บทที่ 121 เดินทาง

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

นี่ไม่ใช่เรื่องที่เกาเซิงจะแสดงความคิดเห็นได้ เขาเพียงพยักหน้าเงียบๆ แล้วถามกู้ฉ่างว่า “สกุลหลี่ทางนั้น?”

กู้ฉ่างตอบเสียงเย็นเยียบ “พวกเราทำอะไรไปตั้งมาก หากว่าสกุลหลี่ไม่รับรู้ มิใช่สวมเสื้องดงามเดินยามวิกาลรึ?”

เกาเซิงรับคำ หลังจากดูแลให้กู้ฉ่างพักผ่อนแล้ว เขาก็ออกไปสืบเรื่องของเผยเยี่ยน

รอจนหลี่ตวนสืบเจอว่าสกุลเผิงเป็นคนปล่อยข่าวลือว่าหลี่อี้เป็นคนละโมบในทรัพย์ และเรื่องที่หลี่อี้เกือบจะถูกย้ายให้ไปรับตำแหน่งที่อวิ๋นกุ้ยเป็นฝีมือของกู้ฉ่าง นั่นก็ผ่านเทศกาลอู่ตวน[1]ไปแล้ว

เขาเหม่อลอยจ้องเพดานที่วาดลวดลายต้นหลัวเถิงสีเขียว พลังทั่วร่างคล้ายถูกดูดออกไปจนหมด แม้แรงจะกระดิกนิ้วก้อยก็ยังไม่มี

เผิงสืออีคิดว่าเขาไม่ค่อยเชื่อฟังเท่าไร ด้วยคิดจะข่มขู่เขา จึงให้คนปล่อยข่าวลือว่าหลี่จวิ้นกลับมาเพราะต้องช่วยขนเงินทองให้บิดา และที่กู้ซีต้องการถอนหมั้น ก็เพราะไม่ต้องการให้ผู้อื่นคิดว่าเป็นความผิดของนาง อยากให้สกุลหลี่เป็นคนออกหน้ามาขอถอนหมั้นแทน ดังนั้นกู้ฉ่างจึงลงมือ ข่มขู่พวกเขาว่าหากไม่ยอมมาถอนหมั้นดีๆ ก็จะโยกย้ายบิดาเขาไปอยู่ที่อวิ๋นกุ้ยเสีย

หลินเจวี๋ยเหมือนกับสัตว์ตัวหนึ่งที่ถูกขังให้เดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง “พวกเราบัดนี้ต้องเผชิญศึกสองด้าน! อาตวน พวกเราจะประมาทไม่ได้! เผิงสืออีทางนั้นยังพอคุยง่าย เขาก็แค่ต้องการให้พวกเราก้มหัวให้มิใช่หรือ? พวกเราก็ยอมเขาเสียสิ! เขาให้ทำอย่างไรก็ทำตามนั้น สถานการณ์คับขันแบบนี้จะให้พวกเขารู้ไม่ได้ว่าสกุลกู้ก็เล่นงานเราอยู่ ไม่อย่างเราต้องกลายเป็นเนื้อบนเขียงให้สกุลเผิงเชือดคอได้ตามใจชอบแน่”

“ส่วนเรื่องสกุลกู้ หากว่าทำอะไรไม่ได้จริงๆ เช่นนี้ก็ถอนหมั้นไปก่อน”

“ก่อนหน้านี้ท่านแม่หาวิธีผูกสัมพันกับสกุลกู้อยู่ ข้าคิดว่าไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไร อย่าได้คิดเพ้อฝันอีกเลย! อีกอย่างบ้านรองสกุลกู้ก็ยากจนจะตายไป ข้าลองไปสืบมาแล้ว ตอนที่ท่านผู้เฒ่าสกุลกู้แบ่งสมบัติ บ้านรองสกุลกู้ได้ไปไม่ถึงสองหมื่นตำลึงด้วยซ้ำ ทั้งนายท่านรองก็มิใช่คนเป็นการเป็นงาน คุณหนูสกุลกู้คนนี้จะมีสินเดิมสักเท่าไรเชียว!”

