ไม่ว่าจะช่วยได้หรือไม่ ก็ขอวาดรูปแป้งทอด[1]เพื่อเก็บข้อมูลสักหน่อยเสียก่อนเถอะ ถ้าหากหมายเลขหกเป็นคนร้าย สวี่ชีอันก็จะโยนเขาออกไปเพื่อลดจำนวนมนุษย์หมาป่าในพรรคฟ้าดิน

แน่นอนว่าก่อนที่จะทำเช่นนี้ได้ เขายังต้องหลอกเอาที่ซ่อนตัวของหมายเลขหกเสียก่อน เป็นการรับรองว่าจะหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต เพราะพลังของหมายเลขหกนั้นแข็งแกร่งมาก

ย่องไปจวนของผิงหย่วนป๋อยามดึกดื่นแล้วสังหารเขา ซ้ำยังทำร้ายหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจนบาดเจ็บสาหัสแล้วซ่อนกายได้อย่างง่ายดาย นี่ต้องเป็นยอดฝีมือขั้นกลางอย่างแน่นอน ถึงขั้นอาจจะทรงพลังยิ่งกว่านั้นด้วยซ้ำ

ถ้าหากมีเหตุผลในการก่อเรื่อง เขาก็จะให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ แล้วสร้างภาพลักษณ์สูงส่งของกัปตันเฉินจิ้นหนานในพรรคฟ้าดินขึ้นเสีย

เว่ยเยวียนให้เขาเป็นสายลับ แต่ไม่ได้ให้เขาซุ่มดำน้ำตลอดไป จำเป็นต้องทำผลงานสักหน่อย

‘หมายเลขสามช่วยได้จริงหรือ’

‘เขาสามารถพาหมายเลขหกหนีไปท่ามกลางการเสาะหาของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกับกองดาบได้จริงหรือ’

‘เขาเป็นใคร เป็นแค่ศิษย์ของลัทธิขงจื๊อเท่านั้นหรือ’

‘ช่วงเวลาแบบนี้ ถ้าหากไม่มีสถานะตัวตนที่สมเหตุสมผลล่ะก็ แม้ว่าจะเดินอยู่ในเมืองชั้นในก็ต้องถูกจับกุมคาที่แน่นอน’

‘กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาสามารถใช้งานกองดาบหรือหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้อย่างนั้นหรือ’

ประโยคนี้ของสวี่ชีอันทำให้เหล่าผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีผุดความคิดขึ้นมามากมาย ลอบคาดเดาถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา แล้วไตร่ตรองถึงการกระทำขั้นต่อไป

‘เก้า: ฮ่าๆ ถ้าหากหมายเลขสามยินดีช่วยเหลือ เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา หมายเลขหก เจ้าห้ามปกปิดล่ะ’

‘นักบวชเต๋าจินเหลียนมั่นใจว่าหมายเลขสามสามารถช่วยกำจัดวิกฤตของหมายเลขหกได้…เช่นนั้นหมายเลขสามย่อมไม่ใช่ศิษย์ลัทธิขงจื๊อธรรมดา เขาจะต้องมีตัวที่ลึกลับและสูงส่งยิ่งกว่านี้แน่นอน…คนใหม่ที่นักบวชเต๋าจินเหลียนชวนมาครั้งนี้ไม่ใช่เล่นๆ เลย’

เหล่าสมาชิกพรรคฟ้าดินกระตุ้นสติแล้วอยู่เงียบๆ เฝ้าดูการพัฒนาของการกระทำที่ผิดพลาดอย่างเงียบงัน

