ตอนที่ 106 สายตากับความเร็วมือ!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

บนกระดาษแผ่นนั้นเขียนตัวอักษรเต็มไปหมด นั่นคือคำมั่นสัญญาหลังแต่งงานที่หลิงเซียวเขียนให้หลานลั่วเฟิ่ง! คำสัญญาทุกข้อบนนั้นต่างก็พิสูจน์ว่าหลิงเซียวจะเป็นทาสภรรยาแน่นอน

ชิปก็คือชิปควบคุมทรัพย์สมบัติของหลิงเซียว สามารถอาศัยชิปแผ่นนี้โอนย้ายทรัพย์สินทั้งหมดของมันไปบนอุปกรณ์สื่อสารของคนอื่นได้เลยโดยไม่ต้องผ่านการเห็นชอบจากหลิงเซียว

ส่วนพวงกุญแจอันนั้นก็เป็นแบบจำลองที่ทำขึ้นตามหุ่นรบของหลิงเซียว มันหมายถึงอะไรกันแน่ หรือว่ามีความหลายลึกซึ้งอะไร หลานลั่วเฟิ่งไม่เคยบอกหลิงหลานเลย บอกแค่ว่าเดิมทีของที่มีค่าที่สุดในหมู่ของทั้งสามชิ้นก็คือพวกกุญแจอันนี้ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นเพียงของที่ระลึกเท่านั้น….

หลิงเซียวมองของสามชิ้นตรงหน้าด้วยสีหน้าซับซ้อน แต่ที่มากกว่านั้นคือความตื่นเต้น อย่างไรก็ตามเขาเก็บความรู้สึกที่เอ่อล้นออกมาอย่างรวดเร็วมาก เขาเงยหน้ายิ้มกว้างให้กับหลิงหลาน “ยินดีด้วย หลิงหลาน เธอผ่านแล้ว เธอจะได้รับมรดกของหลิงเซียว…ลูกพ่อ วันนี้พ่อดีใจมากจริงๆ!”

 รอยยิ้มของหลิงเซียวทำให้หลิงหลานเห็นแล้วก็อึ้งไปทันที เธอค่อยเข้าใจสาเหตุแล้วว่าทำไมแม่ถึงได้คลั่งพ่อ พอพ่อเธอยิ้มด้วยความจริงใจขึ้นมาช่างดูมีเสน่ห์มากเกินไปจริงๆ ในโลกที่มีสาวงามชายงามไปทั่วทุกหนทุกแห่งนี้ หน้าตาของพ่อจะต้องอยู่ในระดับเทพบุตรแน่นอน

หลิงเซียวให้หลิงหลานมาอยู่ตรงหน้าเขา ตอนนี้เองเขาก็เงียบไป สีหน้าเผยร่องรอยความผิดหวังที่เลือนรางมาก เขากล่าวว่า “ความจริงแล้ว พ่อไม่อยากให้ภารกิจมรดกนี้โผล่ขึ้นมาเลย เพราะการปรากฏตัวของมันบ่งบอกว่าพ่อไม่อยู่แล้วจริงๆ ถ้าเป็นไปได้ พ่ออยากอยู่กับภรรยาพ่อ อยู่กับลูกจนลูกเติบใหญ่…พ่อไม่อยากจากพวกเธอไป ลูกพ่อ พ่อถึงขนาดไม่รู้ว่าลูกเป็นผู้ชายหรือว่าผู้หญิง พ่ออยากเห็นกับตาว่าลูกเป็นยังไง เหมือนพ่อหรือว่าเหมือนแม่ของลูก….”

หลิงเซียวลืมตัวแค่แวบเดียวเท่านั้น ก่อนจะกลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว เขาพึมพำกับตัวเองว่า “ไม่นึกเลยว่าจะอ่อนไหวขึ้นมา นี่เป็นผลจากความเชื่อมั่นที่สั่นคลอนเหรอ? รู้สึกแย่จริงๆ”

หลิงเซียวกลับมายิ้มตามเดิมอีกครั้ง เขามองไปที่หลิงหลาน ความอบอุ่นอ่อนโยนที่คลุมเครือข้างในแววตาทำให้หัวใจของหลิงหลานกระตุกขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกต่างๆ ถาโถมเข้ามาในหัวใจ

