เล่ม 2 ตอนที่ 126 พุ่งมาที่เป้าหมาย

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

มู่หงอวี๋และคนอื่นๆ พากันตกใจและมองไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว

ทว่าไร้วี่แววของความเคลื่อนไหวใดๆ

ท่ามกลางผืนป่าอันเงียบสงัด ทุกอย่างเงียบสงบมาก

มู่หงอวี๋กระซิบถามอย่างอดมิได้

“หลิวเยว่ ประสาทสัมผัสเจ้าเพี้ยนไปหรือเปล่า ข้าไม่เห็นจะรู้สึกถึงปราณของสัตว์อสูรเลยนี่นา…”

ฉู่หลิวเยว่มีสีหน้าเรียบนิ่ง และดวงตาก็ยังคงจดจ่อไปทางนั้น

“หากยังไม่ออกมาล่ะก็ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”

มู่หงอวี๋และคนอื่นที่เหลือต่างมองหน้าสบตากัน

รอบกายพวกเขามีเพียงต้นไม้เป็นต้นๆ ไม่มีแม้แต่พุ่มไม้สูง จะมีสัตว์อสูรซุ่มซ่อนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

แต่ท่าทางของฉู่หลิวเยว่ ดูเหมือนจะไม่ใช่การหลอกเล่นแต่อย่างใด และทุกคนต่างพลันเงียบเสียงโดยไม่รู้ตัว

ทันใดนั้น ใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่ตรงหน้าไม่ไกลจากพวกเขาก็กระดิก!

“มีบางสิ่งเคลื่อนไหว”

มู่หงอวี๋และคนอื่นระวังตัวขึ้นมาทันที!

ที่แท้ตรงนี้ก็มีสัตว์อสูรซุกซ่อนอยู่จริงๆ!

ฟ่อ ฟ่อ!

ทันใดนั้นก็มีเจ้าก้อนตัวเล็กโผล่ขึ้นมาจากกองใบไม้ที่ร่วงหล่นกองนั้น

“นี่มัน…ตัวอะไร”

เมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูจึงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง

“ฮัดชิ่ว!”

เจ้าก้อนตัวน้อยนั้นจามออกมา แล้วร่างกลมๆ ของมันก็เหยียดกายออกมา

มันมีขนาดตัวเท่ากำปั้น ตัวของมันเป็นสีแดง หางฟูๆ เกือบจะใหญ่เท่ากับตัวของมัน และดวงตาสีดำกลมคู่นั้นดูฉลาดและน่ารักน่าชัง

มันจ้องไปที่ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ ด้วยความงุนงงเหมือนไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น และยกอุ้งเท้าน้อยๆ ขยี้ตาอย่างงัวเงียราวกับว่ามันถูกรบกวนการพักผ่อนอันแสนสบาย

นี่มันคือ…

“จิ้งจอกน้อยหรือ!”

มู่หงอวี๋โพล่งขึ้น

เมื่อเจ้าก้อนตัวน้อยได้ยินคำพูดนี้ของนาง มันก็หยุดชะงักจากนั้นก็ส่ายหน้าพัลวัน

ไม่ใช่นะ!

มันไม่ใช่จิ้งจอกอะไรพรรค์นั้นนะ!

“นี่คือเพียงพอนโลหิต”

ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ส่วนคนอื่นๆ กลับมีสีหน้าประหลาดใจ

“นี่คือเพียงพอนโลหิต…สัตว์อสูรระดับสามที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในตำนานหรือ”

เจ้าตัวเล็กที่ว่าหน้าบูดบึ้งทันที

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า

อันที่จริง สัตว์อสูรระดับสามก็ไม่ถือว่าต่ำต้อยจนเกินไป แต่เพียงพอนโลหิตตัวเล็กกระจิริด พลังการโจมตีไม่แข็งแกร่ง ทั้งยังมีนิสัยร่าเริงซุกซน ดังนั้นจึงไม่เหมาะแก่การล่าสัตว์อสูร

เพียงพอนโลหิตมักจะถูกนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง ให้พวกลูกขุนนางเลี้ยงดูเล่น

“อ่า…งั้นก็ช่างมันเถอะ”

หลายคนรู้สึกผิดหวัง คิดไม่ถึงว่าสัตว์อสูรตัวแรกที่เจอหลังจากเข้ามาในบรรพตวั่นหลิงจะเป็นแค่เพียงพอนโลหิต

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า

พวกเขาในกลุ่มเดียวกันนี้ต่างก็ยังไม่มีสัตว์อสูรในครอบครอง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมาพร้อมความหวังอย่างยิ่ง แต่เพียงพอนโลหิตไม่เหมาะสำหรับการล่าจริงๆ