“แล้วอีกอย่าง เจ้าลองคิดดูนะ นางไร้ที่พึ่งพาตั้งแต่เล็ก แต่ก็ยังทำให้มารดาเลี้ยงริษยาชิงขังอยู่สามส่วน เห็นชัดว่ามิใช่คู่ครองที่ดีสักเท่าไร! จะว่าไปแล้ว สกุลกู้นับเป็นสกุลบัณฑิตได้สักเท่าไร สกุลใหญ่ทั้งสี่แถบเจียงหนาน หังโจวยังมีอีกตั้งสามสกุล ถ้าไม่ใช่สกุลกู้ของพวกเขา ก็ยังมีสกุลเสิ่น สกุลลู่และสกุลเฉียน หากไร้ทางเลือกแล้วจริงๆ ก็ยังมีสกุลจาง สกุลหยางอยู่อีกนี่!”

พูดถึงตรงนี้ เขาก็หย่อนก้นนั่งลงข้างเก้าอี้ของหลี่ตวน ยกขาไขว่ห้างแล้วพูดต่ออีกว่า “หากเป็นข้านะ ข้าจะหาสกุลที่ฐานะใกล้เคียงกับตัวเอง ไม่ก็ฝ่ายหญิงมีพี่น้องเป็นบัณฑิต ไม่ก็ฝ่ายหญิงมีสินเดิมเป็นทรัพย์มหาศาล สุดท้ายคนที่ต้องใช้ชีวิตคู่กับนางก็คือเจ้า หากต้องอยู่กับภรรยาที่ข่มเจ้าอยู่บนศีรษะแทบทุกวัน แล้วชีวิตที่เหลือจะมีความหมายใดอีกเล่า?”

หลี่ตวนแค่นยิ้ม

มิใช่ว่าเขาไม่คิด

แต่ถ้าเขาไม่ทำเช่นนี้ พอตนเดินเข้าสู่เส้นทางขุนนางแล้ว อาศัยรากฐานของสกุลหลี่ เดิมก็ไม่อาจหนุนหลังเขาได้

ก็เหมือนบิดาของเขา นั่นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด

หากมิใช่เพราะสกุลหลินมีแต่เงินทว่าไร้ภูมิหลัง บิดาที่อายุปูนนี้ของเขาคงไม่ต้องติดแหง็กอยู่ที่ขุนนางขั้นสี่จะขยับไปทางไหนก็ไม่ได้อยู่เช่นนี้?

คำพูดนี้ไม่อาจพูดต่อหน้าหลินเจวี๋ยได้

เขานวดขมับเพราะรู้สึกปวดศีรษะ “งานแต่งของสกุลกู้ หากว่าทำได้ ก็ต้องยื้อต่อไปจะดีที่สุด ข้าได้ยินคนสกุลอู่พูดว่า ซุนเกาผู้เป็นอาจารย์ของกู้ฉ่าง อาจจะถูกโยกให้ไปรับตำแหน่งเจ้ากรมขุนนาง”

กรมขุนนางมีหน้าที่พิจารณาแต่งตั้งถอดถอน ตบรางวัลและลงโทษขุนนางในราชสำนัก

หลินเจวี๋ยได้ยินก็ตาสว่างวาบ “จริงรึ?”

“เป็นความจริง!” หลี่ตวนตอบด้วยท่าทีเหน็ดเหนื่อย “ลูกหลานสกุลอู่เรียนห้องเดียวกับข้า สองวันก่อนเขาส่งคนมาแจ้งเป็นพิเศษ”

หลินเจวี๋ยหลุบตาต่ำแล้วเงียบเสียงไป

เขากระจ่างแก่ใจดี ที่ศิษย์สกุลอู่ส่งข่าวมาบอก ก็เพราะไม่รู้เรื่องที่สกุลกู้ต้องการถอนหมั้น จึงคิดจะประจบเอาใจหลี่ตวน

หากว่าข่าวที่สองสกุลจะถอนหมั้นหลุดออกไป ยังไม่พูดถึงหลี่ตวนที่ต้องถูกคนหัวเราะเยาะ สกุลหลี่ก็ต้องถูกคนละทิ้งเช่นเดียวกัน

เป็นนานกว่าเขาจะถามขึ้นว่า “แล้วเจ้ามีแผนอย่างไร?”

