บทที่ 183 ไม่ยอมแพ้ + บทที่ 184 เหยียดหยามท่านอ๋องหลิง

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 183 ไม่ยอมแพ้

หนิงเมิ่งเหยามองหลินจือโยวอยู่ครู่ใหญ่ สายตานั้นทำเอาหลินจือโยวขนหัวลุกซู่ “พี่สะใภ้ โปรดอย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นสิขอรับ มันน่ากลัว”

“ข้าดูน่ากลัวเช่นนั้นหรือ” หนิงเมิ่งเหยาถามอย่างไร้เดียงสา

“ไม่ ไม่ใช่เลย ท่านดูสวยมาก” ‘แต่แววตาของท่านช่างน่ากลัว ท่านต้องวางแผนอะไรไว้อยู่แน่ๆ แต่ก็ไม่ต้องแสดงออกให้เห็นชัดเจนนักก็ได้’

เฉียวเทียนช่างนั่งอยู่ข้างหญิงสาวและมองนางแกล้งหลินจือโยว ‘ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว’

แม้ว่าจะมีคนอยู่มากมายในบ้าน แต่หนิงเมิ่งเหยากลับไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขามากนัก นางทำชุดแต่งงานของตนเองและเฉียวเทียนช่างเท่านั้น ส่วนปลอกหมอน รวมถึงของอื่นๆ นั้น ชิงจู๋เป็นคนรับผิดชอบ หลินจือโยวและคนอื่นๆ สามารถช่วยเหลือในเรื่องเล็กๆ ได้ และนั่นก็ทำให้เฉียวเทียนช่างและหนิงเมิ่งเหยารู้สึกผ่อนคลายไปได้มากเลยทีเดียว

ในตอนกลางคืน ขณะที่เซียวฉีเทียนและคนอื่นๆ กำลังหลับใหล แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ลืมตาขึ้นมาอย่างเยือกเย็นราวกับเป็นหินศิลา

พวกเขาลุกขึ้นจากเตียงและสวมใส่เสื้อผ้า ก่อนจะมุ่งหน้าออกมา และเห็นเฉียวเทียนช่างที่ตื่นขึ้นมาในเวลานี้เช่นกัน “เทียนช่าง…”

“อย่าปล่อยให้รอดไปสักคนเดียว เราจะส่งพวกมันกลับไปหาคนที่ส่งพวกมันมาที่นี่” ดวงตาของเฉียวเทียนช่างแลดูกระหายเลือดยิ่งนัก

นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ดูเหมือนว่าหญิงสาวคนนั้นจะยังไม่เลิกราง่ายๆ และตอนนี้นางยังกล้าที่จะลอบสังหารเหยาเหยาอีกครั้ง

หนิงเมิ่งเหยาได้ยินเสียงดังจึงตื่นขึ้น ก่อนจะเห็นการต่อสู้ด้านนอก และแล้วใบหน้าของหญิงสาวก็ซีดเผือด

“เหยาเหยา อยู่ในบ้านนะ อย่าออกมา” เฉียวเทียนช่างรีบตะโกนบอกอย่างรวดเร็ว หลังจากเห็นหญิงสาวตื่นขึ้นและยืนอยู่ตรงหน้าต่างในชุดนอนบางเบาด้วยใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ เขาไม่อยากให้นางมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย

หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะอย่างเชื่อฟัง พร้อมทั้งรู้สึกโกรธเคืองอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าเซียวจื่อเซวียนจะไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้วสินะ

ทักษะของเหลยอันนั้นพลิ้วไหวเป็นธรรมชาติมาก เขาไม่มีปัญหากับการจัดการเหล่านักฆ่าเลย

เมื่อนักฆ่าทั้งหมดถูกจัดการสิ้น เซียวฉีเทียนก็เปิดผ้าคลุมหน้าของผู้นำออก ก่อนจะพูดเย้ยหยัน หลังจากเห็นใบหน้าอันคุ้นเคย “หากครั้งนี้ พวกเขาไม่มีคำอธิบายมาให้ ข้าจะไม่มีวันยอมแน่” ‘พวกนั้นรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ แต่ก็ยังบังอาจส่งคนมาลอบสังหาร ดี ในเมื่อพวกนั้นไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา เขาก็จะต้องสั่งสอนคนพวกนั้นสักหน่อย’

