เช้าวันต่อมามีคนไม่น้อยที่รู้สึกอ่อนเพลียไปทั้งร่าง ระหว่างที่พยายามยันตัวลุกยืน ความเจ็บปวดก็ปราดไปทั่ว เป็นไปอย่างที่เริ่นเสี่ยวซู่คาดการณ์ไว้

ผลกระทบจากการเดินทางหลบหนีอันยาวนานและตรากตรำ หนำซ้ำด้วยอากาศอันหนาวเย็นได้ปะทุขึ้นแล้ว คนที่แข็งแรงสุขภาพดีอาจจะพอทนไหว แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่อาจยืนขึ้นได้แม้แต่น้อย

เริ่นเสี่ยวซู่พบว่าชาวป้อมปราการไม่ได้มีกล้ามเนื้ออะไรมากนัก ไม่เหมือนเหล่าผู้อพยพในเมือง ขนาดผู้หญิงอย่างเสี่ยวอวี้ยังแข็งแรงกว่าพวกเขาอยู่ระดับหนึ่งเลย

ตอนนี้ความแตกต่างระหว่างผู้มีไฟให้ผิงและผู้ไม่มีไฟให้ผิงในเมื่อคืนนั้นได้ปรากฏเด่นชัดแล้ว ขนาดนักเรียนที่เจียงอู๋พามายังดูสบายดีกันอยู่เลย

“รีบไปกันเถอะ” เริ่นเสี่ยวซู่ยันตัวขึ้นแล้วกวาดตามองไปยังผู้คนรอบๆ “ที่นี่เตรียมเป็นที่แพร่โรคระบาดแล้ว ถ้าพวกเราไม่รีบไป พวกเราจะติดโรคด้วย”

ไม่มีใครช่วยคนพวกนี้ได้แล้ว

“อาจารย์ ช่วยชีวิตคนได้กุศลยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น!“ เฉินอู๋ตี๋เอ่ย “พวกเราปล่อยพวกเขาไว้อย่างนี้ไม่ได้นะ!”

“สวรรค์ประจิมอยู่ข้างหน้านี่เอง” เริ่นเสี่ยวซู่เดินต่อพลางว่า “ฉันจะไปอัญเชิญพระไตรปิฎก นายอยากอยู่ที่นี่ต่อก็เรื่องของนาย”

เฉินอู๋ตี๋นิ่งไป หลังจากพินิจใคร่ครวญ เขาก็เดินตามเริ่นเสี่ยวซู่ไป ดูเหมือนว่าการคุ้มกันอาจารย์ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่สวรรค์ประจิมจะสำคัญสำหรับเขาที่สุด

เห็นเฉินอู๋ตี๋ตามมาแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็ถอนหายใจยกใหญ่ เขาละกลัวจริงๆ ว่าเฉินอู๋ตี๋จะพยายามช่วยคนป่วยหลายร้อยคนอย่างโง่งม

แต่พวกตนจะช่วยคนพวกนั้นได้อย่างไรเล่า

ถึงหวังฟู่กุ้ยจะมียาปฏิชีวนะอยู่ แต่ยาที่คนคนเดียวมี จะช่วยอะไรได้ในสถานการณ์เช่นนี้ แถมนั่นเป็นทรัพย์สินที่หวังฟู่กุ้ยเก็บมาทั้งชีวิต จะมอบให้ผู้อื่นอย่างใจกว้างได้อย่างไร

ตอนที่พวกเขากำลังจะจากไปแล้วนั้น เจียงอู๋ก็เรียกให้นักเรียนตามไปติดๆ ไม่ว่าอย่างไร เจียงอู๋ก็จะให้นักเรียนของเธอทำตามเริ่นเสี่ยวซู่ทุกฝีก้าว

ส่วนบรรดาคนป่วยรอบๆ นั้น นอกจากความเวทนาแล้ว พวกเธอจะทำอะไรได้อีกล่ะ

นักเรียนที่จิตใจอ่อนโยนบางคนกล่าวกับเจียงอู๋ “ครูคะ ทำไมพวกเราไม่อยู่คอยช่วยพวกเขาล่ะ”

เจียงอู๋กัดฟันกรอดอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จากนั้นก็ตัดสินใจเอ่ยว่า “ไม่ พวกเราต้องเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตัวเองก่อน บางทีตอนนี้ครูอาจกำลังสอนพวกเธอเรื่องผิดๆ อยู่ก็ได้ แต่พวกเธอต้องไปจากที่นี่ตอนนี้เลย”

