ณ วังขององค์ชายรัชทายาท ข้างประตูมายาสวรรค์
องค์ชายรัชทายาทกำลังนั่งหลังตรงอยู่เพียงผู้เดียวในวังอันโอ่อ่า สีหน้าของเขาเคร่งขรึมจริงจัง ดวงตาเต็มไปด้วยความคิดมากมายที่ผ่านเข้ามาในจิตใจ มีจดหมายลับสองสามแผ่นวางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้า
“เจ้ามู่เฉิง ไอ้จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์… ข้ารู้อยู่แล้วว่ามันนี่ละที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี่!” สีหน้าขององค์ชายรัชทายาทดูพลุ่งพล่าน เขาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะ ยิ่งอ่านยิ่งโมโหมากขึ้นไปอีก องค์ชายขยำจดหมายนั้นทิ้งจนกลายเป็นก้อนกลม
“ถ้าซูฉียังอยู่ก็ดีสิ…” จีเฉิงอันคิดแล้วถอนหายใจออกมา หากซูฉียังอยู่คงมีความคิดดีๆ ในการจัดการเรื่องนี้อย่างแน่นอน อย่างน้อยก็คงหาทางโต้กลับบ้าง ไม่ได้เป็นผู้ถูกกระทำแต่ฝ่ายเดียว
การสวรรคตอย่างกะทันหันของจักรพรรดิเหนือความคาดหมายของทุกคนไปมาก หากขันทีผู้หนึ่งที่ทำงานอยู่ในวังหลวงไม่ได้ปล่อยข่าวนี้ออกมาโดยบังเอิญ ก็น่าจะยังไม่มีใครรู้ถึงการจากไปของจักรพรรดิ
“ลักพาตัวทั้งโอวหยางเสี่ยวอี้และหยางเฉิน… ไอ้เจ้ามู่เฉิงนี่บ้าดีเดือดดีแท้ แต่ข้าก็ยังคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรต้องปฏิเสธ หากข้าตอบรับข้อเสนอก็แปลว่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากทั้งตระกูลโอวหยางและตระกูลหยาง… แน่นอนว่าสิ่งนี้จะทำให้น้องสองกระด้างกระเดื่องกับข้าไม่ได้ง่ายๆ… ต่อให้หมอนั่นสมคบคิดกับสำนักนอกอาณาจักรก็ตาม!” องค์ชายรัชทายาทพึมพำ จากนั้นก็คลี่จดหมายที่ขยำไปก่อนหน้านี้ออกมาอ่านดูดีๆ อีกครั้ง ดูเหมือนว่าเพิ่งจะตัดสินใจเรื่องใหญ่ได้หลังจากคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน
…
เจ้ามู่เฉิงเป่าเบาๆ ให้ถ้วยชาร้อนในมือเย็นลง จากนั้นก็ยกชาขึ้นจิบพร้อมเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “ว่าอย่างไรนะ ผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการหลายต่อหลายคนจัดการผู้ฝึกตนขั้นจิตยุทธการสองคนไม่ได้เช่นนั้นรึ”
สีหน้าของชายในชุดคลุมปักลายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้ามู่เฉิงซีดเผือดทันที เขารีบคุกเข่าลงบนพื้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว “นายท่าน เป็นความผิดของข้าน้อยเองขอรับ ข้าน้อยส่งคนออกไปจับตัวเด็กสองคนนั้นกลับมาแล้ว… แต่…”
“แต่อะไร” เจ้ามู่เฉิงถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ขณะจิบชาต่อ