“เหลยอัน เรียกคนมาสองสามคนเพื่อช่วยหามศพเหล่านี้ และตามข้ามา” เซียวฉีเทียนไม่ใช่คนที่อดทนเก่ง ในเมื่อพวกนั้นกล้าจะมาลอบสังหาร เขาก็จะสั่งสอนบทเรียนอันเข้มงวดและเด็ดขาดให้กับพวกนั้นด้วยเช่นกัน

เดิมทีหนิงเมิ่งเหยานั้นก็คิดอยู่ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้เช่นไร แต่ใครจะรู้ว่าเซียวฉีเทียนจะช่วยนางแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้

ดวงตาของหญิงสาวตกอยู่ในภวังค์ เมื่อมองดูกลุ่มชายหนุ่มแบกหามศพขึ้นไปบนม้า

เฉียวเทียนช่างเดินมาหาหนิงเมิ่งเหยา ก่อนจะดึงนางเข้ามากอด จนรู้สึกได้ว่าร่างกายของนางเย็นเฉียบ ชายหนุ่มจึงขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ “ทำไมเจ้าไม่สวมเสื้อผ้าให้หนากว่านี้เล่า”

“ข้าไม่เป็นไร” หนิงเมิ่งเหยาส่ายศีรษะและเอนตัวพิงกับแขนของชายหนุ่ม

“อย่ากังวลไปเลย เราจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย” เฉียวเทียนช่างคิดว่าหญิงสาวคงกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาจึงปลอบประโลมนาง

“ข้าเชื่อว่าเขาจะจัดการมันได้ดี” หนิงเมิ่งเหยาจะไม่เชื่อมั่นในเซียวฉีเทียนได้เช่นไรกัน นี่ไม่ใช่เพียงการลอบสังหารธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น มันทำให้เซียวฉีเทียนรู้สึกเจ็บใจอีกต่างหาก

พวกนั้นรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ แต่ก็ยังจะกล้าลงมือ พวกนั้นไม่เห็นความสำคัญของเขาเลย ดังนั้น ไม่ว่าเช่นไร เขาจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้สาสม

เซียวฉีเทียนพาเหลยอันและคนอื่นๆ กลับไปยังเมืองหลวงโดยเร็ว และมิได้กลับไปยังวังหลวง แต่พุ่งตรงไปยังจวนที่ส่งตัวนักฆ่ามาเลย

ณ ทางเข้าที่นั้น เหล่าองครักษ์ต่างเข้ามาขวางทางเซียวฉีเทียน จนสีหน้าของเขาถมึงทึงยิ่งกว่าเก่า

เขาอยู่ใต้คนคนเดียว แต่อยู่เหนือคนนับหมื่น แล้วใครจะสามารถมาขวางทางเขาได้ ช่างน่าอัปยศสิ้นดีที่ถูกขัดขวางโดยพวกชนชั้นล่างเช่นนี้

“ใครกล้าเข้ามาหยุดข้า ฆ่าพวกมันทิ้งได้เลย” เซียวฉีเทียนเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม

“พ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าเป็นใครกัน กล้าดีเช่นไรจึงบุกเข้ามาในจวนแห่งนี้” พ่อบ้านวิ่งเข้ามาพร้อมกับตะโกนร้อง

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปและรีบทรุดลงกับพื้น “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะองค์ชายฉี” ‘สวรรค์ ใครเชิญเขามาที่นี่กัน’

“เรียกท่านอ๋องหลิง ตาแก่บัดซบนั่นมาที่นี่เดี๋ยวนี้” ในเวลานี้ อารมณ์ของเซียวฉีเทียนยิ่งโกรธขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่อาจสรรหาคำพูดดีๆ ได้อีก โดยเฉพาะเมื่อเห็นบรรดาคนที่ขวางทางเขาเช่นนี้

ท่าทีของพ่อบ้านเก่าแก่คนนั้นดูขมขื่นยิ่งนัก เขาทำได้เพียงภาวนาว่าจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร

