี้ หนานเจียงระดมไพร่พลทหารนับหมื่น ทั้งหมดหายสาบสูญในชั่วราตรีเดียว กู้เทียนหลินแก้ไขตราคำสั่งทหาร ไม่รู้ว่าไพร่พลทหารนับหมื่นตกอยู่ในมือผู้ใด”

กู้หมิงเฟิ่งอ่านรายงานคำให้การฉบับนั้น มือของนางพลิกไปทีละหน้า หลักฐานทุกอย่างล้วนมัดตัวกู้เทียนหลินแน่นหนาฐานใช้อำนาจหน้าที่เพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตัว มีใจคิดคดทรยศ หากมิใช่การกระทำของกู้เทียนหลิน ก่อนหน้าที่จะตายเขายังคงไม่ยอมปริปากว่าผู้ใดเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง กู้หมิงเฟิ่งไม่เชื่อ นางเบิกตากว้าง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา โยนรายงานฉบับนั้นไปอีกทางหนึ่ง “ไม่ บิดาของข้ามิใช่คนเยี่ยงนั้น! หลักฐานเหล่านี้ล้วนเป็นหลักฐานที่พวกเจ้าปลอมแปลงขึ้นมา! ต้องเป็นพวกเจ้าปลอมแปลงขึ้นมาแน่นอน! บิดาของข้ารักแผ่นดินเป็นห่วงราษฎร เขาเป็นขุนนางตงฉิน มิใช่ขุนนางกังฉิน!”

เซียวเยี่ยนเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อคืนการป้องกันภายในวังหลวงเข้มงวดกวดขันเช่นนั้น นอกจากว่าจะมีคนช่วยเหลือเจ้า เจ้ายากที่จะแฝงกายเข้ามาในวังหลวงได้ ผู้ที่ให้การช่วยเหลือเจ้าคือผู้ใด?”

กู้หมิงเฟิ่งกลืนน้ำลายลงคอ หลุบดวงตาทั้งคู่ลงต่ำ “ไม่มี ไม่มีใครช่วยข้า เป็นตัวข้าเองที่วางแผนลอบเข้าวังไว้นานแล้ว”

เวลานี้เองหลินชิงเวยที่นั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้างปริปากขึ้น “สายตาหลุบต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงการสื่อสารทางสายตา มือทั้งคู่ปลายนิ้วทั้งสิบขาวซีด จิกลงบนพื้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เจ้ากำลังพูดเท็จ”

เส้นสายบนแผ่นหลังของกู้หมิงเฟิ่งตึงเครียดขึ้นทันที ทุกๆ อิริยาบถของนางล้วนตกอยู่ในสายตาของหลินชิงเวย

เซียวเยี่ยนมองหลินชิงเวยแวบหนึ่ง “ผู้ที่ช่วยเจ้าเข้ามาในวัง คือเซี่ยนอ๋องใช่หรือไม่?”

ดูเถิดต่อให้นางไม่พูดอันใด เซียวเยี่ยนไม่ใช่คนเขลาไหนเลยจะไม่รู้ เซียวอี้ผู้นั้นยังมีท่าทีถือดีอย่างนั้น เขาทำเช่นนี้ย่อมมีใจคิดกบฏ ยังไม่รู้ว่าความคิดนี้ของเขาจะเป็นจริงขึ้นเมื่อใด

ดูจากพฤติกรรมต่างๆ ของเซียวอี้ในยามปกติแล้วโอ้อวดหยิ่งผยอง ไม่เคยเห็นเซียวจิ่นและเซียวเยี่ยนอยู่ในสายตา เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นต่อให้กู้หมิงเฟิ่งชี้ตัวเขาก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เขาสามารถปฏิเสธทุกอย่าง เพราะมีเพียงคำให้การทว่าไม่มีหลักฐาน อีกทั้งสตรีเช่นกู้หมิงเฟิ่งย่อมไม่มีทางชี้ตัวเขา

เซียวอี้อยู่ในตำแหน่งเซี่ยนอ๋องมาหลายปี นอกจากความประพฤติที่เอาแต่ใจและขาดความเคารพนอบน้อมก็ไม่มีอะไรให้เป็นพิรุธได้อีก

