ตอนที่121 ก๊วนสาวขอทวงความเป็นธรรม

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่121 ก๊วนสาวขอทวงความเป็นธรรม

ระหว่างนั่งรับประทานอาหารเย็นกัน กลุ่มสาวๆยังคงพูดแซะหยอกล้อเซียวเซียวไม่หยุดปาก

“เซียวเซียว นี่เธอกำลังเสนอตัวให้เขานะ แล้วจะพาพวกเรามาที่นี่ทำไม?”

“นี่เธอโง่รึไงกัน? ก่อนจะเผด็จศึกกันก็ต้องกินข้าวเอาแรงก่อนไหมล่ะ? ถ้าท้องไม่อิ่มแล้วจะเอาพละกำลังมาจากไหน?”

“อืม อืม…ได้หมอเป็นผัวก็ไม่เลวนะ ตราบใดที่ยังอยู่ด้วยกัน เขาสามารถรักษาความเยาว์วัยของเธอได้ตลอดชีวิต แต่อาชีพหมอแบบนี้คู่แข่งเยอะนะ เธอต้องใช้เรือนร่างมัดใจเขาให้อยู่หมัด!”

“หยุดแกล้งฉันได้แล้วพวกเธอ!”

เซียวเซียวตะคอกสวนตอบไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ เพื่อนสาวกลุ่มนี้เธอสนิทกับทุกคน สนิทกันชนิดที่ว่าแม้แต่ตัวเธอเองยังกลัว

เธอต้องบินกลับไปทำงานที่หางโจวคืนนี้แล้ว แต่ไม่ว่ายังไงก่อนที่จะเดินทาง เธอจะต้องพาฉีเล่ยไปทานอาหารด้วยกันให้ได้

เดิมทีเธอต้องการจะพาฉีเล่ยไปดินเนอร์ด้วยกันสองต่อสอง แต่เนื่องจากก๊วนเพื่อนสาวของเธอดันอยากไปร่วมสนุกด้วย เธอจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องพาทุกคนไปด้วยกันทีเดียว

พวกเธอเกาะกลุ่มกันพูดคุยอย่างสนุกสนาน หัวเราะเสียงดังเป็นบางจังหวะ แต่เมื่อเห็นฉีเล่ยเดินปิดท้ายอยู่หลังแถว หลินชูวโม่ก็เลยจงใจชะลอฝีเท้าเพื่อรอเขา และเมื่อฉีเล่ยเดินมาใกล้ เธอก็รีบคว้าแขนของเขามากอดไว้แน่น ท่าทางดูเป็นธรรมชาติราวกับคู่รัก ก่อนจะร้องตะโกนบอกสาวสวยผมแดงข้างหน้าว่า

“เสี่ยวเจา ไหนบอกว่าถ้าฉีเล่ยสามารถรักษาแผลของเซียวเซียวได้ เธอจะยอมถอดเสื้อผ้าออกมาเดินโชว์ยังไงล่ะ? ถ้าไม่ยอมทำตามที่พูดแล้วล่ะก็…ฉันจะให้สุดหล่อดูภาพที่เธอไปรับงานจ้าง‘พิเศษ’แทนนะ ดีไหมฉีเล่ย?”

ทีแรกฉีเล่ยพยักหน้าตอบก่อนจะส่ายหัวทันที สีหน้าท่าทางการแสดงออกของเขานั้นแข็งทื่อดูทำอะไรไม่ถูก

เสี่ยวเจาหันขวับไปดุหลินชูวโม่ทันที

“พี่หลิน! พี่อยากตายรึไง? ถ้าจะถอดก็ถอดเองเถอะ ที่สาธารณะแบบนี้ใครจะไปกล้า?”

หลินชูวโม่โต้กลับทันควัน

“อะไรกัน? ฉันก็แค่ทวงสัญญาเฉยๆ ไม่ได้อยากให้โชว์อะไรสักหน่อย แต่ไหนๆแล้วก็โชว์กระดูกไหปลาร้าขาวอันภาคภูมิใจให้ดูหน่อย!”

“ใช่ ใช่! เสี่ยวเจาเธอหน้าอกตูมที่สุดในกลุ่มเราแล้วนะ มีของดีก็ต้องโชว์กันบ้างสิ! เอาให้ผู้ชายหลงจนเดินตกท่อไปเลย!”