หลี่ตวนตอบ “ท่านแม่ยังไม่รู้เรื่องนี้ เจ้าก็ช่วยข้าดูแลมารดาไปก่อน สองวันนี้ข้าวางแผนจะไปหังโจว ไปพบคุณหนูกู้สักครั้ง!”

จะแก้ปมเชือกย่อมต้องใช้คนที่ผูกปมไปแก้

เขาอยากรู้เหลือเกินว่าเหตุใดคุณหนูกู้ถึงดึงดันจะถอนหมั้นให้ได้

หรือเพราะเรื่องของสกุลอวี้ร้ายแรงเพียงนั้น? แต่ที่เขาทำลงไปก็ด้วยเพราะมีเหตุผลอื่น

หลินเจวี๋ยหัวเราะออกมา “ยังคงเป็นเจ้าที่ร่ำเรียนมามาก มีปัญญาคิดได้ สตรีย่อมชมชอบบุรุษรูปงาม หากต้องไปหากู้ฉ่าง มิสู้ไปหาคุณหนูกู้ให้รู้แล้วรู้รอด”

อย่างไรรูปลักษณ์ภายนอกของหลี่ตวนก็โดดเด่น มีหญิงคนใดไม่ชมชอบบุรุษหล่อเหลาบ้าง เรื่องถอนหมั้นเดิมก็มีกู้ซีเป็นตัวหลัก หากว่ากู้ซีเปลี่ยนใจมาแต่งให้สกุลหลี่อย่างเก่า คิดว่าคนในสกุลกู้ก็คงไม่ขัดขวางนาง

หลี่ตวนรู้สึกว่าหลินเจวี๋ยพูดจาเสียมารยาท คิ้วจึงขมวดแน่น

หลินเจวี๋ยนึกว่าหลี่ตวนกำลังกลัดกลุ้มเรื่องที่จะเดินทางไปสกุลกู้ จึงเอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะว่า “ข้าคิดว่าเจ้าทำถูกต้องแล้ว จะไปก็ต้องรีบไป ไม่จำเป็นต้องเลือกวันดีอะไรหรอก พรุ่งนี้เจ้าออกเดินทางไปสกุลกู้ได้เลย หาวิธีพบหน้าคุณหนูกู้ให้ได้ รอเจ้ากล่อมคุณหนูกู้มาอยู่ในกำมือสำเร็จ คอยดูว่าสกุลกู้คนอื่นยังจะกล้าพูดอะไรอีก!”

ความคิดนี้แม้จะไม่ถูกต้อง แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่สูงมาก

หลี่ตวนตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะหาทางพบหน้ากู้ซีให้ได้ แต่ปากกลับบอกว่า “ข้ามีวิธีของข้าอยู่”

หลินเจวี๋ยกลัวนิสัยดื้อรั้นของเขาจะกำเริบอีกรอบ จึงกล่อมเขาว่า “หานซิ่นยังทนรับความอับอาย จนบรรลุผลอันยิ่งใหญ่ได้ในภายหลัง เจ้าก็สมควรเรียนรู้จากเขาเป็นแบบอย่าง!”

นั่นก็ต้องดูว่าเรียนรู้สิ่งใดด้วย!