หลินชิงเวยไม่อาจตัดสินใจให้แน่ชัดในชั่วขณะ เซียวอี้ผู้นี้ดูไปแล้วเหมือนเป็นคนง่ายๆ แต่แท้จริงแล้วเป็นคนซับซ้อนยิ่งยวด แต่เมื่อดูจากปฏิกิริยาของเซียวจิ่นแล้วดูเหมือนเขาตัดสินใจไปแล้วว่าเรื่องที่กู้เทียนหลินซ่อมสุมกำลังไพร่พลนั้นเป็นเพราะสมคบคิดกับเซียวอี้

ไม่ พูดให้ถูกคือในแววตาของเขามีความดูถูกดูแคลนและความโกรธเกรี้ยว เขาตัดสินใจเชื่อว่ากู้เทียนหลินปลอมแปลงตราคำสั่งทหารด้วยสมคบคิดกับเซียวอี้

เมื่อได้ยินเซียวเยี่ยนถามเช่นนี้ มือทั้งคู่ของเซียวจิ่นจิกลงไปบนเท้าแขนเก้าอี้มังกรอย่างไม่รู้ตัว นิ้วนั้นเกร็งเสียจนขึ้นข้อขาว

กู้หมิงเฟิ่งเงยหน้าขึ้นในเวลานี้ นางจ้องหลินชิงเวยเขม็งและพูดออกมาทีละคำ “ไม่ใช่เซี่ยนอ๋อง ข้าบอกแล้วว่าไม่มีผู้ใดช่วยข้าเข้ามา ข้าตกอยู่ในมือของพวกเจ้า จะฆ่าก็ฆ่า!”

หลินชิงเวยทอดถอนใจ “เจ้าจ้องมองข้าทำอันใด ผู้ที่ถามเจ้าคือเซ่อเจิ้งอ๋อง เจ้าควรตอบเขามิใช่หรือ? กลับมองข้าเพื่อต้องการให้ข้าเชื่อคำพูดของเจ้า ทำเรื่องใดล้วนสลับกันไปหมด”

เซียวเยี่ยนไม่จำเป็นต้องถามย่อมกระจ่างแจ้งได้ทันทีว่าคำพูดของกู้หมิงเฟิ่งเป็นจริงหรือเท็จ

กู้หมิงเฟิ่งรู้ว่าสตรีที่นั่งอยู่ด้านข้างผู้นี้มีความเก่งกาจหลายส่วน นางมิใช่คนไม่เคยผ่านโลกมา ดังนั้นต่อมาไม่ว่าเซียวเยี่ยนและเซียวจิ่นถามอะไร นางล้วนปิดปากสนิทไม่ยอมตอบ นางตกอยู่ในมือของพวกเขาก็ไม่คาดหวังว่าตนจะมีทางรอดชีวิต

อย่างไรก็แค่ตายในเมื่อนางมาแล้วย่อมไม่คิดจะมีชีวิตรอดออกไป เพียงแต่เสียดายที่ไม่อาจสังหารฮ่องเต้ทรราชและขุนนางกังฉินผู้นี้!

หลินชิงเวยกลับยกกระโปรงลุกขึ้นยืนในเวลานี้ “หากฝ่าบาทและเซ่อเจิ้งอ๋องไม่ถือสา ให้หม่อมฉันลองถามนางนะเพคะ”

เซียวจิ่นพยักหน้า เซียวเยี่ยนไม่พูดจา ชัดเจนว่าความเงียบของเขาคืออนุญาต

หลินชิงเวยเดินมานั่งแปะอยู่เบื้องหน้ากู้หมิงเฟิ่ง มองหน้านางและถามขึ้นว่า “สกุลกู้ยังมีคนเช่นเจ้าอยู่ด้วยหรือ เหตุใดเมื่อสกุลกู้ถูกประหารเก้าชั่วโคตรจึงไม่มีผู้ใดนึกถึงเจ้า?”

คำพูดของหลินชิงเวยช่างกระทบกระเทือนจิตใจ มันแทงใจดำกู้หมิงเฟิ่ง เรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสกุลกู้ล้วนทำให้นางเจ็บปวดประหนึ่งอยู่มิสู้ตาย นางแค่นหัวเราะเสียงเย็น “อย่างไร เศษสวะเช่นข้าหนีรอดไปได้ ทำให้พวกเจ้านอนไม่หลับใช่หรือไม่?”

