ตอนที่ 65: แขกจากพระราชวัง 1
เจี้ยนเฉินและเจียงหยางหู่รีบวิ่งไปหามารดาของพวกเขาและเดินไปพร้อมกับคนอื่น ๆ ไปยังห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์เจียงหยาง.
” อ๊า เจียงหยางหู่ เจ้าคงเจ็บมาก ดูรอยแผลของเจ้าสิ … “
ระหว่างทาง ป้าใหญ่ของเจี้ยนเฉิน หลิงหลงมองรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเจียงหยางหู่ด้วยตาที่เปียกชุ่มด้วยน้ำตาที่ไหลอย่างต่อเนื่อง
เจียงหยางหู่ทำได้เพียงหัวเราะเมื่อเขาตอบว่า “ท่านแม่ แผลนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีอะไรต้องกังวล โชคดีที่น้องสี่เจอข้า ไม่เช่นนั้น,ตอนนี้ข้าคงลุกจากเตียงไม่ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น,หลิงหลงก็หันหน้าไปมองเจี้ยนเฉินด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน “เซียงเทียน ข้าต้องขอบใจเจ้าจริง ๆ ที่ช่วยอาหู่”
เจี้ยนเฉินยิ้มตอบ” ป้าใหญ่ ท่านพูดอะไรเช่นนี้ ? หากพี่ใหญ่เจอปัญหาแน่นอนว่าข้าต้องช่วย นอกจากนี้เรื่องนี้ยังทำให้ข้ากับพี่ใหญ่ต้องออกจากสำนัก ข้าจะมีความสุขมากหากป้าใหญ่ไม่โทษข้า”
หลิงหลงยังมีรอยยิ้มบนใบหน้า “เซียงเทียน เจ้าช่างฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้เจ้าเกือบจะกลายเป็นเหมือนอาหู่แล้ว”
” ขอบคุณป้าใหญ่ ! ” เจี้ยนเฉินหัวเราะ เขาสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าทัศนคติของป้าหลิงหลงที่มีต่อเขาดีขึ้นมาก นางไม่ได้เคร่งขรึมและเฉยเมยต่อเขาอีกต่อไป นางไม่เหมือนป้าใหญ่คนก่อนที่ไม่สนใจเขา
” ท่านแม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าความแข็งแกร่งของน้องสี่ช่างน่าทึ่งจริง ๆ ! ก่อนที่เขาจะเป็นเซียน เขาสามารถตามล่าและฆ่าสัตว์อสูรระดับสองได้อย่างง่ายดาย และหลังจากที่เขากลายเป็นเซียน พลังของอัจฉริยะของสำนักคากัตรวมกัน แม้ว่าจะมีอัจฉริยะเซียนขั้นสูงกว่าอย่างเฉิงหมิงเซียนในหมู่พวกเขา – พวกเขาก็พ่ายแพ้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป น้องสี่โจมตีอีกสิบคนที่ติดตามพวกเขามาอย่างง่ายดายเช่นกัน” เจียงหยางหู่รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก เสียงของเขาดังขึ้นเมื่อเขาพูด “ท่านแม่ ท่านไม่เห็นการต่อสู้แต่ข้าเห็น น้องสี่ตัวคนเดียวแต่เขาก็จัดการคนสิบกว่าคนจนพวกเขาบาดเจ็บในพริบตา หลายสิบคนเหล่านั้น อย่างน้อยที่สุดก็เป็นเซียนแต่พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับน้องสี่เลย”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ไป๋หยุนเทียน มารดาของเจี้ยนเฉินก็ยิ้มแย้มแจ่มใส นางมองลูกชายด้วยความรัก
“ฮึ่ม ! “
