บทที่ 101 ไอ้มนุษย์นี่มันบ้องตื้นรึ

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“เจ้าอยากลองชิมใช่ไหมเล่า”

โอวหยางเสี่ยวอี้พูดพร้อมหัวเราะหึๆ ในลำคอ นางใช้ตะเกียบคีบซี่โครงราดซอสเปรี้ยวหวานสีส้มอมเหลืองขึ้นมา โบกไปมาตรงหน้าหยางเฉิน

ในตอนนั้นหยางเฉินกำลังถูกกลิ่นของซี่โครงเปรี้ยวหวานยั่วยวนจนไม่ได้สติ เขาละสายตาไปไหนไม่ได้แม้แต่น้อย สีส้มอมเหลืองสวยของซี่โครงเปรี้ยวหวานยั่วน้ำลายเกินไป จนรู้สึกได้ว่าท้องของตนเองว่างเปล่าเสียจนหิวมวนด้วยความอยากกินขึ้นมา

 “อยากกินก็สั่งเองสิ! ฮึ! นี่มันของข้า!” เมื่อโอวหยาเสี่ยวอี้เห็นหยางเฉินน้ำลายไหล นางก็รู้สึกยินดีปรีดากระดี๊กระด๊าขึ้นมาทันที นางแสดงสีหน้าสะใจเช่นผู้ชนะก่อนจะยัดซี่โครงเปรี้ยวหวานเข้าปากหมดทั้งชิ้นในคำเดียว ดวงตาหยีเป็นรูปจันทร์เสี้ยวดูน่ารัก

หยางเฉินโกรธเกรี้ยวเป็นอันมาก เขารู้อยู่แล้วว่าเด็กนี่ตั้งใจกวนประสาทเขา แต่ก็ต้องยอมรับว่ากลิ่นซี่โครงเปรี้ยวหวานนั้นหอมเกินห้ามใจจริงๆ เขาไม่เคยได้กลิ่นอะไรที่หอมจนทำให้ประคองสติไว้ไม่อยู่เช่นนี้มาก่อนเลย

หยางเฉินคิดว่าตนเองควรจะสั่งซี่โครงเปรี้ยวหวานด้วย แต่ก็ลังเล เนื่องจากสั่งเนื้อตุ๋นตำรับจีนไปเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายเด็กชายจึงล้มเลิกความคิดนี้ และตัดสินใจจะลองชิมเนื้อตุ๋นก่อนค่อยตัดสินใจอีกที หยางเฉินหันหน้าไปมองทางอื่นเพื่อสะกดความอยากของตนเองไว้ ไม่ยอมมองโอวหยางเสี่ยวอี้ที่กำลังกินซี่โครงเปรี้ยวหวานอย่างเอร็ดอร่อย

 “ง่ำๆ” โอวหยางเสี่ยวอี้รู้สึกขบขันเป็นอันมาก ขณะมองหยางเฉินที่เลือกหลับตาลงเพื่อจะได้ไม่ต้องดูนางกิน ด้วยเหตุนี้นางจึงตั้งใจเคี้ยวเสียงดังๆ อย่างมีความสุข ในเมื่อหยางเฉินไม่อยากมอง ก็ให้เขาฟังแทนก็แล้วกัน

นี่ถือเป็นการทรมานที่โหดร้ายสุดๆ สำหรับหยางเฉิน มันแย่เสียยิ่งกว่าการบังคับให้เขาฝึกพลังกายสิบครั้งท่ามกลางหิมะเสียอีก

ใกล้ๆ กันนั้น ซงเถากำลังสังเกตการณ์ทั้งสองคนอยู่ แต่เมื่อเขาเห็นซี่โครงเปรี้ยวหวานตรงหน้าโอวหยางเสี่ยวอี้ ก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้เช่นกัน กลิ่นของมันหอมเกินไปจนทนไม่ไหว แม้อาหารร้านนี้จะแพงจริงสมคำร่ำลือ แต่ก็มีเหตุผลที่ทำให้ต้องตั้งราคาเช่นนี้