ก๊วนสาวๆเริ่มส่งเสียงโวยวายกันดังลั่นอีกครั้ง เนื่องจากถนนเส้นนี้มีฝูงชนเดินผ่านไปผ่านมาค่อนข้างมาก คนรอบข้างจึงไม่ได้ถือสาพวกเธอแต่อย่างใด

หลังจากพูดคุยกันไปกันมา หัวข้อการสนทนาก็เริ่มเปลี่ยนไป แรงกดดันที่มีต่อฉีเล่ยจึงพลอยลดลงไปด้วย

ที่นี่เป็นภัตตาคารอาหารทะเล เมนูในร้านโดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาหารทางใต้แทบทั้งสิ้น ราวกับว่าหลินชูวโม่รู้ว่าฉีเล่ยมาจากจีนตอนใต้ จึงได้เจาะจงเลือกร้านนี้เป็นพิเศษ

ภัตตาคารแห่งนี้ค่อนข้างอยู่ใกล้กับคลินิกของหลินชูวโม่ พวกเธอเดินเท้าออกมาไม่กี่ก้าวก็มาถึงแล้ว ชายคนหนึ่งถูกรุมล้อมไปด้วยสาวสวยมากมายแบบนี้ ระหว่างเดินผ่านถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมาย่อมได้รับความสนใจมากเป็นธรรมดา

หลินชูวโม่ได้โทรมาจองล่วงหน้าแล้ว และได้จองเป็นห้องส่วนตัวไว้

หลังจากที่ฉีเล่ยนั่งลง ภายใต้เสียงเกลี้ยกล่อมของก๊วนสาวๆ เขาก็สั่งอาหารมาสองสามจาน ที่เหลือก็ปล่อยให้พวกเธอเลือกกันเอง

สาวสวยผมแดงที่ชื่อเสี่ยวเจากล่าวย้ำเสียงหนักแน่นว่า เธอจะช่วยให้เซียวเซียวเสียตัวให้ฉีเล่ยง่ายขึ้นหลังจากนี้ เธอจึงได้ยกมือเรียกบริกร และจัดการสั่งซุปไก่ร้อนที่ช่วยบำรุงเลือดในกายให้สูบฉีดดีขึ้นกับเซียวเซียวทันที

ก๊วนสาวๆยังคงหัวเราะเซียวเซียวพลางพูดแซวฉีเล่ยกันอย่างสนุกสนาน ยังดีที่เซียวเซียวสนิทสนมกับเพื่อนๆในกลุ่ม จึงพอหาจังหวะให้โต้ตอบกลับไปได้บ้าง แตกต่างจากฉีเล่ยที่ได้แต่นั่งเงียบไม่มีโอกาสได้อ้าปากพูดอะไร ภายในใจกลับไม่รู้ว่าตนควรร้องไห้หรือหัวเราะดี

หลินชูวโม่นั่งข้างฉีเล่ย เธอแอบยกขาสะกิดเท้าอีกฝ่ายเล็กน้อยและเอ่ยถามขึ้นว่า

“วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่า? ทำไมถึงดูเครียดจัง?”

“ผมสบายดี”

“สุดหล่อ ฉันเคยบอกนายแล้ว ยังไงนายก็หนีเงื้อมมือฉันไม่พ้นหรอกนะ ไหนลองเล่ามาซิว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? บางทีฉันอาจจะช่วยได้นะ?”

ฉีเล่ยถอนหายใจเสียงแผ่ว

“ผมถูกไล่ออก”

“ว่ายังไงนะ?”

น้ำเสียงของหลินชูวโม่ดูจริงจังขึ้นมาทันที

“ผมบอกว่า ผมถูกทางมหาวิทยาลัยไล่ออก”

ฉีเล่ยทวนคำพูดของตัวเองออกไปอีกครั้ง แต่น้ำเสียงของเขาค่อนข้างเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน เพราะต้องพูดต่อหน้าสาวๆที่กำลังเม้ามอยตัวเองอยู่

“ถูกไล่ออก? แล้วทำไมจู่ๆพวกเขาถึงไล่นายออกล่ะ?”

สีหน้าท่าทางของหลินชูวโม่เปลี่ยนเป็นเย็นชาผิดจากก่อนหน้าลิบลับ ฉีเล่ยเห็นเข้าจึงอดที่ตกตะลึงไม่ได้ และตระหนักได้ทันทีว่า เวลาที่ผู้หญิงคนนี้เอาจริงเอาจังขึ้นมา เธอก็ดูสวยสมคำร่ำลือมากทีเดียว

“ผมไม่มีคุณสมบัติของการเป็นอาจารย์?”

“คุณสมบัติของการเป็นอาจารย์? หมายถึงไม่มีใบประกอบงั้นเหรอ?”

“ฉันเข้าใจแล้ว ก็แค่ถูกไล่ออกไม่เห็นจะเป็นไร ต่อจากนี้ไปนายก็มาทำงานกับฉันสิ เดี๋ยวฉันจะช่วยสนับสนุนให้เอง”

หลินชูวโม่ตบไหล่ของฉีเล่ยไปหนึ่งครั้ง ท่าทางของคนทั้งคู่ดูราวกับเพื่อนที่กำลังนั่งปรับทุกข์กัน

เสี่ยวเจาที่เห็นดังนั้นก็เอ่ยปากแซวทันทีว่า

“ทำงานกับพี่หลินเหรอ? แค่นั้นจริงๆรึเปล่า?”