หลี่ตวนลอบเสียดสีในใจ รู้สึกว่าหลินเจวี๋ยเป็นเนื้อสุนัขที่ไม่อาจตั้งโต๊ะได้จริงๆ

เขากำหนดวันที่จะเดินทางไปหังโจว ด้านอวี้ถังกับอวี้หย่วนนั้นไม่ง่ายกว่าจะหาโอกาสเหมาะได้ พาคนสกุลเซียงเดินทางไปซูโจวเช่นเดียวกัน

ตั้งแต่เกิดมาคนสกุลเซียงก็ไม่เคยเดินทางไกลเช่นนี้มาก่อน

นางคิดว่าที่ตนสามารถเดินทางจากฟู่หยางมาถึงหลินอันได้ นับว่าได้เปิดหูเปิดตา ถือเป็นสตรีที่โชคดีผู้หนึ่งแล้ว ไม่เคยคิดว่าตนเองจะมีโอกาสได้ไปเยือนเมืองซูโจวด้วย

ตอนที่นั่งอยู่ในเรือสำปั้นที่เช่ามา นางยังคิดว่าตัวเองฝันไป

นางเปิดถุงขนมวอซือถังออก ยัดใส่มืออวี้ถังหนึ่งชิ้น แล้วกระซิบเสียงเบาว่า “เจ้าลองชิมดู ตอนงานแต่งข้า บิดาข้านำกลับมาให้จากเมืองหลวง”

เรือสำปั้นลำน้อยใช้ผ้าม่านสีน้ำเงินแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งมีอวี้หย่วน ซย่าผิงกุ้ย ซานมู่และเด็กในร้านสองคนนั่งอยู่ ส่วนอีกฝั่งก็มีอวี้ถัง คนสกุลเซียง ซวงเถาและสาวใช้ของคนสกุลเซียงนามว่าซย่าเหลียน

ร้านค้าของสกุลอวี้ต้องการซื้อสีน้ำเพิ่ม อวี้หย่วนเสนอให้พาอวี้ถังและคนสกุลเซียงมาด้วยกัน เพื่อให้พวกนางได้ทำความคุ้นเคยกับกิจการของสกุล

อวี้ป๋อไม่อนุญาต คิดว่าให้สตรีติดตามไปมีแต่เรื่องยุ่งยาก ยังคงเป็นอวี้ถังที่โน้มน้าวอวี้เหวินสำเร็จ แล้วให้อวี้เหวินออกหน้าไปพูดกับอวี้ป๋ออีกที ในที่สุดอวี้ถังกับคนสกุลเซียงจึงได้ร่วมเดินทางไปซูโจวด้วย

อวี้ถังตื่นเต้นดีใจจนสองวันนี้นอนไม่ค่อยหลับ พอขึ้นเรือและเรือแล่นออกไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ความรู้สึกแปลกใหม่ในตอนต้นก็หายวับ นางเริ่มนั่งสัปหงกทันที

อวี้ถังยัดน้ำตาลเข้าไปในปากระหว่างที่หาววอด รู้สึกว่ามันไม่ทำให้ตื่นเลยสักนิด แต่กลับยิ่งง่วงเข้าไปใหญ่ ตนจึงเอนพิงไหล่คนสกุลเซียงอย่างไร้แรงต้านทาน เปลือกตาที่หนักอึ้งเหมือนทองพันชั่งแทบจะปิดสนิท ปากก็งึมงำบอกว่า “พี่สะใภ้ ข้าของีบสักครู่”

คนสกุลเซียงมองนางที่แอบอิงอยู่บนไหล่ตนราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง จึงอดเม้มปากยิ้มไม่ได้