น่าเสียดายที่ซี่โครงเปรี้ยวหวานจานนี้ราคาสูงถึงห้าสิบผลึก แค่คิดถึงผลึกห้าสิบผลึกที่จะลอยลิ่วออกจากกระเป๋าเขาไปหากสั่งซี่โครงเปรี้ยวหวาน ซงเถาก็หดหู่จนกินอะไรไม่ลงแล้ว

หยางเฉินอดทนแรงยั่วของซี่โครงเปรี้ยวหวานได้จนปู้ฟางเดินออกจากครัวมาอีกครั้ง เขาตื่นเต้นขึ้นทันทีเมื่อได้เห็นเนื้อตุ๋นตำรับจีนสีแดงสวยงามเหมือนอัญมณีล้ำค่า พร้อมด้วยไอสีขาวฉุย

 “นี่เนื้อตุ๋นตำรับจีนที่สั่ง กินให้อร่อย” ปู้ฟางพูดเสียงนิ่ง หากเทียบกับความกระตือรือร้นของหยางเฉินแล้ว ท่าทางของปู้ฟางดูจืดไปสนิทเลย

ดวงตาของหยางเฉินจับจ้องไปที่เนื้อตุ๋นตำรับจีนตรงหน้า เนื้อตุ๋นเป็นประกายสวยเหมือนอัญมณีสีแดงเลอค่า มันสว่างระยิบระยับภายใต้แสงไฟของร้าน ดูสวยงามเหมือนงานศิลปะล้ำค่าจนเขาไม่กล้ากิน

แต่ความหิวก็ชนะทุกอย่าง สุดท้ายหยางเฉินก็ตัดสินใจเลิกชื่นชมความงามของอาหารตรงหน้า เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อตุ๋นตำรับจีนหนึ่งชิ้น ทันทีที่ตะเกียบกดลงไปบนเนื้อตุ๋น น้ำชุ่มฉ่ำสีใสก็ไหลออกจากเนื้อ พร้อมด้วยกลิ่นหอมตลบอบอวล

ทันทีที่เอาเนื้อเข้าปาก รสหวานอ่อนๆ พร้อมด้วยรสชาติเข้มข้นของเนื้อก็กระจายไปทั่วปากเด็กชาย ร่างทั้งร่างของหยางเฉินราวกับถูกห่อหุ้มไปด้วยรสชาติอร่อยล้ำของเนื้อ ชั้นแรกของเนื้อกวางนั้นมันแต่ไม่เยิ้ม มันเด้งดึ๋งและให้รสสัมผัสสุดยอดเยี่ยม เมื่อหยางเฉินกัดไปถึงจุดที่มีเนื้อไร้มันซึ่งควรจะแข็ง เขากลับสัมผัสได้ถึงความนุ่มละมุนลิ้นที่ไม่ได้คาดคิด เนื้อทั้งชิ้นหายเข้าไปในปากภายในคำเดียว

 “อ… อร่อยมาก!” หยางเฉินพึมพำเหมือนต้องมนต์ เขามองจานเนื้อตุ๋นตำรับจีนตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ มีเนื้อตุ๋นตำรับจีนที่อร่อยสุดยอดถึงเพียงนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ เมื่อเทียบกับเนื้อตุ๋นตำรับจีนที่หยางเฉินเคยกินที่ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์แล้ว ความแตกต่างนั้นช่างเหมือนฟ้ากับเหวไม่มีผิด!

แค่เนื้อชิ้นเดียวก็ทำให้หยางเฉินยอมสยบได้แล้ว ดวงตาของโอวหยางเสี่ยวอี้โค้งมากขึ้นอีก นางคีบซี่โครงเปรี้ยวหวานขึ้นมาอีกชิ้นแล้วโยนเข้าปาก แก้มป่องขณะเคี้ยวตุ้ยๆ

 “ฮึ! ข้าก็บอกแล้วอย่างไร ว่าอาหารของนายท่านตัวเหม็นนี่ละอร่อยที่สุดแล้ว!”