บทที่ 184 เหยียดหยามท่านอ๋องหลิง

เซียวฉีเทียนถือแส้ควบม้าในมือ และเคาะเท้าเป็นจังหวะ ใบหน้าของเขาเยือกเย็นขึ้นทุกขณะ

ในตอนแรกนั้น หลิงหลัวกำลังอยู่กับเซียวจื่อเซวียนในสวน แต่เมื่อข้ารับใช้แจ้งว่าองค์ชายฉีมา เขาก็ขมวดคิ้ว

เขามองเซียวจื่อเซวียน ก่อนจะเดินนำข้ารับใช้ออกไปด้านนอก และเห็นซากศพในชุดดำนอนกองอยู่ตรงพื้น ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาเห็นหนึ่งในนั้น… ‘นั่นมัน…’

“องค์ชายฉี นี่หมายความว่าอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าหมายความว่าอะไร เรียกท่านอ๋องหลิงออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะทำลายจวนที่พักของเจ้าเสีย” เซียวฉีเทียนมองหลิงหลัวอย่างดุดัน

ใบหน้าของหลิงหลัวถมึงทึงในทันที ก่อนจะย่นคิ้วอย่างไม่พอใจ และเอ่ยถาม “ท่านหมายความว่าอะไรกันแน่พ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าหมายความว่าอะไรน่ะหรือ คนเหล่านี้มาจากจวนของเจ้านี่ ข้าพูดผิดหรือไม่” เซียวฉีเทียนเอ่ยอย่างถากถาง พลางมองหลิงหลัวด้วยแววตาขบขัน

หลิงหลัวสูดลมหายใจเข้าลึก พร้อมกับรู้สึกไม่ค่อยดีนัก

“ข้าไม่เข้าใจความหมายขององค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่เข้าใจเช่นนั้นหรือ เหลยอัน เริ่มฆ่าได้เลย อย่าปล่อยให้ใครก็ตามที่เข้ามาหยุดเรามีชีวิตรอด” เมื่อเจ้านั่นแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เขาจึงไม่จำเป็นต้องรักษามารยาท

เหลยอันขบฟันแน่นและโบกแขนของตนเอง ผู้คนด้านหลังเขาต่างกรูเข้าไปในจวนที่พัก จนสร้างความโกลาหลภายใน พวกเขามาที่นี่เพื่อก่อเรื่องวุ่นวาย

‘เขากล้าจะมาก่อกวนพี่สะใภ้ของพวกเขา ดี ถ้าเช่นนั้นพวกเขาจะสามารถอดทนกับการกระทำของเขาได้หรือไม่!’

“พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!” ใบหน้าของหลิงหลัวเปลี่ยนเป็นสีม่วง ขณะที่เขาพยายามจะห้ามเหลยอันและคนอื่นๆ

เมื่อท่านอ๋องหลิงกลับมา สถานที่แห่งนี้ก็สับสนอลหม่านไปเสียแล้ว

“นี่มันเรื่องอะไรกันหรือพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายฉี” ท่านอ๋องหลิงข่มความโกรธเคืองไว้ในใจและเอ่ยถาม

เซียวฉีเทียนโบกมือให้เหลยอันและชายคนอื่นๆ จากนั้นพวกเขาจึงหยุดและเดินมายืนตรงด้านหลังของเซียวฉีเทียน “เรื่องอะไรน่ะหรือ คนจากจวนของเจ้าบังอาจมาลอบสังหารข้า ข้าจึงมาดูว่าใครกันที่อาจหาญเช่นนี้”

เซียวฉีเทียนเตะศพบนพื้นไปหาท่านอ๋องหลิง

ท่านอ๋องหลิงเห็นใบหน้าของร่างศพอันคุ้นเคย ก่อนจะรู้สึกสับสน “ต้องมีใครบางคนพยายามใส่ร้ายข้าเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”