หลิงหลานรู้ดีว่าตอนนี้หลิงเซียวไม่จ้องมองเธอแน่นอน นี่เป็นผลึกจิตวิญญาณเมื่อแปดปีก่อน บางทีนี่อาจจะเป็นแววตาที่คิดถึงหลานลั่วเฟิ่ง และอาจจะยังแฝงไปด้วยการเฝ้ารอคอยลูกอีกด้วย? แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลิงหลานถึงรู้สึกมาตลอดว่าฉากนี้ทำให้เธอเจ็บปวดใจมาก เธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอหลอมรวมเข้ากับร่างกายนี้หรือเปล่า ถึงทำให้เธอควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ยากเมื่อเผชิญหน้ากับพ่อของร่างนี้

หลิงเซียวพูดว่า “พ่อเชื่อว่าลูกของพ่อเป็นเด็กที่แข็งแกร่งที่สุด พ่อขอฝากแม่ของลูกให้ลูกดูแลด้วย ต้องทำให้เธอมีความสุขให้ได้นะ! พ่อเป็นสามีที่ไม่มีความรับผิดชอบ และก็เป็นพ่อที่ไม่มีความรับผิดชอบเหมือนกัน พ่อทำผิดต่อพวกเธอแล้ว”

หลิงหลานกำลังคิดจะพูด หลิงเซียวกลับทำท่าห้ามปรามไว้ “อย่าพูด ให้พ่อจินตนาการถึงฉากที่งดงามสักพัก พ่อคิดว่าลูกน่าจะเรียกพ่อว่าพ่อด้วยความอบอุ่น หลังจากนั้นก็พูดว่าหนูรักพ่อนะ”

หลิงเซียวกล่าวคำพูดนี้จบก็เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา เขากล่าวอย่างฝืดเฝื่อนว่า “ฝันกลางวันอยู่หรือเปล่า คนที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างพ่อ ต่อให้ด่าทอพ่อก็ยังถือว่าแค้นเบาไป ทำไมพ่อยังอยากขอให้ลูกเรียกพ่อว่าพ่อด้วยนะ!”

ปากของหลิงหลานกระตุก ทว่าเธอยังไม่เรียกพ่อออกมา ถึงแม้เธอจะรู้ว่าหลิงเซียวคือพ่อในชาตินี้ ถึงแม้ว่าแม่ของเธอจะพูดพร่ำมาตลอดเจ็ดปี ทำให้เธอไม่มีความรู้สึกว่าหลิงเซียวเป็นคนแปลกหน้าเลยสักนิด แต่ว่าพ่อนี่ทำให้หลิงหลานที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่เอ่ยปากเรียกออกมาได้ยากมากจริงๆ

หลิงหลานได้แต่ปัดความผิดไปให้ผู้ชายที่อยู่ตรงข้ามเธอ เขายังหนุ่มยังแน่นมากจริงๆ ทำให้ใจเธอรู้สึกต่อต้านอย่างอธิบายไม่ได้อยู่บ้าง

ความผิดหวังฉายวูบขึ้นในแววตาของหลิงเซียว ความจริงแล้วคำพูดพวกนี้ของเขาก็คือการขอร้องทางอ้อมว่าให้ลูกเรียกเขาว่าพ่อ เขาไม่กล้าขอร้องตรงๆ เพราะเขารู้สึกละอายใจต่อลูกของเขามาก

น่าเสียดาย ความเป็นจริงก็เหมือนกับที่เขาคาดการณ์เอาไว้จริงๆ ลูกเกลียดเขาจริงๆ ด้วย และไม่อยากเรียกเขาว่าพ่อ เรื่องนี้ทำให้เขาเจ็บปวดมาก หลิงเซียวเมื่อแปดปีก่อนเคยจินตนาการความเป็นไปได้อยู่หลายแบบมาก แต่ความเป็นไปได้นี้เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากเห็นมากที่สุด….