โลกใบนี้บีบครูที่อ่อนโยนจิตใจดีจนจนมุมแล้ว แต่เธอไม่คิดเสียใจ

“ทุกคนอยู่ใกล้กันไว้แล้วตามกันให้ทันละ ยังจำผักป่าที่เรากินกันเมื่อวานได้ไหม ถ้าเจอตามทางก็เด็ดมาเลยนะ” เจียงอู๋ว่า

“แต่ผักป่านั่นรสชาติแย่มากเลย” มีนักเรียนผู้หนึ่งหน้างุดพึมพำ

“ต่อให้รสชาติแย่ เธอก็ยังต้องกินอยู่ดี” เจียงอู๋ว่าเสียงหนักแน่น

เพราะเริ่นเสี่ยวซู่เตรียมตัวเดินทางต่อ เหล่าผู้หลบหนีที่ยังเคลื่อนไหวได้ก็ตามหลังเขาไป พวกเขาไร้จุดหมาย รู้เพียงแต่ตามคนที่นำอยู่ข้างหน้า

และแล้ว ก็เหลือแต่เพียงคนป่วยถูกทิ้งนอนเรียงรายตามพื้น

เริ่นเสี่ยวซู่งุนงง เขารู้ว่ามีหมาป่าตามหลังอยู่มาพักใหญ่แล้ว แต่ทำไมพวกมันไม่ให้เริ่มโจมตีเสียทีล่ะ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นไปได้หนอ พวกมนุษย์ทำอะไรพวกมันไม่ได้อยู่แล้ว หรือว่าพวกหมาป่ามันยังกลัวจำนวนของมนุษย์อยู่กัน

ไหนจะพวกตัวทดลองอีก เริ่นเสี่ยวซู่หวังว่าพวกมันจะไปทางทิศเหนือของเขาจิ้งซาน ซึ่งเป็นทางเดียวกันกับที่คนของสมาคมตระกูลชิ่งไป แบบนั้นเขาจะได้ไม่ต้องกังวลภัยอันตรายจากพวกมันมากนัก

แล้วก็แน่นอน ถ้าตัวทดลองโดนภูเขาไฟระเบิดใส่จนกลายเป็นจุณหมดก็เยี่ยมเลย…

เริ่นเสี่ยวซู่เดาไม่ออกว่าพวกตัวทดลองมีมากน้อยเพียงไร และก็ไม่รู้ด้วยว่าใครเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา เขารู้เพียงว่าโลกใบนี้ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เขาคิดแล้ว

ตอนนี้เหล่าผู้หลบหนีต่างหลีกทางให้เริ่นเสี่ยวซู่และพรรคพวก

เริ่นเสี่ยวซู่ตั้งใจจะไม่เผยพลังพิเศษของตนเองให้ผู้หลบหนีคนไหนเห็น อย่างไรพวกตนก็ยังต้องไปป้อมปราการ 109 อยู่ ไม่รู้ว่าที่นั่นปฏิบัติต่อผู้มีพลังพิเศษอย่างไร ถ้าเกิดว่าจู่ๆ พวกเขาก็เริ่มจับผู้มีพลังพิเศษเหมือนกับที่ป้อมปราการ 113 ทำล่ะ

ส่วนที่ว่าเฉินอู๋ตี๋เปิดเผยตัวว่าเป็นผู้มีพลังพิเศษแล้วนั้น ก็อาจจะสร้างปัญหาให้พวกเขาเอาก็ได้ แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ค่อยแน่ใจอะไรเท่าไรนัก ได้แต่ค่อยๆ คืบหน้าไปทีละก้าวเท่านั้น

พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่ามีรถออฟโรดอีกคันจอดอยู่ข้างหน้านั่นก็รู้สึกว่ามันตลกไม่น้อย เขาจำได้ว่าตอนสมาคมตระกูลชิ่งขับผ่าน มันมีรถออฟโรดสามคัน รถบรรทุกทหารอีกสองคัน แต่ตอนนี้ครึ่งหนึ่งในนั้นพังไปเสียแล้ว

ระหว่างที่หนีเมื่อวาน พวกเขาเห็นรถออฟโรดและรถบรรทุกทหารอย่างละคันจอดอยู่ข้างถนน ตอนนี้มีอีกคันจอดอยู่ระหว่างทาง เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าถ้าพวกตนรีบๆ หน่อย ก็อาจจะตามคนของสมาคมตระกูลชิ่งทันก็ได้

อย่างไรเสียหลังจากรถพังไปสาม คนมากมายเพียงนั้นก็ไม่อาจยัดเยียดเบียดเสียดลงรถคันที่เหลือได้หรอก ดังนั้นต้องมีคนเดินทางด้วยเท้าแน่นอน

หลัวหลานอาจจะให้ทหารของตนค่อยๆ เดินทางไปยังจุดหมาย ส่วนเขาเดินทางด้วยรถคันที่เหลือไม่ก็รถบรรทุกทหารไป

อาทิตย์สายัณห์สาดกระทบร่างพวกพวกเขา เหล่าผู้อพยพที่อยู่หน้าสุดตะโกนเสียงโหวกเหวก “ทุกคนดูสิ!”