ชายในชุดคลุมปักลายลอบมองเจ้ามู่เฉิง ก่อนเอ่ยตอบอย่างระมัดระวัง “องค์หญิงน้อยแห่งตระกูลโอวหยางและทายาทตระกูลหยางหนีไปทางร้านลึกลับขอรับ…”
“ร้านลึกลับรึ หืม เจ้าหมายถึงร้านที่กำลังโด่งดังไปทั่วเมืองตอนนี้น่ะรึ ร้านที่แม้แต่ท่านจักรพรรดิยังต้องไปเยือนด้วยพระองค์เองน่ะนะ” เจ้ามู่เฉิงที่กำลังจะยกชาขึ้นดื่มชะงักแล้วเอ่ยถามอย่างงุนงงสงสัย เขาได้ยินข่าวลือเรื่องร้านอาหารเล็กๆ ร้านนั้นมาเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่านี้
จากข้อมูลที่รวบรวมมาได้ เขารู้ว่าพื้นเพของร้านนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน
“อสูรเวทในตำนานกับหุ่นเชิดที่สามารถไล่ขั้นนักพรตยุทธการกระเจิดกระเจิงได้ ช่างเป็นร้านที่แปลกประหลาดเสียจริง… แล้วเจ้าได้ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมาหรือไม่” เจ้ามู่เฉิงถาม
“พวกข้าน้อยได้ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมาแล้วขอรับ แต่ก็ไม่รู้อะไรไปมากกว่านี้” ชายในชุดคลุมปักลายตอบ นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขากลัว หากโอวหยางเสี่ยวอี้และหยางเฉินหนีเข้าร้านนั้นไปได้สำเร็จ พวกเขาจะต้องเข้าไปในร้านเพื่อจับตัวเด็กสองคนนั้นกลับมาอีกครั้ง ทว่าร้านนั้นกลับ… ดูไม่ธรรมดาเอาเสียเลย
“ฮึ! ถ้าแม้แต่ข้อมูลง่ายๆ เจ้ายังหาไม่ได้ ข้าจะเสียเงินจ้างเจ้าไปเพื่ออะไรกัน ข้าเสียเงินค่าเครือข่ายข้อมูลให้พวกเจ้าทุกปีปีละหลายหมื่นผลึก แต่พวกเจ้ากลับหาข้อมูลเกี่ยวกับร้านอาหารเล็กๆ มาให้ข้าไม่ได้เนี่ยนะ” เจ้ามู่เฉินพ่นลมเย็นเยาะเย้ย สายตาจับจ้องมาที่ชายหนุ่มตรงหน้า
ชายหนุ่มรู้สึกได้ทันทีว่าเหงื่อเย็นกำลังผุดขึ้นเต็มแผ่นหลังของตน
“ช่างเถอะ ร้านนี้อาจจะลึกลับอย่างที่ว่ากันจริงๆ ก็ได้ ในทวีปที่แสนกว้างใหญ่นี้มีพลังลึกลับอยู่มากมายที่แม้แต่เราเองก็ยังจินตนาการไม่ถึง ไม่ใช่ความผิดของเจ้าที่หาข้อมูลมาไม่ได้ แต่… เจ้าจะต้องจับตัวเจ้าเด็กตระกูลโอวหยางกับตระกูลหยางกลับมาให้ได้! หากจำเป็นเจ้าก็จงไปลงมือด้วยตนเองเสีย ทำอย่างไรก็ได้ให้เด็กสองคนนั้นกลับมายืนอยู่ตรงหน้าข้า”
สีหน้าของชายเบื้องหน้าเจ้ามู่เฉิงเปลี่ยนเป็นเหยเกทันที “นายท่านขอรับ แต่ว่า… ที่หน้าร้านนั้นมีอสูรเวทในตำนานเฝ้าอยู่นะขอรับ! ยิ่งไปกว่านั้นหุ่นเชิดนั่นก็ไม่ใช่อะไรที่ผู้ฝึกตนระดับหกอย่างข้าจะจัดการได้”
“อสูรเวทในตำนานรึ ฮึ… เจ้าเชื่อข่าวลือไร้สาระพรรค์นั้นด้วยรึ เจ้าคิดจริงหรือว่าอสูรเวทในตำนานจะมารับบทสุนัขเฝ้ายามให้ร้านอาหารน่ะ แม้แต่สำนักความลับแห่งสวรรค์ สำนักที่ลึกลับที่สุดในบรรดาสำนักใหญ่ทั้งสิบ ยังไม่มีปัญญาขนาดนั้นเลย แล้วร้านเล็กๆ จะไปจับอสูรเวทในตำนานมาเฝ้ายามได้อย่างไรเล่า”