หยางเฉินจึ๊ปาก เขารู้สึกเหมือนก่อนหน้านี้ตนเองยังไม่ได้ตั้งใจลิ้มรสเนื้อตุ๋นตำรับจีนอย่างจริงจัง จึงคีบขึ้นมาอีกชิ้นแล้วโยนเข้าปาก เด็กชายกลืนเนื้อลงท้องไปในคำเดียว… ดวงตาเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ เขาคีบเนื้อขึ้นมาอีกชิ้นแล้วโยนเข้าปากอย่างมีความสุข จากนั้นก็กลืนลงท้องไปในคำเดียว

หยางเฉินตั้งหน้าตั้งตากินต่อไปด้วยท่าทางเช่นนี้ เนื้อชิ้นแล้วชิ้นเล่าหายลงท้องเข้ไปอย่างหยุดไม่ได้ เมื่อปู้ฟางเดินออกมาจากห้องครัวอีกครั้งพร้อมข้าวผัดไข่ เนื้อตุ๋นตำรับจีนก็หายไปหมดจานแล้ว

 “นี่ข้าวผัดไข่ที่สั่ง กินให้อร่อย” ปู้ฟางพูดพร้อมวางจานข้าวผัดไข่เรืองแสงสีทองลงตรงหน้าซงเถา

ซงเถาที่ทรมานจนไส้แทบขาดรีบหยิบช้อนกระเบื้องขึ้นมาโดยไม่พูดอะไร แล้วตักข้าวขึ้นมาพูนช้อนทันที ตอนที่ช้อนเจาะลงไปในข้าวผัดไข่นั้น กลิ่นไข่และข้าวก็พุ่งขึ้นใส่หน้า ไอน้ำเข้าโอบล้อมใบหน้าของซงเถา ส่งให้เขาพลันเข้าสู่โลกแห่งอาหารอร่อยแสนน่าหลงใหล

แม้ราคาของข้าวผัดไข่ชามนี้จะไม่จัดว่าแพงมาก และวิธีการทำก็เรียบง่าย แต่กลิ่นที่ส่งออกมากลับรุนแรงมากเมื่อเทียบกับความเรียบง่ายของมัน และเหตุผลก็อยู่ที่ชนิดของไข่ที่เลือกใช้ มันเป็นไข่ที่ส่งกลิ่นหอมเป็นพิเศษเมื่อนำไปผัด

ไม่มีใครทานทนอำนาจของกลิ่นข้าวผัดไข่หอมหวนได้ ซงเถาและหยางเฉินเองก็เช่นกัน

หลังจากที่กินเข้าไปคำแรก ซงเถาก็สูญเสียการควบคุมตนเองไปโดยสิ้นเชิง เขาลำเลียงข้าวผัดช้อนแล้วช้อนเล่าเข้าปาก เคี้ยวแล้วกลืนไม่หยุด รสชาติอร่อยของข้าวผัดไข่สะกดเขาเอาไว้ได้อยู่หมัด จนลืมไปสนิทว่าตนเองมาที่ร้านแห่งนี้เพื่ออะไร

อึดใจเดียวข้าวผัดไข่ทั้งชามก็อันตรธานไป ชามที่เคยเต็มไปด้วยข้าวผัดไข่ถูกเลียจนสะอาด ไม่เหลือแม้แต่ข้าวสักเมล็ด

 “อร่อย!” ซงเถาวางชามลงแล้วแลบลิ้นเลียปาก เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าข้าวผัดไข่ที่สั่งจะอร่อยถึงเพียงนี้ แค่ชามเดียวนั้นไม่พอจะทำให้เขาอิ่มได้แม้แต่น้อย

 “เถ้าแก่ ข้าขอข้าวผัดไข่อีกชาม!” รสชาติที่อร่อยล้ำทำให้ซงเถาซึ่งเป็นคนตระหนี่โดยธรรมชาติ ถึงกับยอมแหกกฎการใช้เงินของตนเอง และตะโกนสั่งข้าวผัดไข่อีกชาม

 “เจ้าต้องสั่งจานอื่น เพราะว่าวันนี้เจ้าสั่งข้าวผัดไข่ไปแล้ว กฎของร้านไม่อนุญาตให้สั่งซ้ำในวันเดียว” ปู้ฟางเหลือบตามองแล้วเอ่ยตอบ

ซงเถาชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็จำกฎที่เขียนอยู่บนรายการอาหารบนผนังได้ เขารู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันที… จากนั้นก็เหมือนจะจำได้ว่าตนเองมาที่ร้านแห่งนี้เพื่ออะไร เขามาที่นี่เพื่อลักพาตัวหยางเฉินและโอวหยางเสี่ยวอี้อย่างไรเล่า

ด้วยเหตุนี้ซงเถาจึงสะกดความอยากของตนเองไว้ แล้วหยิบผลึกออกมาหนึ่งผลึกด้วยความระมัดระวัง เขาวางผลึกไว้บนโต๊ะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความลังเล ก่อนหันหลังเดินจากไป

ปู้ฟางมองซงเถาที่กำลังออกจากร้านไปด้วยสีหน้างุนงง เมื่อกี้หมอนี่ไม่ได้บอกว่าจะสั่งอีกจานรึ

พอออกจากร้านไป ซงเถาก็ไม่ได้หนีไปไหนไกล เขาไปหาจุดสบายๆ ห่างจากทางเข้าตรอกไปเล็กน้อยเพื่อนั่งยองๆ ซงเถาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามในร้าน แต่ทันทีที่เด็กพวกนั้นออกมาจากร้าน… เขาจะรีบจับตัวทั้งสองคนกลับไป อย่างน้อยที่สุด… ก็ต้องหนีไปให้ได้ก่อนที่เจ้าสุนัขนั่นจะชิงลงมือ

ชะตากรรมสุดอนาถของลูกน้องทั้งสองคนยังคงติดตาซงเถาอยู่ เขาไม่กล้าไปแหย่อสูรเวทในตำนานให้กางเล็บทำร้ายตัวเองอย่างแน่นอน…

จู่ๆ หิมะก็เริ่มตกหนัก นครหลวงตกอยู่ภายใต้ชั้นหิมะหนาอีกครั้ง

หยางเฉินที่อยู่ภายในร้านยังไม่หายหิว เด็กชายสั่งอาหารจานแล้วจานเล่าและกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนโอวหยางเสี่ยวอี้ก็กินน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาอุ่นๆ นางกำลังซดน้ำแกงอย่างมีความสุขล้น

ทั้งสองดูไม่มีทีท่าว่าจะออกจากร้านไปเร็วๆ นี้

ซงเถายังคงนั่งยองๆ อยู่หน้าทางเข้าตรอกโดยไม่ขยับเขยื้อน ร่างกายถูกปกคลุมด้วยชั้นหิมะหนา คราใดที่ขยับกาย หิมะจะร่วงลงมาเป็นชั้นๆ

เจ้าดำที่นอนอยู่ตรงทางเข้าร้านกลอกตา มันไม่รู้จะพูดอย่างไรดีเนื่องจากอึ้งกับพฤติกรรมของซงเถา “ไอ้มนุษย์นี่มันบ้องตื้นรึ” เจ้าดำคิด

ซงเถาเองก็สงสัยว่าตนเองยังสติดีอยู่หรือไม่เช่นกัน… แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงเสียสละตัวเองตรากตรำอยู่กลางหิมะเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จเท่านั้น

เฉียนเป่าในชุดคลุมปักลายพร้อมเสื้อกันหนาวขนจิ้งจอกเดินมาพร้อมพ่อครัวจากร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ พอเขามาถึงทางเข้าตรอก ก็เห็นซงเถาที่กำลังตัวสั่นหงึกๆ ซ่อนตัวอยู่ เฉียนเป่ารีบโบกมือไล่ด้วยความรังเกียจ “ขอทานสกปรกนี่มาจากไหนกัน ชิ่วๆ ไปซะ อย่ามาเกะกะขวางทาง”

เมื่อซงเถาได้ยินคำพูดนั้น ดวงตาก็เหม่อลอยทันที เขาเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการเชียวนะ… เหตุใดจึงกลายมาเป็นขอทานสกปรกได้ นี่เขาตกต่ำถึงเพียงนี้แล้วหรือ

…………………………………….