ก๊วนสาวๆตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจได้ว่าเสี่ยวเจากำลังหมายถึงอะไร จากนั้นพวกเธอเริ่มส่งเสียงหัวเราะพลางพูดเสริมขึ้นว่า

“พวกเรา! บอกทีใครกันที่มีความคิดสกปรกที่สุดในก๊วนพวกเรา!?”

“หลินชูวโม่!”

บรรดาสาวๆเอ่ยปากตะโกนขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

“แล้วใครที่ขี้ขลาดที่สุด?”

“หลินชูวโม่!”

“ใครกันที่ดื้อที่สุด?”

“ก็ยังเป็นหลินชูวโม่เหมือนเดิม!”

“ฮ่าฮ่า ไปทำงานกับเธอเถอะ พี่หลินจะคอยฟูมฟักสุดหล่อเป็นอย่างดีแน่นอน นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เธอเอ่ยปากชวนผู้ชายให้มาทำงานด้วยกันนะ”

“นั่นน่ะสิ ฉันเองก็ไม่เคยเห็นพี่หลินเอ่ยปากชวนใครแบบนี้มาก่อน น่าสนใจแหะ อิอิ”

“พี่หลิน งั้นหนูขอจ้างสุดหล่อให้อยู่ด้วยก่อนหนึ่งวัน คิดเรทราคาเท่าไหร่คะ?”

หลินชูวโม่ตระหนักดีว่า คำกล่าวของเธอก่อนหน้ามันฟังดูสองแง่สองง่าม โชคยังดีที่เธอมีประสบการณ์สำหรับการกำราบก๊วนสาวๆเหล่านี้มาก่อนแล้ว เธอจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาเคาะชาม แล้วเลียนเสียงทำเป็นแม่เล้าประมูลขายฉีเล่ย

“เอาล่ะ เอาล่ะ หนุ่มหล่อคนนี้มีดีกรีเป็นถึงแพทย์แผนจีน งานบริการดีเลิศ แถมฟรีคอร์สฝังเข็มสำหรับผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังบริการจบ รายชั่วโมงค่อนข้างแพง ถ้าให้ดีเหมาวันคุ้มกว่า”

“แล้วถ้าบริการไม่ดีล่ะค่ะแม่เล้า?”

“ก็อนุญาตให้ถีบลงจากเตียง ดิฉันจะไม่อนุญาตให้เขากินข้าวเป็นเวลาสามวันสามคืนเป็นการสั่งสอน! ลูกค้าไม่ต้องห่วงค่ะ!”

พวกเธอสวมบทบาทกันอย่างแนบเนียนราวกับเคยทำมาจริงๆ ทำเอาคนอื่นๆพากันระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ไม่นานบริกรก็นำอาหารเข้ามาเสริฟกันจานต่อจาน เมื่อมีอาหารอยู่ตรงหน้า พวกเธอก็เริ่มหยุดสนทนากัน แล้วต่างคนต่างก็คีบตักอาหารตรงหน้าเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

ระหว่างที่ทุกคนกำลังก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารกันอยู่นั้น หลินชูวโม่ก็โน้มตัวเข้าใกล้กระซิบข้างหูฉีเล่ยเอ่ยถามว่า

“ผลงานของนายค่อนข้างดีเลยไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมถึงถูกไล่ออกล่ะ? ฉันได้ข่าวมาว่านายเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มนักศึกษา?”

เปิดประเดิมด้วยหัวข้อนี้ สีหน้าของฉีเล่ยดูมืดมนขึ้นฉับพลัน หลังจากกินกุ้งไปหนึ่งคำ เขาปรายหางตามามองหลิวชูโม่พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ไม่ใช่เพราะคุณรึไง?”

หลิวชูวโม่ถึงกับทำสีหน้างุนงงสับสนอย่างมาก

“เพราะฉันเหรอ? เป็นไปได้ไง?”

“ยังจำหม่ารุ่ยได้ใช่ไหม?”

“อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะไอ้เวรนั่น?”

จากสีหน้ายิ้มแย้มในทีแรก ใบหน้าของหลิวชูวโม่พลันเปลี่ยนเป็นมืดทมิฬลงในทันที ดวงตากลมโตสีพีชคู่สวยกลับหม่นลงเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว

“ใช่”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ

หลินชูวโม่โกรธจัด เธอลุกขึ้นพรวดพร้อมตบโต๊ะเสียงดังสนั่น และร้องตะโกนสาปแช่งดังลั่นร้าน

“ไอ้บัดซบหม่ารุ่ย! นี่มันต้องการแก้แค้นฉันทางอ้อมใช่ไหม! แล้วเพื่อนฉันผิดอะไรถึงไล่เขาออก! อย่าให้ฉันเจอตัวนะ ฉันจะเอากรรไกรไปตัดน้องชายของมันทิ้งซะ!”