มีเสียงเยาะเย้ยดังมาจากด้านข้าง มันมาจากป้าสามของเจี้ยนเฉิน หยูเฟิงหยาน นางยังพูดต่อไปว่า “น่าอัศจรรย์มาก แต่มันเป็นความมหัศจรรย์ที่รุกรานสำนักหัวหยุน ความน่าอัศจรรย์ของเจียงหยางเซียงเทียนกำลังเชื้อเชิญอันตรายมายังคฤหาสน์เจียงหยางของเรา”
คิ้วของเจี้ยนเฉินขมวดเข้าด้วยกัน หยูเฟิงหยานมีอคติกับเขาตั้งแต่เขายังเด็ก มารดาของเจี้ยนเฉิน ไป๋หยุนเทียนไม่พอใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามคนที่สร้างปัญหาคือลูกชายของนางเองและนางก็รู้สึกว่าเขาผิด นอกจากนี้ความสัมพันธ์ของเขากับหยูเฟิงหยานก็ไม่เคยดีนัก นางจึงไม่สามารถอ้างได้ว่าเขาไร้ความผิด มิเช่นนั้นความบาดหมางระหว่างคนทั้งสองจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้
” ลืมมันไปเถอะ พี่สาม สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ได้ผ่านไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่เราจะพูดถึงมัน สิ่งที่เราควรทำตอนนี้คือการพิจารณาอย่างเหมาะสมว่าเราควรจัดการกับมันอย่างไร” ป้ารองของเจี้ยนเฉิน ไป๋ยู่ซวงอธิบาย
“ลืมมันไปเถอะ น้องสาม ท้ายที่สุดเซียงเทียนสร้างปัญหานี้เพื่อปกป้องอาหู่ เจ้าจะโทษเซียงเทียนไปทุกเรื่องไม่ได้” หลิงหลงเข้าข้างเจี้ยนเฉิน
เมื่อเห็นว่ามีคนสองคนสนับสนุนเจี้ยนเฉิน หยูเฟิงหยานก็ทำได้แค่พ่นลมทางจมูกแล้วเงียบไป
ไป๋หยุนเทียนถอนหายใจ นางจ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยความรักและความกังวล นางพูดว่า” เซียงเอ๋อ เรารู้ถึงความสำเร็จของเจ้าที่สำนักคากัต เจ้าเป็นความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีของข้า แต่ครั้งนี้ข้าคิดว่าเจ้าทำรุนแรงเกินไป ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะตัดแขนของลูกชายของผู้นำสำนักหัวหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าไม่เพียงสร้างปัญหาให้กับตัวเอง เจ้ายังได้ลากตระกูลเจียงหยางเข้าไปพัวพันด้วยเช่นกัน?”
เจี้ยนเฉินรู้สึกผิดในขณะที่เขาพูดว่ า”ท่านแม่ ข้าขอโทษที่ได้นำปัญหาใหญ่มาสู่ตระกูลของเรา”
” เซียงเทียน มันได้เกิดขึ้นแล้ว เจ้าควรหยุดโทษตัวเอง ตอนนี้เราต้องไปที่ห้องโถงหลักอย่างรวดเร็วเพื่อพูดคุยถึงวิธียุติความขัดแย้งนี้” ป้ารองรีบพูดขึ้นมา
หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มมุ่งหน้าไปยังห้องโถงใหญ่
ในช่วงเวลานี้ภายในวังที่งดงาม จักรพรรดิของอาณาจักรเกอซุนถือจดหมายไว้ในมือของเขา เขาขมวดคิ้ว ถอนหายใจยาว ๆ ก่อนจะพูดว่า “เจียงหยางเซียงเทียนคนนี้หุนหันพลันแล่นมากเกินไป เขาทำผิดพลาดครั้งใหญ่โดยตัดแขนขวาของเฉิงหมิงเซียงจากสำนักหัวหยุน สถานการณ์ประเภทนี้เป็นสิ่งที่ตระกูลเจียงหยางไม่สามารถรับมือได้”
จักรพรรดิปล่อยจดหมายลงและดูมันหล่นลงไปที่โต๊ะ “ไปเรียกผู้บัญชาการกองทัพไป๋เต๋ามาเดี๋ยวนี้”
“พะยะค่ะ !
