ตอนที่ 88 ทำไมหมูไม่ปีนต้นไม้?

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

หมาป่าเดียวดายขาอ่อน มันสาบานว่าแค่อยากหาที่นอนเท่านั้น แล้วก็มันเป็นหมาป่าไม่ใช่คนด้วย จะให้ไหว้พระทำไม?

แต่ฟางเจิ้งพูดแล้ว มันก็หลักแหลมใช่ย่อย เข้าใจความหมายของฟางเจิ้ง จึงเดินหน้าเข้าไปในอุโบสถ

หลิวเทากับอู๋ไห่มองหน้ากัน ก่อนรีบตามเข้าไป

ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย เดินตามไปอย่างเอ้อระเหย

หมาป่าเดียวดายเดินเข้าอุโบสถ มันกำลังตรึกตรองดู เป็นหมาป่าควรจะไหว้พระยังไง! คิดไปคิดมาก็ไม่มีบรรพบุรุษหมาป่าตัวไหนถ่ายทอดวิชานี้ให้มันเลย ด้วยความจนปัญญาจึงถีบเท้าหน้ายืนขึ้นเหมือนคน!

หลิวเทา อู๋ไห่ รวมถึงช่างกล้องตะลึงงัน! พูดในใจพร้อมกันว่า ‘หมาป่าคงไม่ได้จะไหว้พระจริงๆ หรอกนะ?’

แทบเป็นในเวลาเดียวกัน หมาป่าเดียวดายพยายามปรับกล้ามเนื้ออย่างสุดความสามารถ ก่อนคุกเข่าลง! เพียงแต่ว่ายังยืนไม่เสถียรจึงหน้าทิ่มลงไปนอนหมอบกับพื้นดังปึก คางกระแทกพื้น น้ำตาแทบไหล…

ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็แสยะยิ้ม พึมพำกับตัวเองว่า “เจ้านี่ลงทุนขนาดนี้เลยเหรอ? เดี๋ยวเพิ่มข้าวเย็นให้!”

หลิวเทากลืนน้ำลายลงคอ “ไม่ต้องศรัทธาขนาดนั้นก็ได้มั้ง ช้าหน่อยไม่ได้เหรอ?”

หมาป่าเดียวดายชำเลืองตามองหลิวเทาแวบหนึ่ง คิดในใจว่า ‘ฉันก็อยากทำเหมือนกันแหละ…’

หมาป่าเดียวดายทรมานทำอยู่สามรอบ หลิวเทากับอู๋ไห่ตะลึงค้างไปแล้ว สุดท้ายหมาป่าเดียวดายลุกขึ้นมองธูป ธูปธรรมดาบางเกินไป มันเล่นไม่ได้ ธูปชั้นดีแพงเกินไป จากความเข้าใจที่มันมีต่อฟางเจิ้ง ถ้ามันกล้าแตะต้องธูปชั้นดีก็อาจจะถูกลดอาหาร! ดังนั้นมันจึงสะบัดหาง มันทำได้แค่นี้แหละ ที่เหลือทำไม่ได้จริงๆ

หมาป่าเดียวดายออกมาแล้ว หลิวเทากับอู๋ไห่ที่ขวางอยู่หน้าประตูเห็นแบบนั้นจึงรีบหลีกทางให้

หมาป่าเดียวดายกวาดสายตามองสองคนนี้อีกรอบ แล้ววิ่งออกจากประตูใหญ่ หายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลิวเทา อู๋ไห่ และช่างกล้องสามคนกลืนน้ำลายพร้อมกัน นัยน์ตาฉายแววเหลือเชื่อ…

ฟางเจิ้งเดินเข้ามาเอ่ย “อมิตาพุทธ พวกโยมเห็นรึยัง หมาป่าตัวนี้ไม่เกี่ยวกับอาตมาจริงๆ มันเป็นเพียงแขกของวัดเท่านั้น ซึ่งตัวมันก็ยังเป็นสัตว์ป่าด้วย”

หลิวเทายิ้มเจื่อนๆ “เอ่อ…ช่างเถอะ ถ้าอย่างนั้นผมกลับไปขอคำสั่งแล้วค่อยว่ากันอีกที หลวง…ไต้ซือ ผมขอตัวก่อนล่ะครับ” หลิวเทาจะกลับไป อู๋ไห่จะพูดอะไรได้ จึงรีบร้อนกล่าวลา กลุ่มคนลงเขาไปอย่างเร่งรีบ