‘หก: ศิษย์น้องของข้าคนหนึ่งหายตัวไป หายไปหนึ่งปีแล้ว ข้าสงสัยว่าเขาจะถูกคนลักไปขายแล้วส่งออกจากเมืองหลวงผ่านทางลับ จากการสอบถามและตรวจสอบในหลายๆ ด้าน ข้าก็มุ่งเป้าไปที่องค์กรนายหน้าแห่งหนึ่ง พวกมันลักพาและจับตัวหญิงสาวกับเด็กไปขายให้กับหอนางโลม พรรคกระยาจก และสถานที่อื่นๆ ที่ต้องการผู้หญิงกับเด็ก พวกมันไม่ใช่แค่ขายเด็กกับสตรี แต่ยังลักพาตัวผู้ฝึกตนด้วย ประโยชน์ใช้สอยจริงๆ ข้ายังสืบไม่พบ สุดท้ายข้าพบว่าเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังองค์กรนายหน้าแห่งนั้นก็คือ ผิงหย่วนป๋อ’

‘สาม: ดังนั้นเจ้าจึงสังหารคนเพราะความโกรธหรือ’

‘หก: ข้าแอบเข้าไปในจวนผิงหย่วนป๋อ แล้วบีบบังคับถามว่าศิษย์น้องอยู่ที่ใด แต่ไร้ประโยชน์ ข้าจึงสังหารเขา ทำบาปโปรดสัตว์’

‘หนึ่ง: เจ้าใช้กำลังทำผิดกฎหมาย เหตุใดไม่รายงานทางการ’

หมายเลขหนึ่งไม่เห็นด้วยกับวิธีการจัดการของหมายเลขหก

‘สอง: ไร้สาระ ถ้ากฎหมายมีประโยชน์จริง ผิงหย่วนป๋อต้องถูกลงโทษนานแล้ว ขุนนางปกป้องขุนนาง เหนือศีรษะเพียงสามฟุตมีเทพยดารู้เห็น ความยุติธรรมมีอยู่แต่ในดาบเท่านั้น’

…นี่มันวัยรุ่นเลือดร้อน! ความจริงก็สามารถรายงานผิงหย่วนป๋อได้ การฆ่าคนช่างไม่ฉลาดเลยจริงๆ สวี่ชีอันเอ่ยในใจ

อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้จึงสรุปได้ว่าหมายเลขหกมีอุปนิสัยทื่อตรงจนถึงขั้นหุนหันพลันแล่น และเป็นคนชอบใช้กำลังเพื่อสยบคน จุดนี้ค่อนข้างเหมือนกับลัทธิขงจื๊อ

หมายเลขหนึ่งราวกับดูแคลนการโต้เถียงกับหมายเลขสอง จึงไม่ได้ตอบกลับ

‘หก: ข้ามีเหตุผล ในหนึ่งปีนี้ ข้าได้ช่วยเหลือเด็กมากมาย พวกเขามีบางคนที่ถูกตัดขาตัดแขนให้คลานขอทานอยู่ข้างถนน เด็กที่ฉลาดขึ้นมาหน่อยก็ถูกฝึกให้กลายเป็นโจร ส่วนที่ทำให้โกรธจนผมตั้งก็คือ…ข้าเคยช่วยเหลือเด็กคนหนึ่ง นายหน้าให้เขาแสร้งทำเป็นหมาดำ สอนคำพูดมงคลให้สองสามประโยค จากนั้นก็ให้ไปเอาใจขอรางวัลจากชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่อง’

‘หนึ่ง: เรื่องจริงหรือ!’

‘หก: แน่นอน’

หมายเลขหนึ่งไม่ได้พูดอะไรอยู่นาน

‘สาม: เจ้าโน้มน้าวข้าได้สำเร็จแล้ว ถึงแม้ข้าจะรังเกียจทหารที่ใช้กำลังทำผิดกฎหมาย ทำอะไรไม่ใช้สมอง แต่ข้าก็ยินดีช่วยเหลือเจ้า’

สวี่ชีอันระงับไฟโทสะที่สุมทรวงแล้วเลียนแบบบุคลิกของสวี่เอ้อร์หลาง พูดด้วยน้ำเสียงที่คนในลัทธิขงจื๊อสมควรมี

‘สอง: อืม ตอนนี้ข้าเห็นด้วยกับหมายเลขสาม’

‘สี่: ซื่อตรงไม่เสแสร้ง หากมีเวลามาร่ำสุราด้วยกันเถิด’