เมื่อวานนางก็หลับไม่ค่อยดี กลัวว่าหากตามไปด้วยจะทำให้อวี้หย่วนยุ่งยากกว่าเดิม ทั้งกังวลว่าจะดูแลอวี้ถังไม่ครบถ้วนจนนางไม่พอใจ…แม้นางจะแต่งเข้าสกุลอวี้ได้ไม่ถึงสามเดือนดี แต่นางก็เห็นได้อย่างโจ่งแจ้ง ว่าบุตรสาวตัวน้อยของบ้านท่านอานั้น ไม่เพียงบ้านรองสกุลอวี้ที่ดูแลนางราวไข่มุกในมือ แม้กระทั่งพ่อสามี แม่สามี รวมถึงสามีของนางเองก็รักใคร่นางเป็นที่สุด นางไม่ต้องการผิดใจกับอวี้ถังแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ด้วยกลัวจะกระทบไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่สามีด้วย อีกอย่างอวี้ถังก็นิสัยไม่เลว สามีเองก็ยิ่งรักใคร่นางกว่าเก่า ไม่ว่าไปที่ใดล้วนพานางไปด้วย ทำให้คนที่ริษยามารดาเลี้ยงตั้งแต่เล็กอย่างนางตัดสินใจได้ว่า จะต้องคว้าหัวใจของสามีเอาไว้ให้ได้ แล้วใช้ชีวิตเป็นสุขเช่นนี้กับเขาไปตลอดกาล

นางจึงยอมตามใจอวี้ถังหนักกว่าเก่า

เพียงแต่เมื่อเห็นอวี้ถังงีบหลับไป นางก็อดจะง่วงตามไปด้วยไม่ได้

“ซย่าเหลียน” คนสกุลเซียงสั่งกับสาวใช้ของตนเสียงเบาว่า “ข้าก็จะงีบสักหน่อย ถ้าคุณชายใหญ่ทางนั้นต้องการสิ่งใด เจ้าก็ปลุกข้าด้วย”

ซย่าเหลียนติดตามคนสกุลเซียงตั้งแต่เล็กจนโต ความคิดของคนสกุลเซียงนางรู้ดีเป็นที่สุด เมื่อก่อนนางยังกลัวว่าคนสกุลเซียงจะแต่งภรรยาให้สกุลที่ร่ำรวย แล้วนางจะถูกรับตัวเป็นอนุ ตอนที่คนสกุลเซียงแต่งเข้าสกุลอวี้ นางเป็นคนที่ดีใจกว่าใครเพื่อน…อย่างเช่นสกุลอวี้นี้ ไม่มีทางเลี้ยงอนุให้เปลืองข้าวสารเล่นแน่ ปกติสาวใช้ข้างกายของนายหญิงหากไม่แต่งกับเด็กในร้านที่ฉลาดเฉลียวหน่อย ก็แต่งกับเถ้าแก่ผู้ดูแลร้าน ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง แต่ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ นางจึงนับว่าลืมตาอ้าปากได้ ไม่เสียแรงที่ได้เกิดมาสักครั้ง

หากคนสกุลเซียงต้องการครองหัวใจของอวี้หย่วน นางก็ต้องทุ่มเทจิตใจมากกว่าใครอื่น

นางพยักหน้ารับ ไม่เพียงหยิบหมอนอิงที่ค้ำไหล่ตัวเองอยู่ส่งให้คนสกุลเซียงอย่างระมัดระวัง ทั้งส่งผ้าห่มผืนบางให้ซวงเถา บุ้ยใบ้ให้ซวงเถาช่วยห่มให้คนสกุลเซียงและอวี้ถังด้วย

ซวงเถาพลันรู้สึกว่าหน้าที่บ่าวรับใช้ที่ทำมาหลายปีช่างเสียเปล่าเหลือเกิน

นางไม่เคยละเอียดใส่ใจหรือเสนอตัวเข้าไปดูแลอวี้ถังมาก่อน

โดยทั่วไป ไม่ว่าคนสกุลเฉินหรืออวี้ถังจะเอ่ยสั่งอะไร นางก็จะทำตามแค่นั้น บางครั้งยังชอบไปแอบอู้อยู่ที่ห้องครัว

ไม่มีข้อเปรียบเทียบก็คงไม่เห็นถึงความแตกต่าง ต่อไปคุณหนูจะเริ่มรู้สึกว่านางไร้ประโยชน์หรือไม่หนอ?