“เป็นคนของสมาคมตระกูลชิ่ง!” มีคนตะโกนต่อ “ไปขอให้พวกเขาช่วยเหลือกัน!”

“พวกเราตามพวกทหารทันแล้ว!”

พวกเขาไม่สนด้วยซ้ำว่ากองพลน้อยจะยินยอมให้พวกเขาเข้าร่วมกลุ่มหรือเปล่า เหล่าผู้หลบนี้มุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ราวกับพยายามจะคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้

พอได้ยินเสียงโหวกเหวก เริ่นเสี่ยวซู่ก็หันไปมอง ก็จะต้องประหลาดใจที่เห็นหลัวหลานนั่งอยู่กลางแสงอาทิตย์สีแดงชาดโดยมีกองกำลังทหารแห่งสมาคมตระกูลชิ่งหลายร้อยรายล้อม ทำไมเจ้าอ้วนนี่ถึงเดินมาจนถึงจุดนี่ได้กันล่ะเนี่ย แถมเริ่นเสี่ยวซู่ยังรู้สึกว่ากางเกงขาสั้นของหลัวหลานดูน่าตลกอยู่หน่อยๆ พอตั้งใจสังเกตดู ทำไมกางเกงของเหมือนเย็บมาจากเบาะหนังสองเบาะเข้าด้วยกันเลยล่ะ!

ตอนนี้หลัวหลานกำลังสั่งให้ทหารตั้งเต็นท์ แต่พอหันกลับมาก็ต้องสะดุ้งโหยง มีกลุ่มคนคลื่นทะมึนกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกตน!

เขารีบเรียกพวกทหารทันที “เร็ว ใครมีปืนรีบยิงกันไม่ให้พวกผู้หลบหนีนั่นบุกเข้าแคมป์เราได้!”

ทหารของสมาคมตระกูลชิ่งเป็นนักรบชั้นดี หลัวหลานพูดจบเสียงง้างปืนก็ดังพร้อมเพียง

พอผู้อพยพเห็นปืนชี้มาทางนี้ ทุกคนก็ชะงักเท้าในพลัน สับสนไปหมด

ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งตะโกน “เถ้าแก่หลัว ผมคือเสี่ยวจางจากกองแผนงาน ท่านเคยพบผมมาก่อน!”

หลัวหลานถ่มน้ำลายแล้วตะโกน “อายุอานามขนาดนี้ไม่อายบ้างเหรอไงเรียกตัวเองว่าเสี่ยวจางน่ะ (จางน้อย) พวกนายทุกคนถอยไป ถ้าก้าวมาอีกแค่ก้าวเดียวพวกเรายิงแน่!”

ไม่มีผู้หลบหนีคนใดกล้าขยับ สมาคมตระกูลชิ่งไม่สนหรอกว่าพวกเขาจะเป็นใคร ตราบใดที่ไม่ใช่พวกเดียวกันเอง ทุกคนดั่งเช่นศัตรู

เริ่นเสี่ยวซู่ลอบเร้นในฝูงชนพลางสังเกตการณ์ไปด้วย เขาหวังว่าสมาคมตระกูลชิ่งจะไม่เข้ามายุ่มย่ามกับพวกผู้หลบหนี อย่างไรเขาก็น่าจะถูกหมายหัวไว้อยู่ แน่นอนว่าเริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าพวกสมาคมคงไม่มีเรี่ยวแรงมาสนใจเรื่องนั้นตอนนี้หรอก

เห็นทหารของสมาคมมากมายมีผ้าพันแผลพันตัวเช่นนี้ ดูเหมือนว่าตอนหนีจากป้อมปราการจะได้รับบาดเจ็บกันไม่น้อย

แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เข้าใจ หลัวหลานไม่ทิ้งพวกทหารแล้วหนีไปคนเดียวเสียอย่างนั้น เขาประหลาดใจเรื่องนี้สุดๆ ไปเลย