ไม่ว่าหลิงเซียวจะผิดหวังมากแค่ไหน เขาก็ยังเริ่มบทเรียนแรกของเขา

หลิงหลานคิดว่าบทเรียนแรกน่าจะเป็นพวกทักษะการต่อสู้มือเปล่าประจำตัวของหลิงเซียว ควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเธอเข้าสู่มิติการเรียนรู้ เข้าสู่สถาบันศูนย์กลางลูกเสือ วิชาแรกที่สอนก็คือทักษะการต่อสู้มือเปล่า (ยกเว้นพวกวิชาทฤษฎี) ถึงยังไงพื้นฐานคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

“ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่สอนทักษะการต่อสู้มือเปล่าใช่ไหม?” หลิงเซียวเมื่อแปดปีก่อนคาดเดาได้ถึงความสงสัยของหลิงหลาน เอ่ยปากถามออกมา

ในเมื่อหลิงเซียวถามขึ้นเอง หลิงหลานย่อมพยักหน้ายอมรับโดยไม่ลังเลเลยสักนิด รอให้หลิงเซียวแก้ไขข้อสงสัย

หลิงเซียวยิ้มพลางบอกหลิงหลานว่า ทักษะการต่อสู้มือเปล่าพื้นฐานของสถาบันรวบรวมมาจากผู้มีความสามารถนับไม่ถ้วนที่สั่งสมมาเป็นพันเป็นหมื่นปีจนกลายเป็นทักษะการต่อสู้มือเปล่าพื้นฐาน มันย่อมเป็นทักษะการต่อสู้มือเปล่าพื้นฐานที่ดีที่สุด ถ้าหากยังไม่สามารถฝึกฝนทักษะการต่อสู้มือเปล่าพื้นฐานชุดนี้จนเชี่ยวชาญโดยสมบูรณ์ เขาจะไม่สอนทักษะการต่อสู้มือเปล่าอื่นๆให้กับหลิงหลานอีก รวมไปถึงทักษะการต่อสู้มือเปล่าประจำตัวของเขาด้วย มีคนมากมายที่ยังฝึกไม่คล่องก็ตั้งใจไปเรียนทักษะที่สูงขึ้นไปอีกขั้น นี่เป็นวิธีการที่ผิดทั้งหมด ลองคิดดูสิรากฐานยังทำไม่ดี ก็คิดจะสร้างตึกแล้ว นี่จะสร้างอาคารสูงใหญ่ขึ้นมาได้ยังไง

หลิงเซียวไม่รู้ว่าผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะคนอื่นๆ เลื่อนขั้นสำเร็จได้ยังไง แต่การที่หลิงเซียวสามารถเลื่อนขั้นได้อย่างราบรื่นนั้นเกี่ยวพันกับพื้นฐานนี้อย่างมาก ตอนนั้นหลิงเซียวแค่จะพิสูจน์หนทางของตัวเองให้พ่อดู เขาปฏิเสธที่จะเรียนทักษะการต่อสู้มือเปล่าลับของตระกูลหลิง หากแต่เรียนทักษะการต่อสู้มือเปล่าพื้นฐานที่เป็นพื้นฐานที่สุดชุดนี้จนถึงระดับสูงสุด ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความหมายอันลึกซึ้งสูงสุดของทักษะการต่อสู้มือเปล่าพื้นฐาน และก็หาเส้นทางการเลื่อนขั้นสู่ขั้นเทวะเจอ….

“เชี่ยวชาญโดยสมบูรณ์คือยังไง?” หลิงหลานกล่าวด้วยความงุนงง เธอเข้าใจทักษะการต่อสู้มือเปล่าพื้นฐานอย่างถ่องแท้มาตั้งนานแล้ว หรือว่าเธอยังฝึกไม่ถึงขั้น?

“ตอนที่ลูกใช้ทักษะการต่อสู้มือเปล่าพื้นฐานชุดนี้ได้ตามใจชอบ ก็จะไม่มีกระบวนท่าอีกต่อไป พอถึงตอนที่ใกล้จะถึงระดับนี้ลูกก็จะเข้าใจเอง” หลิงเซียวอธิบายคร่าวๆ ทว่าไม่ให้หลิงหลานร้อนใจ เธอยังอายุค่อนข้างน้อย ยังมีเวลาเหลืออยู่

“ตอนนี้สิ่งที่พ่อสอนลูกได้ก็คือวิธีการพัฒนาสายตากับความเร็วมือของลูก ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ หรือว่าควบคุมหุ่นรบต่างก็ขาดมันไปไม่ได้ “ หลิงเซียวกล่าว “พวกนี้ต่างก็เป็นฝีมือที่ใช้ความสามารถสูง ลูกต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างหนักถึงจะพัฒนาได้ โดยเฉพาะความเร็วของนิ้วมือ ต้องอยู่ในช่วงเด็กที่กระดูกนิ้วมืออยู่ในสภาพอ่อนมาก ยังไม่ได้โตเต็มที่ ถึงจะพัฒนาขีดจำกัดของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น”