ดูก็รู้ว่าเจ้ามู่เฉิงไม่เชื่อว่าอสูรเวทในตำนานจะมาเฝ้ายามให้ร้านอาหารเล็กๆ แห่งนั้น บางทีความพ่ายแพ้ของเซียวเหมิงและขันทีเหลียนอาจเป็นเรื่องบังเอิญ ทั้งสองอาจโดนสุนัขตนนั้นหลอกก็เป็นได้
เจ้ามู่เฉิงมั่นใจในทฤษฎีของตนเองมากเนื่องจากเคยเห็นอสูรเวทระดับเก้าในตำนานตัวเป็นๆ มาก่อน เขารู้ดีว่าอสูรนี้น่ากลัวร้ายกาจเพียงใด แล้วสิ่งมีชีวิตที่ทรงอำนาจเช่นนั้นจะมาเฝ้าร้านอาหารเล็กๆ นี้ไปเพื่ออะไรกัน… ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
ความหัวแข็งของเจ้ามู่เฉิงทำให้ชายในชุดคลุมลายปักหงุดหงิดเป็นอันมาก… แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องลองดูสักตั้ง ตอนนี้เขามีทางเลือกเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือการหวังให้นายตนเดาถูก
…
“มีสุนัขที่น่าทึ่งเช่นนี้อยู่บนโลกด้วยรึ! มันพูดภาษาคนได้จริงๆ!” ผู้ฝึกตนระดับห้าขั้นราชันยุทธการคนหนึ่งจ้องเจ้าดำเขม็ง รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังกลับตาลปัตร
หยางเฉินเองก็จ้องเจ้าดำด้วยสายตาว่างเปล่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอเจ้าดำ เด็กชายไม่ได้คาดคิดเลยว่ามันจะเปิดปากพูดภาษามนุษย์ออกมา
“ปล่อยเด็กนั่น… นี่มันเป็นสิ่งที่สุนัขควรจะพูดรึ” หยางเฉินคิดด้วยความงุนงง
“ฮ่าๆๆ! ไอ้หมาอ้วนนี่คิดว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษจะช่วยสาวน้อยไร้ทางสู้รึ ขอหน่อยเถอะ ข้าไม่ไหวแล้ว…” บรรดาขั้นราชันยุทธการต่างพากันระเบิดหัวเราะลั่นหยุดไม่ได้
ปู้ฟางยืนอยู่ที่ทางเข้าร้าน เขาได้ยินเสียงหัวเราะดังสนั่นของเหล่าขั้นราชันยุทธการที่อยู่ตรงปากทางเข้าตรอก สีหน้าของชายหนุ่มนิ่งสนิท แต่ดวงตากลับมีความรู้สึกเวทนาคนเหล่านั้นเล็กน้อย
ขั้นราชันยุทธการคนอื่นๆ ที่ทำตัวหยิ่งผยองต่อหน้าเจ้าดำ… ไม่ตายดีสักคน
เมื่อคิดได้ดังนั้น ปู้ฟางก็อดตะโกนบอกเจ้าดำไม่ได้ “เจ้าขี้เกียจ ยั้งมือหน่อยล่ะ อย่าทำพื้นแตกอีก เพิ่งจะซ่อมไปเอง ถ้าต้องซ่อมอีกรอบคงจะ… ปวดหัวน่าดู”
เมื่อเจ้าดำได้ยินคำพูดของปู้ฟาง มันก็กลอกตาแล้วบ่นพึมพำตัวเดียวเงียบๆ ไม่แม้แต่จะตอบกลับ
ผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการที่จับตัวโอวหยางเสี่ยวอี้เอาไว้มองภาพตรงหน้า สมองเริ่มส่งเสียงเตือนดังลั่น… ร้านอาหารในตรอกห่างไกลกับสุนัขที่พูดภาษาคนได้รึ เขารู้สึกว่ามันช่างคลับคล้ายคลับคลาชอบกล แต่ก็นึกไม่ออกเสียที