ฟางเจิ้งมองเงาแผ่นหลังของสามคนจากไปไกลพลางขมวดคิ้ว เรื่องนี้ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นอย่างไร้มูลเหตุ ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่ ถ้าไม่อย่างนั้นหน่วยงานด้านกฎหมายคงไม่ถึงขั้นมาหา

ฟางเจิ้งเข้าวีแชตติดต่อหาโหวจื่อ เทียบกับหวังโอ้วกุ้ยในหมู่บ้านแล้ว โหวจื่อที่อยู่ในเมืองจะรู้ข่าวมากกว่าหน่อย

ฟางเจิ้งถาม โหวจื่อก็ตอบกลับทันที “ไต้ซือ ท่านไม่รู้เรื่องนี้หรอครับ? เฮ้อ ไอ้พวกบ้าในเมืองพวกนั้นก่อความวุ่นวายบนเขา พอลงเขามาก็พูดจามั่วซั่ว แถมยังมีไอ้เฉินจิ้งอีก มันส่งข่าวเขียนบทความยาวสาดโคลนใส่วัดเอกดรรชนี เจ้านี่ลงแรงไปกับเรื่องนี้มากเลยล่ะครับ”

ฟางเจิ้งหาข่าวท้องถิ่นเจอตามการชี้นำของโหวจื่อ ข่าวของเฉินจิ้งอยู่ข้างบนจริงๆ ข้างล่างก็มีคอมเมนต์ตอบหลายร้อย นักข่าวท้องถิ่นตัวเล็กๆ คนหนึ่งมีคนคลิกเข้าไปอ่านขนาดนี้ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ในเวลาปกติจะมีคนเข้าชมน้อยมาก

พอเปิดเข้าไปอ่าน ฟางเจิ้งสีหน้ามืดทะมึน!

เรื่องที่เฉินจิ้งเขียนไม่ได้คุยโตเกินความจริง แต่เขียนมั่วซั่ว ใส่เรื่องที่ชาวบ้านจำนวนมากถูกหมาป่าโจมตีเข้าไป กระทั่งยังมีเรื่องของศตวรรษก่อนด้วย! ตอนนี้สุมมันมาที่หัวฟางเจิ้งคนเดียว!

ทว่านี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือบนเขาฟางเจิ้งมีหมาป่าจริงๆ! จุดนี้มากพอจะดึงดูดความสนใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ฟางเจิ้งหาข้อบังคับกฎหมายแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก ขอเพียงมั่นใจว่าหมาป่าเดียวดายเป็นสัตว์ป่า ทั้งไม่มีชาวบ้านตรงตีนเขาเคยถูกข่มขู่ เรื่องนี้ก็ปล่อยผ่านไปได้ และจะไม่มีใครมาล่าหรือจับหมาป่าไปด้วย

ถ้าฟางเจิ้งจะเลี้ยงหมาป่าจริงๆ ก็ยุ่งยากอยู่เล็กน้อย ระหว่างนี้เลี่ยงไม่โกหกยาก…แล้วต้องทำเอกสารรับรองอีก

เขาลงเขาไม่ได้ ก็ไปทำเอกสารรับรองไม่ได้ อีกอย่างขั้นตอนมากเกินเลยล้มเลิกไปซะ ให้หมาป่าเดียวดายเป็นสัตว์ป่าไปแล้วกัย…

แต่ฟางเจิ้งคิดในใจไว้แล้ว จากนี้ไม่ว่าใครถามก็จะบอกว่าเขาไม่ได้เลี้ยงหมาป่า แต่เป็นสาวกมาจุดธูปไหว้พระ! นี่ไม่ถือว่าโกหก ระหว่างเขากับหมาป่าเดียวดายไม่มีความสัมพันธ์เลี้ยงหรือไม่เลี้ยงจริงๆ แต่ซับซ้อนเล็กน้อย…

ตรงตีนเขา หลิวเทากับอู๋ไห่ช่างน่าเวทนา

“หมาป่าไหว้พระได้ด้วยเหรอ? ทำไมนายไม่บอกเลยล่ะว่าหมูปีนต้นไม้ได้?” หัวหน้าของทั้งสองคนแทบจะใช้คำพูดเดียวกันต่อว่า

หลิวเทาตอบ “ผอ.ครับ จริงๆ นะ ผมเห็นกับตาเลย”

“นายออกไปลงโทษตัวเองก่อนที่ฉันโกรธจะดีกว่านะ” ผอ.โทรศัพท์ไปพลางต่อว่าด้วยความโกรธไปพลาง สัตว์ป่ามีสติปัญญาเหมือนคนเนี่ยนะ เจ้านี่มาบอกเขาว่าหมาป่าไหว้พระ? ทุบเขาให้ตายก็ไม่เชื่อ!