ขณะที่จักรพรรดิออกคำสั่ง ขันทีรับใช้ก็รีบออกไปทำตามคำสั่งของเขา
ในไม่ช้าชายวัยกลางคนที่สวมเกราะสีดำก็เดินเข้ามาในห้อง รูปร่างหน้าตาของชายคนนี้ดูค่อนข้างธรรมดา แต่เขามีสีหน้าที่แน่วแน่ ดวงตาของเขาเปล่งประกายภายใต้ใบหน้าที่มีรอยแผลเป็น รอยแผลเป็นทั่วหน้าผากของเขาทำให้ผู้คนต้องตกใจเมื่อมองเห็น
ชายคนนั้นเดินไปหาจักรพรรดิก่อนจะหยุดห่างจากเขา 10 เมตร “องค์จักรพรรดิ ข้าไม่ทราบว่าทำไมพระองค์เรียกข้ามาที่นี่”
จักรพรรดิยืนขึ้นอย่างช้า ๆ ขณะที่เขาคว้าจดหมายขึ้นมาในมือแล้วส่งมอบให้กับชายคนนั้น ลองอ่านดูสิ !
เมื่อได้ยินอย่างนี้ ชายวัยกลางคนสวมชุดเกราะสีดำจึงรับจดหมายจากจักรพรรดิ เขาเปิดมันและเริ่มอ่าน หลังจากที่เขาอ่านเสร็จ เขาก็มีสีหน้าตกตะลึง
“อืม ข้าไม่คาดว่าเขาจะก่อปัญหามากมายเช่นนี้” ชายชุดเกราะสีดำถอนหายใจยาว สีหน้าของเขาเริ่มกังวล
“คนรุ่นใหม่ดูเหมือนจะโอหังและหุนหันพลันแล่นอยู่เสมอ” จักรพรรดิถอนหายใจ “ไป๋เต๋า,นับตั้งแต่ที่เจ้าเข้าร่วมกองทัพเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เจ้ายังไม่เคยกลับไปที่บ้านเกิดของเจ้าเลย ใช้โอกาสในวันนี้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของเจ้า”
“พะยะค่ะ ฝ่าบาท ! ” ในแววตาของชายในชุดเกราะเต็มไปด้วยความซับซ้อน
ท่าทีของจักรพรรดิจู่ ๆ ก็เคร่งขรึมมากขึ้นในขณะที่เขาพูดว่า ไป๋เต๋า เมื่อเจ้ากลับไปในเวลานี้ เจ้าต้องชักชวนให้คนในตระกูลเจียงหยางส่งตัวเจียงหยางเซียงเทียนมาที่นี่โดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นเมื่อสำนักหัวหยุนไปตามหาเขา ความขัดแย้งก็จะเพิ่มมากขึ้น การส่งตัวเจียงหยางเซียงเทียนมาที่นี่โดยให้เราเป็นสื่อกลางระหว่างพวกเขา ความขัดแย้งระหว่างตระกูลเจียงหยางและสำนักหัวหยุนจะหยุดนิ่งไปชั่วคราว ตอนนี้ทุกอาณาจักรเพื่อนบ้านเริ่มตื่นตัว ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่เคยละทิ้งความคิดที่จะโจมตีอาณาจักรเกอซุนของข้า ในช่วงเวลาที่มีความสำคัญอย่างนี้ เราไม่ควรปล่อยให้มีเรื่องบาดหมางเกิดขึ้นในอาณาจักรของเรา มิฉะนั้นผลลัพธ์ก็จะน่ากลัวเกินกว่าที่จะคิด”
” เจียงหยางเซียงเทียนเป็นอัจฉริยะจากสวรรค์ที่มีศักยภาพไม่จำกัด อนาคตของเขาไม่สามารถวัดได้อย่างแท้จริง เขาอาจเป็นแหล่งความหวังเดียวที่อาณาจักรเกอซุนมีในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลนี้เจียงหยางเซียงเทียนจึงต้องได้รับการคุ้มครองในทุกเรื่อง แม้ว่าเราไม่สามารถรับประกันความสำเร็จในอนาคตของเขาได้อย่างราบรื่น แต่เราไม่สามารถปล่อยให้เขาเข้าไปมีส่วนร่วมในการล้างแค้นครั้งนี้ได้” จักรพรรดิพูดด้วยใบหน้าที่แข็งกร้าว
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ชายหนุ่มที่สวมเกราะเผยให้เห็นความภาคภูมิใจและความสุข เขาระงับอารมณ์ที่เพิ่มขึ้นภายในใจของเขาและกล่าวว่า “ฝ่าบาท ไป๋เต๋าเข้าใจในสิ่งที่ควรทำตอนนี้แล้ว”
องค์จักรพรรดิพยักหน้าและกล่าวว่า “ไป๋เต๋า อย่าเสียเวลา เจ้าต้องตรงไปยังคฤหาสน์เจียงหยางทันที คนที่แข็งแกร่งอย่างเจ้าควรจะไปถึงที่นั่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น”
” พะยะค่ะ ฝ่าบาท”
……..