“เราจะมายืนคุยกับสุนัขไปทำไมกัน ไอ้สุนัขตัวนี้อ้วนอย่างกับอะไรดี เหมาะเอาไปทำหม้อไฟเนื้อสุนัขเป็นที่สุด! อร่อยเหาะ!” แต่ผู้ฝึกตนคนหนึ่งกลับไม่คิดว่าสถานการณ์นี้อันตรายแต่อย่างใด เขาถกแขนเสื้อสองข้างขึ้น เดินเข้าไปหาเจ้าดำพร้อมรอยยิ้มเยาะบนใบหน้า จากท่าทางของเขา ดูเหมือนว่า… กำลังพยายามจะจับสุนัขเอาไปต้มกิน
เจ้าดำมองขั้นราชันยุทธการคนนั้นด้วยสายตาใสซื่อ มันยื่นอุ้งมือสวยที่สั่นน้อยๆ ออกมา
“ฮี่ๆ ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้ชะตากรรมตัวเองแล้วสินะ แต่เสียใจด้วย มันสายไปแล้ว ต่อให้เจ้าทำตัวน่ารักไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก!” ผู้ฝึกตนคนนั้นระเบิดหัวเราะออกมาทันที
ทว่าตอนนั้นเอง เมื่ออุ้งมือของเจ้าดำแตะลงบนตัวเขาเบาๆ เสียงหัวเราะของชายผู้อวดดีคนนั้นก็หยุดชะงัก ตัวนิ่งค้างอยู่กับที
“หือ อะไรน่ะ” ผู้ฝึกตนที่จับตัวโอวหยางเสี่ยวอี้อยู่ขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย
ทันทีที่พูดจบ ลมพายุรุนแรงก็พัดผ่านร่างของเขาไป พร้อมด้วยร่างมนุษย์คนหนึ่งที่ถูกหอบหายไปกับลม จนเส้นผมของเขาปลิวไสว
ตูม!!
ร่างมนุษย์ร่างนั้นพุ่งกระแทกทะลุกำแพงบ้านนับหลังไม่ถ้วนในนครหลวง ก่อนจะกลายสภาพเป็นเศษเนื้อเละๆ อยู่บนพื้น
“อ้อ เท่านี้พื้นก็ไม่พังแล้วสินะ บ๊อก” เจ้าดำพูดเสียงอ่อนโยน ความยโสโอหังระเบิดออกจากดวงตา สำหรับมันแล้ว ขั้นราชันยุทธการก็ไม่ต่างอะไรจากมดปลวกไร้ค่า
ผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการอีกคนที่กำลังจับตัวโอวหยางเสี่ยวอี้อยู่ตัวสั่นทันทีเมื่อตระหนักได้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ใด
จากกระแสข่าวลือหนาหูที่ได้ยินมา มีร้านอาหารหน้าเลือดใจไม้ไส้ระกำในตรอกห่างไกลของนครหลวงอยู่ร้านหนึ่ง ที่มีอสูรเวทระดับเก้าในตำนานเฝ้ายามอยู่… ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าข่าวลือนี้เป็นเรื่องไร้สาระ แต่เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานของตนพุ่งทะลุกำแพงบ้านไปครึ่งนครจนกลายเป็นเศษเนื้อเละๆ บนพื้น เพียงเพราะโดนสุนัขแตะตัวไปครั้งเดียว… หากใครกล้ามาบอกเขาว่าเจ้าสุนัขตัวนี้ไม่ใช่อสูรเวทในตำนาน เขาจะไปจับคนผู้นั้นเขย่าจนกว่าจะได้สติ!
ผู้ฝึกตนคนนั้นกำลังด่าทอตนเองอย่างเกรี้ยวกราดอยู่ในใจ เขาไม่ได้คาดคิดว่าเด็กสองคนนี้จะวิ่งหนีมาที่นี่…
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างหายไปจากมือของตนเอง โอวหยางเสี่ยวอี้กระทืบเท้าของเขา จากนั้นก็พุ่งออกจากการจับกุมตัว นางเหยียบลงบนพื้นแล้วรีบวิ่งออกห่างจากอีกฝ่าย
“ข้า…” รูม่านตาของผู้ฝึกตนผู้นั้นหดแคบทันที ความรู้สึกกลัวจับขั้วหัวใจเข้ายึดครองร่าง ก่อนที่อุ้งมือขนปุยน่ารักสีดำจะแตะลงบนท้อง
เป็นสัมผัสที่แสนแผ่วเบา…
………………….