หลิงเซียวกล่าวจบก็พลันยื่นฝ่ามือออกมา นิ้วมือเขาคีบลูกปัดที่ส่องประกายแวววาวไว้หนึ่งเม็ด หลังจากนั้นก็เริ่มขยับนิ้วมือ ให้ลูกปัดกลิ้งอยู่ที่ระหว่างนิ้วมือทั้งห้าตามใจชอบ ตอนแรกมันกลิ้งตัวช้ามาก จากนั้นความเร็วก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้าย สายตาที่หลิงหลานภาคภูมิใจมาตลอดก็มองไม่เห็นเงาของลูกปัดอีก เธอเห็นแค่นิ้วมือของหลิงเซียวกลายเป็นภาพติดตา แต่ไม่สามารถแยกออกได้ว่าเป็นนิ้วไหนกันแน่…

ในขณะที่หลิงหลานจ้องมองอย่างตะลึงงันสุดขีด ทันใดนั้นเองหลิงเซียวก็หุบนิ้วมือทั้งห้าให้กลายเป็นกำปั้นฉับพลัน ดวงตาของหลิงหลานที่เปลี่ยนจากสภาพเคลื่อนไหวมาเป็นหยุดนิ่งก็รู้สึกปวดอยู่บ้าง รู้สึกไม่สบายตาเอามากๆ

“สายตาของลูกยังไม่ถึงระดับความเร็วมือของพ่อ ดังนั้นสายตาเลยแบกรับหนักไปบ้าง ลูกหลับตาพักผ่อนก่อนสักครู่เถอะ” หลิงหลานทำตามที่หลิงเซียวบอก ไม่นานเธอก็รู้สึกว่าดวงตาไม่เหลือความเจ็บปวดรางๆ แล้วถึงค่อยลืมตาขึ้นมา

“รู้สึกได้แล้วใช่ไหมว่าขีดจำกัดของสายตาลูกอยู่ที่ไหน ตั้งแต่นี้ไป ลูกต้องฝึกฝนความเร็วมือของลูก ในขณะเดียวกันก็ให้สายตาของลูกตามความเร็วมือของลูกให้ทัน นี่ต้องฝึกฝนไปเรื่อยๆ ไม่มีทางลัดอะไรทั้งนั้น” หลิงเซียวบอกหลิงหลานอย่างจริงจัง ภารกิจมารดกไม่ได้มหัศจรรย์อย่างที่ทุกคนคิดไว้ขนาดนั้น ไม่สามารถทำให้คนทะยานขึ้นฟ้าในก้าวเดียวได้ ถ้าอยากจะประสบผลสำเร็จ ก็ต้องอาศัยความพยายามของตัวเองเพื่อให้ได้มา เพียงแต่ภารกิจมรดกจะบอกคุณว่าจะต้องทำยังไงถึงจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น

“ฉันเข้าใจแล้ว” หลิงหลานพยักหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจ ในใจรู้สึกซาบซึ้งใจกับการชี้แนะของหลิงเซียวมาก หลิงเซียวอาศัยการฝึกสอนสายตากับความเร็วมือ บอกหลิงหลานอ้อมๆ ว่าอยากจะแข็งแกร่งก็ต้องอาศัยความพยายามของตัวเอง คนอื่นทำแทนไม่ได้

“เมื่อตะกี้นี้เป็นความเร็วสูงสุดแล้วใช่ไหม?” ในที่สุดหลิงหลานที่อารมณ์ดีสุดขีดก็มีความอยากรู้อยากเห็นอย่างที่เด็กอายุเจ็ดขวบควรมีสักที