‘หก: ขอบคุณมาก’

พวกเขาล้วนไม่ได้ตะโกนเรียกชื่อหมายเลขสาม คาดว่าในใจคงรู้ดีว่าเฉินจิ้นหนานอะไรนี่เดิมทีก็ไม่ใช่ชื่อจริงของหมายเลขสามอยู่แล้ว

‘สาม: เจ้าซ่อนตัวอยู่ที่ใด’

‘หก: ในคลองส่งน้ำนอกจวนผิงหย่วนป๋อ’

คลองส่งน้ำก็คือท่อระบายน้ำเสีย เป็นสถานที่ที่ทั้งสกปรกทั้งเหม็น ยุคสมัยนี้ไม่มีคนงานทำท่อระบายน้ำ คนธรรมดาจึงไม่เข้าไปใกล้ กลายเป็นจุดบอดในการตรวจสอบ

แต่ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น รอให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเรียกรวมกำลังคนแล้ว ย่อมไม่มีทางปล่อยจุดนี้ไป

‘สาม: ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ารอข้าสักครู่’

สวี่ชีอันเก็บกระจกหยกใบเล็ก มือหนึ่งถือดาบ อีกมือลูบคาง ครุ่นคิดว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี

พาเขาออกจากเมืองชั้นในก็ทำไม่ได้ ระหว่างทางมีกองดาบกับสหายหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่

สิ่งที่สวี่ชีอันทำได้มีเพียงลืมตาข้างปิดตาข้างในพื้นที่ที่ตนลาดตระเวนเท่านั้น ทั้งยังต้องทำให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นเมื่อกองดาบและหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลปิดล้อมรอบด้านแล้วเข้าตรวจสอบอย่างละเอียด เขาก็ไม่มีหนทางจะช่วยเหลือหมายเลขหกแล้ว

“เวลากระชั้นชิด ต้องคิดหาทางออกที่รอบคอบ…”

คิดจะช่วยหมายเลขหกก็ต้องปกปิดหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและโหรของสำนักโหราจารย์ไปพร้อมๆ กัน เช่นนั้นสวี่ชีอันต้องทำสองอย่าง หนึ่งคือช่วยหมายเลขหกหาที่ซ่อนตัว สองคือช่วยเขาปกปิดกลิ่นอาย

อย่างแรกไม่ยาก แค่เพียงต้องรับมือกับคืนนี้เท่านั้น พรุ่งนี้เช้าหมายเลขหกก็สามารถแสร้งทำตัวเป็นคนธรรมดาแล้วหนีออกจากเมืองได้ด้วยตัวเองแล้ว

สถานะของผิงหย่วนป๋อยังไม่พอที่จะทำให้ปิดประตูเมืองชั้นในตลอดเวลา เมื่อฟ้าสางย่อมต้องเปิดประตูเมือง

จุดที่ยากก็คือจะปกปิดกลิ่นอายของหมายเลขหกอย่างไร

“หลังฆ่าคนก็ยากจะหลีกเลี่ยงการแปดเปื้อนปราณพิฆาต สิ่งนี้ปิดบังวิชามองปราณของโหรของสำนักโหราจารย์ไม่ได้ หรือจะไปทำข้อตกลงกับซ่งชิงอีกครั้ง ไม่ได้ ข้อตกลงครั้งก่อนข้ายังไม่ได้จ่ายค่าตอบแทน จนถึงตอนนี้ตารางธาตุก็ยังไม่ได้ส่งมอบให้สำนักโหราจารย์ อีกอย่าง ซ่งชิงก็เขี้ยวกับข้าเหมือนกัน คิดจะให้เขาช่วยเหลือในเรื่องเช่นนี้ก็ยากอยู่สักหน่อย เว้นเสียแต่ข้าจะนอนกับคนงามฉู่ไฉ่เวยผู้นั้น…”

ถึงแม้หนังสือปฐพีจะสามารถเก็บคนเข้าไปได้ แต่เหล่าสมาชิกของพรรคฟ้าดินก็ไม่ได้พูดถึงเศษความสามารถนี้ สวี่ชีอันเดาว่าคงไม่อาจปกปิดกลิ่นอายได้และคงจะถูกวิชามองปราณตามหาพบแน่