ภายในห้องโถงอันกว้างใหญ่ของคฤหาสน์เจียงหยาง เจียงหยางป้านั่งลงบนบัลลังก์ของเขาโดยมีเจี้ยนเฉินอยู่ด้านหนึ่งและฮูหยินของเขาอยู่อีกด้านหนึ่ง ส่วนคนที่นั่งอยู่ไม่กี่ขั้นด้านล่างคือพ่อบ้านที่โล่งใจ เจียงไป่
เจียงหยางป้ามีสีหน้าที่วิตกกังวลขณะที่เขามองดูลูกชายของเขาเจี้ยนเฉิน “เซียงเอ๋อ ทุกคนคงรู้สถานการณ์ที่สำนักคากัตกันหมดแล้วว่า ลูกชายของผู้นำสำนักหัวหยุนถูกตัดแขนขวาออก สำนักหัวหยุนจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่าย ๆ แน่ มีใครอยากจะเสนอวิธีแก้ไขปัญหาหรือไม่ ? “
เมื่อได้ยินอย่างนี้ทุกคนในห้องโถงก็เงียบ สำนักหัวหยุนมีอำนาจที่สุดนอกเหนือจากราชวงศ์ในอาณาจักรเกอซุน พวกเขาไม่ได้เกรงกลัวอำนาจของจักรพรรดิเลย ตระกูลเจียงหยางจะไม่สามารถต้านทานสำนักของพวกเขาได้เนื่องจากเฉิงหมิงเซียนเป็นบตรชายหัวแก้วหัวแหวนของผู้นำ เขาเป็นอัจฉริยะที่เก่งกาจกว่าคนอื่น การถูกเจี้ยนเฉินตัดแขนจะมีผลต่อความสำเร็จในอนาคตของเขาอย่างแน่นอน คงจะไม่มากไปหากจะพูดว่าเจี้ยนเฉินทำลายเฉิงหมิงเซียงจนพินาศ ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางที่สำนักหัวหยุนจะให้อภัยในเรื่องนี้
ทุกคนยังคงนิ่งเงียบ ในที่สุดผู้อาวุโสที่มีอายุ 60 ปีกล่าวว่า “วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหานี้คือการค้นหาและเชิญเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงมาช่วยรักษาแขนของเฉิงหมิงเซียน อย่างไรก็ตาม มีเพียงเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 7 เท่านั้นที่มีพลังพอที่จะทำอะไรเช่นนั้น คงไม่ง่ายนักที่ตระกูลเจียงหยางของเราจะสามารถเชิญบุคคลดังกล่าวมา ไม่เพียงแค่นั้น แต่เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 7 นั้นหาได้ยากมากในทวีปเทียนหยวน ส่วนมากพวกเขาเป็นพวกท่องยุทธภพ การปีนป่ายขึ้นไปบนสวรรค์คงจะง่ายกว่าที่จะตามหาพวกเขา ข้าจึงคิดว่าความเป็นไปได้ในการรักษาแขนของเฉิงหมิงเซียงนั้นแทบจะเป็นศูนย์”
“ที่ท่านพูดมามันก็ถูก ในความคิดของข้า โอกาสเดียวของเราที่จะหลีกเลี่ยงการแก้แค้นของสำนักหัวหยุนนอกเหนือจากการตามหาเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงคือการให้ราชวงศ์มาสนับสนุนเรา อย่างไรก็ตามสำนักหัวหยุนจะไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน สิ่งที่รับประกันได้คือการปกป้องนายน้อยสี่คงไม่ใช่เรื่องง่าย” ชายวัยกลางคนกล่าว