หลิงเซียวยิ้มไม่พูดอะไร ทว่าเขาแบมือของตัวเองขึ้นอีกครั้ง หลิงหลานเห็นว่าในมือเขาไม่ได้มีลูกปัดคริสตัลหนึ่งเม็ดเหมือนเมื่อสักครู่นี้แล้ว หากแต่เป็นลูกปัดเก้าเม็ด หลิงหลานเดาะลิ้นเบาๆ ยังไม่ทันที่เธอจะถามก็เห็นนิ้วมือของหลิงเซียวเริ่มขยับ ลูกปัดคริสตัลเก้าเม็ดกระทบกันในฝ่ามือของเขา ส่งเสียงกังวานใสดังติ๊งๆ ลูกปัดคริสตัลกระแทกกันเอง เริ่มเด้งออกไม่เป็นจังหวะ เดิมทีนี่เป็นการควบคุมที่ยากที่สุด เพราะว่าคุณต้องตัดสินทิศทางของลูกปัด ถ้าเป็นลูกปัดเม็ดเดียว หลิงหลานไม่รู้สึกกดดันเลย ต่อให้สองเม็ด หลิงหลานก็เชื่อว่ามันไม่ได้เร็วและสามารถควบคุมได้ แต่ถ้าสามเม็ดก็ไม่แน่ใจแล้ว

แต่หลิงเซียวกลับควบคุมลูกปัดพวกนั้นได้สบายๆ นิ้วมือขยับกั้นทางไว้ให้พวกมันกลิ้งอย่างอิสระอยู่ในมือเขาเท่านั้น

ความเร็วของหลิงเซียวค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น สุดท้ายเสียงกระทบกันของลูกปัดคริสตัลก็เชื่อมกันเป็นเสียงเดียว ไม่มีช่องว่างเสียงอะไรอีก ตอนนี้หลิงหลานมองไม่ออกอีกแล้วว่าในมือของหลิงเซียวเกิดอะไรขึ้น เธอเห็นเพียงแต่ภาพเบลอๆ เท่านั้น

หลิงหลานคิดว่านี่ถึงขีดสุดแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่า เรื่องที่ทำให้คนตื่นตกใจมากกว่าเดิมก็เกิดขึ้น หลิงหลานค่อยๆ มองไม่เห็นภาพเบลอแล้ว เธอเหมือนกับมองเห็นหลิงเซียวกางมือของเขาออกคล้ายกับดอกบัวที่บานสะพรั่งก็ไม่ปาน แต่ในฝ่ามือกลับไม่มีลูกปัดพวกนั้นอยู่เลย

หลิงหลานรู้ว่านี่เป็นเรื่องเท็จ นี่คือความเร็วที่ถึงขั้นน่ากลัวแล้ว ถึงกับทำให้ดวงตาเกิดภาพลวงตาผิดๆ กลับไปภาพที่เธอเห็นเมื่อตอนแรกเอง นี่เป็นการเข้าใจผิด และก็เป็นความเร็วขั้นสุดยอดจนถึงกับเกิดภาพลวงตาเช่นกัน

ยังไม่ทันที่หลิงหลานจะได้สติกลับมา เธอก็ได้ยินเสียงโพละๆๆ ดังติดต่อกันทั้งหมดเก้าเสียง หลังจากเสียงนี้ หลิงเซียวก็หยุดขยับนิ้วมือทันที ตอนนี้หลิงหลานรู้สึกว่าดวงตาของเธอเจ็บปวดอย่างหาใดเปรียบ น้ำตาร่วงเผาะๆ เธอพยายามมองความเร็วที่เหนือกว่าขีดจำกัดมากเกินไป จนสุดท้ายกลับถูกมันแว้งกัดแทน

ไม่ง่ายเลยกว่าหลิงหลานจะรู้สึกดีขึ้น จากนั้นก็ค่อยลืมตาขึ้นมา เธอเห็นหลิงเซียวยืนอยู่ตรงหน้าเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มือขวากำหมัดหลวมๆ

“ฉันโอเคแล้ว” หลิงหลานพูดอย่างกระอักกระอ่วน เธอเบนความสนใจไปที่มือขวาของหลิงเซียว

หลิงเซียวแบมือขวาของตัวเองช้าๆ ลูกปัดคริสตัลแข็งเรียบเนียนที่เดิมทีอยู่ในฝ่ามือกลายเป็นผง หลิงเซียวสะบัดนิ้วเบาๆ ฝุ่นผงละเอียดก็กระจายออกจากในซอกนิ้ว ร่วงลงพื้นช้าๆ ฝุ่นผงพวกนี้ส่องประกายระยิบระยับนับไม่ถ้วนภายใต้แสงไฟที่สาดส่องลงมาทำให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในภาพมายา

…………………………………..