จุดสำคัญก็คือการปกปิดกลิ่นอาย…สวี่ชีอันมีวิธีหนึ่งที่สามารถนำมาลองใช้ได้ ซึ่งก็คือความมั่นใจที่ทำให้เขากล้าเสแสร้งอย่างเปิดเผยใน ‘กลุ่มแชทหนังสือปฐพี’ นั่นเอง

เขาหยิบตำราออกมาแล้วพลิกหน้าตำราเสียงดังพึ่บพั่บ จากนั้นก็หากระดาษหน้าหนึ่งในนั้นพบ บนนั้นเขียนไว้ว่า ‘ใบไม้บังตา!’

ตอนบ่ายสวี่ชีอันได้จดจำวิชาเวทที่บันทึกอยู่ในตำราทั้งหมดไว้ในสมองแล้ว ทำให้เขามีแผนอยู่ในใจ

ใบไม้บังตาสามารถทำให้ผู้ที่ใช้วิชานี้ซ่อนเร้นร่างกายและกลิ่นอายได้ ได้ผลถึงระดับ ‘ลบเลือนหาย’

แก่นของมันคือใช้วาจาบัญญัติกฎของระดับประพฤติในลัทธิขงจื๊อคุณธรรมขั้นห้ามาบิดเบือนกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นก็ใช้ความสามารถ ‘การเรียน’ ของระดับกำเนิดในลัทธิขงจื๊อคุณธรรมขั้นหกมาบันทึกกฎข้อนี้ลงในกระดาษ

สวี่ชีอันมองซ้ายมองขวา ตั้งเป้าไปที่โรงเตี๊ยมหลังหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับถนน เขาเตะปลายเท้าและกระโดดขึ้นไปบนหลังคา สดับฟังเสียงการเต้นของหัวใจและการหายใจ ก่อนหาห้องว่างได้ห้องหนึ่ง

เขาเกาะอยู่บนผนังเหมือนกับจิ้งจก ใช้ดาบพกแงะเปิดกลอนหน้าต่าง

เมื่อทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้วก็รีบไปที่จวนผิงหย่วนป๋อซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตน เขายืนทอดมองอยู่บนหลังคาจากถนนฝั่งตรงข้ามครู่หนึ่งแล้วจึงหาคลองส่งน้ำพบ

สวี่ชีอันดึงลูกศรออกมาจากกระเป๋าหนังวัวที่เอว ผูกกระดาษที่เขาฉีกออกมาไว้กับลูกศร แล้วขว้างออกไปอย่างแรง

‘ปัก!’

ลูกศรปักอยู่บนกำแพงดินข้างคลองส่งน้ำ

เขาค้อมตัวต่ำบนหลังคาแล้วหยิบกระจกหยกใบเล็กออกมาส่งข้อความ

‘สาม: หมายเลขหก บนกำแพงดินข้างคลองส่งน้ำที่เจ้าซ่อนตัวมีลูกศรดอกหนึ่งปักอยู่ บนนั้นมีของจำเป็นสำหรับเจ้า ข้าได้เตรียมห้องห้องหนึ่งไว้ในโรงเตี๊ยมชิงซูบนถนนถัดไปแล้ว หน้าต่างบานที่หกบนชั้นสองเปิดอยู่ รีบไป!’

เขาไม่มองกระจกอีก แต่จดจ้องอยู่ที่คลองส่งน้ำ หลังผ่านไปสิบวินาทีก็มีชายหัวล้านยื่นออกมา ใบหน้าสี่เหลี่ยม คิ้วหนาตาโต หน้าตาขื่นขมความแค้นลึกล้ำ

ชายหัวโล้นกวาดมองรอบด้านอย่างระมัดระวัง จากนั้นสายตาก็ตกอยู่ที่ลูกศรซึ่งปักอยู่บนกำแพง

เขาดึงลูกศรออกแล้วคลี่กระดาษที่อยู่บนนั้นแล้วอ่านดู

‘ใบไม้บังตา?’