มีผู้อาวุโสอีกสองสามคนที่มีอิทธิพลอย่างมากในตระกูลยืนอยู่ใกล้ ๆ กับชายวัยกลางคน พวกเขาได้ยินเกี่ยวกับความสำเร็จของเจี้ยนเฉินในสำนักมานานแล้ว พวกเขาเริ่มมีความหวังและคิดจะฝากความอยู่รอดของตระกูลไว้กับเจี้ยนเฉินในใจ ดังนั้นแม้ว่าตระกูลจะมีปัญหาใหญ่ แต่ก็ไม่มีใครตำหนิเขาและพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อหาวิธีปกป้องเขา ไม่เพียงแค่นั้นหากจัดการแต่งงานระหว่างเขากับองค์หญิงเกอหลัน หลังจากการแต่งงานตระกูลเจียงหยางก็จะสามารถมีอำนาจเพิ่มขึ้นได้
” คงจะดีไม่น้อยหากท่านบรรพชนยังอยู่ที่นี่” ผู้อาวุโสถอนหายใจอย่างหมดหนทาง
เมื่อได้ยินอย่างนี้ ดวงตาของเจียงไป่ก็เปล่งประกาย ” ถูกต้อง ถ้านายใหญ่อยู่ที่นี่ ตระกูลของเราก็ไม่จำเป็นต้องมารวมตัวกันเพื่อหาทางออกในวันนี้ มันเป็นเรื่องน่าละอายใจ นายใหญ่จากไปหลายปีโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
สมาชิกในตระกูลเงียบไปหลังจากได้ยินเช่นนั้น
หัวใจของเจี้ยนเฉินเต้นเป็นจังหวะหลังจากได้ยินเรื่องที่เจียงไป่พูด เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่เขาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์เจียงหยาง เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับบรรพชนหรือนายใหญ่ของเจียงไป่มาก่อน แม้ว่าเขาเพิ่งจะได้ยินเกี่ยวกับคนทั้งสอง แต่เขาก็มั่นใจในใจว่าคนสองคนนี้แข็งแกร่งมากและมีอำนาจเหนือใคร ๆ ทั้งสองคงเป็นผู้อาวุโสของตระกูลและไม่กลัวสำนักหัวหยุน
เจี้ยนเฉินไม่ได้คิดใคร่ครวญนาน เขารีบสลัดความคิดนั้นออกไป เจี้ยนเฉินเห็นว่าห้องโถงเงียบอยู่สักพัก เขาลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะพูดว่า “ท่านพ่อขอรับ มันจะดีกว่าถ้าให้อสูรอินทรีของเจียงไป่ส่งข้าออกไป ตราบใดที่ข้าไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์เจียงหยาง ข้ามั่นใจว่าหากสำนักหัวหยุนมาที่นี่จริง พวกเขาก็จะไม่กล้าดำเนินการใด ๆ “
” ไม่ ! “
ไม่ได้อย่างแน่นอน ! !
ในขณะที่เจี้ยนเฉินพูด เสียงคัดค้านของไป๋หยุนเทียนและเจียงหยางป้าก็ดังขึ้นมาพร้อมกัน
ไป๋หยุนเทียนจับมือของเจี้ยนเฉินแน่นขณะที่ดวงตาของนางค่อย ๆ พร่ามัวไปด้วยน้ำตาซึ่งไหลลงมาบนใบหน้า นางร้องไห้ “เซียงเอ๋อ อย่าพูดเรื่องโง่ ๆ แบบนี้ ! ทวีปเทียนหยวนนั้นอันตรายมาก มันไม่ง่ายอย่างที่เจ้าคิด เจ้ายังไม่เคยเดินทางไปทั่วโลกกว้าง เจ้าจึงไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติตามกฎใดเพื่อความอยู่รอด เจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอ แม่จะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องออกไปทรมานอย่างโง่เขลาเช่นนี้ ! “