ขณะที่สาวๆกำลังหมกหมุ่นอยู่กับการกินอาหาร ทันทีที่ได้ยินเสียงตบโต๊ะ พวกเธอก็สะดุ้งเฮือกจนอาหารเกือบติดคอ ก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้นมองพร้อมเอ่ยถามอย่างรวดเร็วว่า

“พี่หลิน เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?”

หลินชูวโม่พยายามสงบสติอารมณ์แล้วนั่งลงทันที ก่อนจะเริ่มบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างฉีเล่ยกับหม่ารุ่ยเวลานี้ให้ทุกคนฟังคร่าวๆ

ทันทีที่พูดจบทุกคนก็โมโหกันเป็นอย่างมาก

“เลวมาก! ถ้าเจอผู้ชายสันดานแบบนี้ผ่านเข้ามานะ ฉันจะกระทืบมันทิ้งให้ตายภายในชั่วอึดใจเลยคอยดู!”

“สุดหล่อ จับมันมาสับเป็นชิ้นๆ แล้วเอาเนื้อโยนหมากินเถอะ คนแบบนี้อยู่ไปก็รกโลก!”

“มันกล้ารังแกพี่หลินของเรา ว่าไงไปจัดการมันลยดีไหม?”

หญิงสาวทั้งหมดต่างก็รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนแทนอย่างมากเมื่อพูดคุยถึงเรื่องนี้ สุดท้าย ต่างคนต่างก็ไม่มีอารมณ์ที่จะกินข้าวต่อ พวกเธอต่างก็อยากจะออกไปตามล่าตัวหม่ารุ่ยมาจัดการซะเดี๋ยวนี้

เมื่อเห็นทุกคนเริ่มจริงจังเคร่งเครียดกันขนาดนี้ ฉีเล่ยจึงรีบพูดห้ามปรามขึ้นทันที

“ใจเย็นๆกันก่อนครับ ใจเย็นๆก่อน ท่านอธิการบดีหลินได้รับปากแล้วว่าจะช่วยผม เรื่องนี้ควรจะได้รับการแก้ไขในอีกไม่ช้า”

ฉีเล่ยกังวลอย่างมากว่า ก๊วนสาวๆเหล่านี้จะออกไปสร้างปัญหาเพิ่มให้กับเขามากขึ้น แต่เมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเวลานี้ด้วยตาตัวเอง การที่พวกเธอแสดงความจริงและต้องการจะช่วยเหลือเขาขนาดนี้ ช่างเป็นอะไรที่น่าประทับใจไม่น้อยเลย

เมื่อถูกเจ้าของปัญหาห้ามปราม ทุกคนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสงบสติอารมณ์ลง และเริ่มให้คำแนะนำแก่เขาทันที

“ฉีเล่ย ฉันมีอาเป็นรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง เขาน่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของนายบ้างล่ะ”

“ฉันเองก็มีเพื่อนอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ ฉันน่าจะพอให้อีกฝ่ายช่วยอะไรได้บ้างเหมือนกัน ไม่มีใบประกอบแล้วยังไง? แค่ผงยาวิเศษที่นายใช้รักษาให้เซียวเซียว มันก็มากเพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่า นายเป็นแพทย์ที่เก่งแค่ไหน! ไอ้คนที่ไล่นายออกมันทำเหมือนนายได้รึเปล่า?”

“พ่อของฉันทำงานให้รัฐบาล ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า เพื่อนๆของพ่อฉันจะสามารถช่วยอะไรนายได้บ้าง”

แต่ละคนเริ่มเอ่ยปากเสนอความช่วยเหลือให้ฉีเล่ยโดยพร้อมเพรียงกัน และแน่นอนว่านี่ไม่ใช่แค่การพูดออกไปเพื่อเป็นการปลอบใจเท่านั้น หลังจากอธิบายเสร็จสรรพ พวกเธอทุกคนต่างหยิบมือถือขึ้นมาและโทรออกไปหาคนของตัวเองทันที

ความจริงตรงหน้าได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างแน่ชัดแล้วว่า ข้อสันนิษฐานตั้งแต่ทีแรกของฉีเล่ยนั้นถูกต้อง เบื้องหลังของผู้หญิงเหล่านี้ล้วนแต่มีภูมิหลังและเส้นสายที่แข็งแกร่งมาก

เห็นพวกเธอเป็นเดือดเป็นร้อนแทนแบบนี้ ทั้งยังพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อทวงความเป็นธรรมคืนมาให้กับเขา ฉีเล่ยมองดูแล้วกลับรู้สึกซาบซึ้งใจจนเกินที่จะบรรยาย!