ชายหัวโล้นคล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง สีหน้าฉายแววผ่อนคลายเพราะโล่งอก

หมายเลขสามเป็นศิษย์ลัทธิขงจื๊อจริงๆ

เขาใช้พลังปราณเผากระดาษทันที พลังงานปริศนาเข้ามาปกคลุมแล้วเก็บงำกลิ่นอายของเขาไว้

‘…มีความสามารถเก็บงำกลิ่นอาย!’

ม่านตาของชายหัวโล้นหดเกร็ง เผยให้เห็นความตื่นตะลึง

นี่ไม่ใช่ระดับคุณธรรมขั้นห้าทั่วไปที่จะทำได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับวิญญูชนขั้นสี่

ตัวตนของหมายเลขสามไม่ผิดแน่แล้ว ไม่เพียงเป็นศิษย์ของลัทธิขงจื๊อเท่านั้น แต่ยังเป็นนักเรียนที่ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สักคนให้ความสำคัญด้วย

‘นักบวชเต๋าจินเหลียนเคยพูดว่าผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีทุกคนล้วนเป็นผู้ยอดเยี่ยมในใต้หล้า ไม่ได้หลอกข้าจริงๆ’

เขาไม่ได้จากไปทันที แต่หยิบจีวรสะอาดออกมาจากกระจกหยกใบเล็กแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็โยนรองเท้าสานกับเสื้อผ้าที่เหม็นสกปรกเข้าไปในกระจกหยก

‘ต้องรีบไปแล้ว ถ้ายังล่าช้าอีก แล้วรอให้ยอดฝีมือของหน่วยลาดตระเวนตรวจการณ์มารวมพลกันจะอันตราย…’ ชายหัวโล้นไม่กล้าปีนกำแพงเดินบนหลังคา จึงวิ่งไปตามถนน

ตอนนี้เองเขาก็มองเห็นชายหนุ่มร่างสูงตระหง่านผู้หนึ่งยืนอยู่บนหลังคาที่ถนนใกล้เคียง ตัวสวมชุดเครื่องแบบของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ถือดาบด้วยมือข้างเดียว รับลมยามค่ำคืน สายตาทอดมองไปข้างหน้า ดวงตาว่างเปล่าโดดเดี่ยว

เงาร่างเหมือนดั่งภูเขาธารา

เขาเป็นเหมือนหิ่งห้อยยามค่ำคืน เปล่งประกายสะดุดตายิ่งนัก

‘’ฆ้องทองแดงผู้นี้ท่วงท่าเก็บงำล้ำลึก รูปงามไม่สามัญ…หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลช่างมีอัจฉริยะมากมายจริงๆ ด้วย…’ ชายหัวโล้นเหลือบมองดูสองสามรอบแล้วแอบชื่นชมอยู่ในใจ

เขาทำตามคำพูดของหมายเลขสาม มองหาโรงเตี๊ยมชิงซู หน้าต่างบานที่หกเปิดอยู่จริงๆ

ชายหัวโล้นกระโจนขึ้นอย่างแผ่วเบาแล้วเข้าไปอย่างเงียบงัน ไม่นานหน้าต่างก็ถูกปิด

“เฮ้อ…” สวี่ชีอันผ่อนคลายลาดไหล่ หยุดโพสท่า

ถึงแม้เขาจะรู้ว่าหมายเลขหกเป็นศิษย์ของศาสนาพุทธ คิดว่าคงไม่น่าจะใช่ผู้หญิง แต่ในใจก็ยังผิดหวังนิดหน่อย

“หมายเลขเก้าคือเจ้าเฒ่าเหรียญปากผีจินเหลียน หมายเลขหกคือหลู่จื้อเซิน[2]ผู้ขมขื่นมีความแค้นล้ำลึก ส่วนเพื่อนชาวเน็ตคนอื่นๆ ก็น่าจะมีสาวงามบ้างสิ” สวี่ชีอันกำลังจะหยิบกระจกออกมาดูประวัติการสนทนา หูก็ขยับและได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบ

สายตาของเขามองเห็นเงาดำหลายสิบร่างกำลังกระโดดขึ้นๆ ลงๆ อยู่บนหลังคา เร่งเดินทางมาทางนี้

ต่อไปหลังจากผ่านด่านนี้ไปแล้ว หมายเลขหกถึงจะนับว่าปลอดภัย! สวี่ชีอันหรี่ตาคิดในใจ

คดีผิงหย่วนป๋อถูกสังหารได้สั่นสะเทือนฆ้องทองคำ ฆ้องเงินทั้งหก และฆ้องทองแดงอีกหลายสิบคนที่เข้าเวรในคืนนี้

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่เข้าเวรอยู่แทบจะทุ่มกำลังกันออกปฏิบัติการ ทั้งยังพาคนชุดขาวของสำนักโหราจารย์อีกสองสามคนมาด้วย

กองดาบทำงานร่วมกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ตรึงกำลังแน่นหนาในรัศมีหลายลี้โดยมีจวนผิงหย่วนป๋อเป็นศูนย์กลาง คนเหล่านี้เดินทางพร้อมกับคนชุดขาวของสำนักโหราจารย์ แล้วปฏิบัติการตรวจสอบแบบปูพรม

ฆ้องทองคำผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มมีชื่อว่าเจียงลวี่จง อายุสี่สิบกว่าปี ผมเป็นสีดำขลับ หางตามีตีนกาแน่นขนัด ดวงตาเฉียบคมเหมือนตาเหยี่ยว นัยน์ตาส่องประกายคมกริบเยือกเย็น

ดวงตาคู่นี้มีชื่อเสียงมากในแวดวงหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล นอกจากฆ้องทองคำที่อยู่ในระดับเดียวกันแล้วก็ไม่มีใครสามารถจ้องตาเขาได้เกินสามวินาทีเลย

เขาพากลุ่มคนกระโจนอยู่บนหลังคาบ้านไม่หยุดยั้ง สายตาเฉียบคมกวาดมองดูเมืองอันมืดมิด

คนชุดขาวของสำนักโหราจารย์สองสามคนขี่หลังพวกฆ้องทองแดง ม่านตามีประกายสุกใสหมุนวน กวาดมองถนนเบื้องล่างทีละคืบๆ

เจียงลวี่จงเอ่ยเสียงขรึม “หลังฆาตกรฆ่าคนแล้ว กลิ่นอายย่อมต้องแปดเปื้อนสีเลือด พวกท่านพบเห็นความผิดปกติหรือไม่”

โหรสองสามคนนั้นเป็นเพียงแค่นักพยากรณ์ขั้นแปด พลังต่อสู้ธรรมดา พวกเขาไม่รู้วิธีเหาะเหินเดินกำแพง จำเป็นต้องใช้หลังของพวกฆ้องทองแดงเดินทาง แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ช่วยปิดบังความรู้สึกเหนือกว่าของพวกเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าทหารเลย

“ไม่มี!” เหล่าคนชุดขาวของสำนักโหราจารย์ตอบเสียงราบเรียบ

สีหน้าของเจียงลวี่จงหยุดนิ่ง อดทนอยู่

เดินไปได้สักพัก คนชุดขาวของสำนักโหราจารย์คนหนึ่งก็มองเห็นสวี่ชีอันที่ยืนทระนงอยู่บนหลังคา เขาชะงักไปแล้วเอ่ยอย่างดีใจ “ลงไป รีบลงไป”

……………………………………..

[1] วาดรูปแป้งทอด อุปมาหมายถึง การวาดมโนภาพขึ้นในใจเพื่อปลอบโยน

[2] หลู่จื้อเซิน เป็นตัวละครหนึ่งในวรรณกรรมจีนเรื่องซ้องกั๋ง ได้รับฉายาว่าหลวงจีนลายบุปผา เคยพลั้งมือฆ่าคนตายจึงหนีมาบวชเป็นพระ