“อะไรนะ คุณไหวไหมเนี่ย? ให้ฉันลงโทษตัวเองหรอ? ได้ คุณเลิกงานแล้วเอากระดานซักผ้าสามแผ่นนั้นกลับมาด้วย! อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าคุณแอบทิ้งกระดานซักผ้าในบ้านเราไป!” ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงดังแว่วมา

ผอ.เฉินหน้าแดง รีบสื่อว่าให้หลิงเทาออกไป ขณะเดียวกันก็รีบอธิบายให้ภรรยาฟัง

หลิวเทาจะออกไปแบบนี้หรือ ถ้าแบบนั้นก็จะไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน แถมยังต้องถูกลงโทษฟรีๆ อีก เขาจึงนำกล้องบันทึกออกมาฉายต่อหน้าผอ.เฉิน

ภาพที่หมาป่าเดียวดายคุกเข่าไหว้พระทำเอามือถือในมือผอ.เฉินแทบจะหล่นพื้น กลืนน้ำลายลงคอ ไม่สนเสียงปลายสายแล้ว แต่ปาดเหงื่อตรงหน้าผาก “คุณไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ผมขอคิดเงียบๆ”

“จิ้งจิ้ง (เงียบ) คือใคร? แถมจะไม่ให้ฉันพูดอีก? ได้ เฉินซานเฉียง คุณได้ขึ้นสวรรค์แน่!”

“ไม่ใช่ ผมไม่ได้คิดถึงจิ้งจิ้งที่คุณพูด! ผมจะบอกว่าขออยู่สงบๆ!”

“อันจิ้ง (สงบ)? ลูกสาวของตาอันเหรอ? ดี พวกคุณไปคุยกันตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ผม…ผมจะบอกว่า เฮ้อ…รอผมกลับไปก่อน!”

“ได้ ยังมีหน้ามาขู่ฉันอีก กลับมาได้เห็นดีกันว่าใครจะตีใครกันแน่…”

หลิวเทาเห็นอย่างนั้นก็รีบออกไปด้วยความเร็วแสง ขืนอยู่ต่อได้ถูกฆ่าปิดปากแน่ๆ

อีกด้านอู๋ไห่มีชะตาดีกว่าหลิวเทาเล็กน้อย หลังให้ดูภาพบันทึกแล้ว ผอ.ก็เงียบไป ให้เขารอฟังข่าว

ในโซเชี่ยวมีคนกลุ่มใหญ่ยื่นคอรอข่าว แต่วันที่สองไม่มีการเคลื่อนไหว วันที่สามก็เหมือนกัน…

รอจนวันที่สี่ ฟางเจิ้งต้อนรับแขกกลุ่มใหม่อีก

เฉินซานเฉียงพากำลังคนมาที่วัดเอกดรรชนี มีผู้เชี่ยวชาญ มีหัวหน้า ตอนที่มาถึงทุกคนต่างมีความสงสัย พุ่งเข้าไปในวัดจะสอบถามต่างๆ นานา

แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะถาม หมาป่าเดียวดายพุ่งเข้าไปในอุโบสถวัด แล้วพลันคุกเข่าไหว้พระ!

ทุกคนชะงักงัน!

จากนั้นหมาป่าเดียวดายก็สะบัดหางจากไป!

ทุกคนมองหน้ากัน คำถามกองใหญ่ตรงริมฝีปากกลายเป็นเครื่องหมายคำถาม! พวกเขาไม่รู้ว่าจะถามอะไรดีแล้ว

วันที่ห้า ในที่สุดหน่วยราชการก็ประกาศข่าวออกมา ‘จากการยืนยัน บนภูเขาเอกดรรชนีมีหมาป่าตัวหนึ่งจริง แต่มันเป็นสัตว์ป่า นักบวชในวัดไม่ได้เลี้ยงไว้ ขออย่าได้ปล่อยข่าวลือ’

……………………….…………….