หลินชิงเวยมองนางขึ้นๆ ลงๆ อย่างประเมินท่าที “ทั้งๆ ที่เจ้าเป็นสตรีคนหนึ่ง เหตุใดต้องแต่งตัวเป็นบุรุษ? เจ้าดูเจ้าสิ ทำให้ผิวพรรณและมือทั้งคู่หยาบกระด้าง ทำให้เสียงของเจ้าแหบใหญ่ ทำเช่นนี้แล้วก็ไม่มีใครพบว่าเจ้าเป็นสตรีคนหนึ่งแล้วใช่หรือไม่?”

“เจ้า!” กู้หมิงเฟิ่งเงยหน้ากล่าวอย่างคับแค้นใจ “เจ้าสังหารข้าได้ แต่เจ้าลบหลู่ดูหมิ่นข้าไม่ได้ เป็นบุรุษหรือสตรีแล้วเกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย!”

หลินชิงเวยยกยิ้มมุมปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “หากเจ้าเป็นสตรี สังหารเจ้าก็ทำให้เจ้าได้เปรียบน่ะสิ ไม่สู้ให้เจ้าไปเป็นนางบำเรอของขุนนาง เป็นบ่าวไพร่และร่ายรำให้พวกเขาชั่วชีวิต ยังจะมีประโยชน์ซะกว่า” สีหน้ากู้หมิงเฟิ่งที่ซีดเผือดอยู่แล้วยิ่งขาวลงอีก แต่แววตายังคงเต็มไปด้วยคับแค้นใจ เพียงแต่หลินชิงเวยไม่เกรงกลัวสักนิด ทางหนึ่งหัวเราะร้ายกาจพร้อมกับยื่นมือออกไปลูบหน้าอกของกู้หมิงเฟิ่งครั้งหนึ่ง

กู้หมิงเฟิ่งพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

หลินชิงเวยกลับพูดว่า “นุ่มมาก ให้ความรู้สึกมือไม่เลวเลยทีเดียว”

นาทีถัดมาเป็นเสียงเคลื่อนไหวของโซ่ตรวน กู้หมิงเฟิ่งยกมือขึ้นตวัดผ่านใบหน้าของหลินชิงเวยเต็มแรง เซียวจิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกทว่ากลับเห็นหลินชิงเวยมีปฏิกิริยาโต้ตอบว่องไวยิ่งยวดยกมือขึ้นจับข้อมือของนางเอาไว้

พละกำลังจากข้อมือของกู้หมิงเฟิ่งนั้นมหาศาล หลินชิงเวยดูแล้วร่างเล็กแบบบางแต่เรี่ยวแรงไม่น้อยเช่นกัน คนทั้งสองจ้องตากัน แต่มือกลับต่อสู้กันในที่ลับ กระทั่งมือของทั้งคู่แน่ใจแล้วว่าไม่ทำร้ายอีกฝ่าย เพียงแต่ประลองกำลังเท่านั้น หลินชิงเวยจึงคลายมือออก กู้หมิงเฟิ่งไม่คิดจะตีนางอีกเช่นกัน

ต่อมากู้หมิงเฟิ่งพูดทั้งขบฟันแน่นว่า “เป็นสตรีแล้วอย่างไรเล่า ข้ายอมรับว่าข้าเป็นสตรี ก็ไม่พ่ายแพ้ให้กับบุรุษคนใด!”

เซียวจิ่นสูดลมหายใจเข้าปอดเขาหันไปมองเซียวเยี่ยนอย่างห้ามไม่อยู่ เซียวเยี่ยนหรี่ตาลงแววตาของเขานิ่งลึก สายตานั้นจับจ้องไปยังร่างของหลินชิงเวย

เซียวจิ่นไม่พบว่ากู้หมิงเฟิ่งเป็นสตรี ไม่รู้ว่าเซียวเยี่ยนพบหรือไม่ หรือเขารู้แล้วทว่าไร้วิธีการพิสูจน์

วิธีการนี้ของหลินชิงเวย ทั้งง่ายดายและหยาบคายจริงๆ