ซวงเถาค่อยๆ ห่มผ้าผืนบางบนร่างของอวี้ถังกับคนสกุลเซียง ในใจกลับไม่ค่อยสงบนัก

เมืองหังโจวกับเมืองซูโจวมีเส้นทางน้ำที่เชื่อมถึงกันโดยตรง สะดวกสบายเป็นอย่างยิ่ง ทั้งเป็นการล่องเรือตามกระแสน้ำ ใช้เวลาเพียงเจ็ดแปดชั่วยามก็ถึงแล้ว ดังนั้นคนจำนวนมากจึงเลือกเดินทางโดยการนั่งเรือ ขึ้นเรือตอนช่วงค่ำ นอนหลับไปหนึ่งคืน เช้าวันที่สองก็มาถึงแล้ว พอจัดการธุระที่เมืองซูโจวเสร็จ ก็สามารถนั่งเรือรอบค่ำกลับหังโจวได้พอดี ไม่ต้องเสียเวลาทั้งยังช่วยประหยัดค่าพักแรมไปได้อีกหนึ่งคืนด้วย

พวกอวี้ถังก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เริ่มจากนั่งเรือไปหังโจวก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนเรือที่หังโจว ใช้เวลาแค่คืนเดียวก็มาถึงซูโจวแล้ว

ทว่า พวกเขาจะค้างแรมที่ซูโจวสองคืนแล้วค่อยกลับ

ตามคำที่่อวี้หย่วนเล่า เขาจะต้องไปดูร้านค้าขายสีที่เมืองซูโจวทางนี้สักหน่อย

‘ซูย่างเอ๋อร์’ ก็คือพวกคนชั้นสูงในวังที่พยายามหาข้าวของจากเมืองซูโจวไปใช้ บางทีอาจเป็นเพราะทั้งๆ ที่หังโจวใกล้กับหนิงปัวมากกว่า แต่คนที่ทำการค้าทางทะเลส่วนใหญ่มักอยู่ที่ซูโจวทางนี้

นั่งเรือมาหนึ่งวันหนึ่งคืน อวี้ถังและคนสกุลเซียงเหมือนถั่วฝักยาวลวก ตัวอ่อนปวกเปียกไปหมด

พี่ชายที่มีภรรยาแล้วลืมน้องสาวอย่างอวี้หย่วนนั้น ถลาเข้าไปพยุงคนสกุลเซียงก่อน เห็นว่าดวงหน้าของคนสกุลเซียงล่องลอย ก็ถามอย่างเป็นห่วงว่า “เจ้ายังดีอยู่หรือไม่! ข้าจะไปเช่าเกี้ยวเดี๋ยวนี้ แล้วส่งเจ้ากับอาถังไปพักที่โรงเตี้ยมก่อน รอให้ข้ากับผิงกุ้ยซื้อของเสร็จก็จะออกไปเดินเที่ยวเป็นเพื่อนพวกเจ้า”

คนสกุลเซียงไม่รู้จะรับมือกับสามีจอมซื่อตรงอย่างไร กลัวว่าถ้าสะบัดมือออกก็จะทำร้ายน้ำใจเขา แต่ก็กลัวว่าหากตัวเองยังอี๋อ๋อกับสามีผู้อยู่ข้างกายนี้ต่อไปอาจทำให้น้องสาวกระอักกระอ่วนได้ จึงได้แต่ส่งสายตาให้อวี้หย่วน เอ่ยว่า “ข้าไม่เหนื่อยหรอก ท่านไปประคองน้องสาวเถอะ ข้ายังไหว!”

อวี้หย่วนพึ่งนึกถึงอวี้ถังขึ้นมาได้ ส่งเสียง ‘อ้อ’ อย่างไม่ใส่ใจทีหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ปล่อยมือจากคนสกุลเซียง เขาเอี้ยวหน้ากลับมาถามอวี้ถังที่เดินอยู่ด้านหลังคนสกุลเซียงว่า “เจ้าไม่เป็นไรกระมัง! ต้องการให้ข้าพยุงหรือไม่?”

————————————————————-

[1]เทศกาลอู่ตวน คือวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน ตามตำนานเล่ากันว่าเพื่อรำลึกถึงชวูหยวน กวีผู้รักชาติในสมัยโบราณของจีน