“ใส่ร้ายเจ้ารึ หากข้าเข้าใจไม่ผิด คนผู้นี้คือองค์รักษ์หลวง ที่เจ้าเป็นผู้สั่งการนี่ นั่นหมายความว่าเขาจะต้องเชื่อฟังคำสั่งจากเจ้าเท่านั้น แล้วใครจะใส่ร้ายเจ้ากันเล่า ท่านอ๋องหลิง เจ้าคิดว่าข้าโง่เช่นนั้นหรือ” เซียวฉีเทียนเย้ยหยันเสียงดังลั่น “ในเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้าไม่ใช่คนผิด ถ้าเช่นนั้น เราไปคุยกันต่อหน้าฮ่องเต้ก็แล้วกัน เหลยอัน นำศพพวกนี้ไปยังวังหลวง” หากมิได้สั่งสอนบทเรียนให้กับอ๋องหลิงวันนี้ เขาไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่

ท่านอ๋องหลิงเหม่อลอยไปชั่วขณะ เมื่อเขากลับมาสู่โลกความเป็นจริง เซียวฉีเทียนก็จากไปพร้อมกับเหลยอันและคนอื่นๆ รวมถึงร่างของศพทั้งหลายด้วย พวกเขาไปยังวังหลวงกันจริงๆ

“หลัวเอ๋อร์ ลูกข้า เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

หลิงหลัวส่ายศีรษะ “ข้าเองก็ไม่ทราบ” เขายังคงงุนงง ทำไมพวกเราจะต้องไปลอบสังหารเซียวฉีเทียนด้วยเล่า นั่นเท่ากับการรนหาที่ตายเลยนะ!

“ไม่ว่าอย่งไร พวกเราควรจะไปวังหลวงกันโดยเร็วเถิด” ท่านอ๋องหลิงเอ่ยอย่างรีบเร่ง

ฮ่องเต้และองค์ชายฉีนั้นเป็นพี่น้องร่วมมารดา จึงค่อนข้างสนิทสนมกัน หากฮ่องเต้รู้ว่าคนในจวนตระกูลหลิงพยายามจะลอบสังหารองค์ชาย ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ก็คงไม่ปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ แน่

พวกเขาทั้งสองรีบออกไป แต่ก็ตามไม่ทันเซียวฉีเทียน

เมื่อเซียวชวี่เฟิงเห็นน้องเล็กรีบเข้ามาอย่างโกรธแค้น จึงเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือ เหตุใดเจ้าจึงดูแค้นเคืองเช่นนี้”

“ท่านพี่ จวนอ๋องหลิงส่งคนมาลอบสังหารข้าน่ะสิ” เซียวฉีเทียนคิดเรื่องนี้แล้วรู้สึกขุ่นเคืองยิ่ง

เซียวชวี่เฟิงขมวดคิ้ว ในดวงตามีแววโกรธแค้น “เกิดอะไรขึ้น”

ไม่ใช่ว่าเขาไปอยู่ที่บ้านของเทียนช่างหรอกหรือ แล้วนักฆ่าจะไปสังหารเขาที่นั่นได้เช่นไรกัน

“จริงๆ แล้วพวกมันไม่ได้ตามฆ่าข้าหรอก เป็นเมิ่งเหยาน่ะ แต่หลิงหลัวเองก็รู้ว่าข้าอยู่ที่นั่นด้วย” ยิ่งเซียวฉีเทียนคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ความโกรธแค้นในใจก็ยิ่งลุกลาม เจ้าบ้านั่นต้องรนหาที่อยู่เป็นแน่

เซียวชวี่เฟิงสับสนยิ่งกว่าเก่า “แล้วเรื่องนี้ทำไมถึงเกี่ยวข้องกับนางได้เล่า”

เซียวฉีเทียนอธิบายเรื่องราวระหว่างหนิงเมิ่งเหยากับหลิงหลัว และบอกว่าโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่เซียวจื่อเซวียนจะเป็นผู้ออกคำสั่งให้ไปลอบสังหารในครั้งนี้ เขาเพียงใช้กรณีนี้เป็นข้ออ้างเท่านั้น

เซียวชวี่เฟิงหรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่สำคัญว่าใครจะเป็นคนเริ่มก่อน แต่หนิงเมิ่งเหยานั้นมิใช่เป็นเพียงภรรยาของเฉียวเทียนช่างเท่านั้น แต่นางยังเป็นถึงเจ้าของทงเป่าไจอีกด้วย หากเกิดอะไรขึ้นกับนาง คนในทงเป่าไจคงไม่ยอมอยู่เฉยเป็นแน่