หลายคนคร้านจะสนใจมัน จึงหันหลังเดินไป

จากนั้นขณะที่ฉู่หลิวเยว่จะขยับตัว นางก็ต้องหยุดฝีเท้าแล้วก้มหน้ามองกระทันหัน

…เจ้าตัวน้อยนี่มากัดชายกระโปรงแล้วมองนางตาแป๋วตั้งแต่เมื่อใดกัน

ฉู่หลิวเยว่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ

พวกเขาไม่ต้องการล่าเพียงพอนโลหิต แต่ดูเหมือนมันอยากจะไปกับพวกเขาด้วยใช่หรือไม่

ฉู่หลิวเยว่โน้มตัวลงเพื่อต้องการเอามันออกไป แต่ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กจะรู้ทันนาง มันจึงม้วนตัววิ่งหลบไปกัดชายผ้าอีกข้างหนึ่งแทน

เพียงพอนโลหิตไหวตัวอย่างรวดเร็ว ฉู่หลิวเยว่คงจับมันด้วยมือเปล่าไม่ได้แน่ๆ

ดังนั้นนางจึงไม่ขยับตัวอีก

“หลิวเยว่ ดูเหมือนมันจะชอบเจ้านะ”

มู่หงอวี๋อดพูดไม่ได้ และแสดงสีหน้าสงสัยเล็กน้อย

นางพอจะได้ยินชื่อเพียงพอนโลหิตมาบ้าง แต่นางไม่เคยเห็นตัวเป็นๆ

ดูแล้วก็น่ารักดีเหมือนกัน!

ฉู่หลิวเยว่ก็นึกแปลกใจเช่นกัน แล้วก้มหน้าพูดกับเจ้าเพียงพอนตัวน้อยว่า

“พวกเราไม่คิดจะลงมือกับเจ้า เจ้าอย่าตามพวกเราเลยจะดีกว่า”

เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าตัวน้อยก็กะพริบตาปริบๆ ด้วยสีหน้าฉงน และดูเหมือนว่าต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเข้าใจความหมายของฉู่หลิวเยว่

นี่หมายความว่า…ไม่ต้องการมันแล้วใช่หรือไม่!

น้ำตาได้กลิ้งมาคลอเบ้าเจ้าเพียงพอนน้อยอย่างรวดเร็วจนหน่วยน้ำตาใสขนาดเท่าเม็ดถั่วร่วงลงมาแหมะๆ ทั้งยังแหงนหน้ามองราวกับกำลังกล่าวโทษนางเงียบๆ

ฉู่หลิวเยว่ “…”

ดูเหมือนข้าจะผิดพลาดสักจุดใดจุดหนึ่งใช่หรือไม่

“หลิวเยว่ ทำไมเราไม่พามันไปด้วยเล่า เจ้าก็เก็บมันไว้เลี้ยงดูเล่นก็ได้มิใช่หรือ มิฉะนั้นมันอยู่ตัวเดียวเหงาๆ น่าสงสารจะตาย” มู่หงอวี๋มิอาจต้านทานเจ้าก้อนขนตัวน้อยๆ ตัวนี้ได้ นางจึงเอ่ยปากขออย่างอดมิได้ “ถ้าอย่างนั้นเอามันมาให้ข้าดีกว่าไหม”

แต่ทว่าเจ้าก้อนขนตัวน้อยๆ กลับส่ายหน้าอย่างบ้าคลั่ง

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มู่หงอวี๋ผิดหวังเล็กน้อย

“ดูเหมือนมันจะอยากตามเจ้าไปด้วยเลย…”

ฉู่หลิวเยว่ขบคิดครู่หนึ่ง

“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องเชื่อฟัง แล้วพวกเราจะพาเจ้าไปด้วย”

เพียงพอนโลหิตตัวน้อนพยักหน้ารัวๆ ดีใจกระโดดโลดเต้นราวกับแสงสีแดงวูบไหวไปมาแล้วก็มุดขึ้นมาอยู่บนบ่าฉู่หลิวเยว่จนได้

มันย่อตัวลงนั่งจุมปุ๊ก แกว่งหางไปมา จากนั้นก็นอนหมอบอยู่บนบ่าของฉู่หลิวเยว่ทันที

ถ้ามองจากระยะไกลมันดูเหมือนเกี๊ยวสีแดงเนื้อนุ่มมากเลย

ตัวมันเบาหวิว ไม่ได้หนักแต่อย่างใด

ฉู่หลิวเยว่เหลียวมองมันแล้วยิ้มมุมปาก

“ไปกันเถอะ”

หลังจากนั้น ทุกคนก็เคลื่อนตัวไปยังป่าลึกเรื่อยๆ

จากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เจออาชาขี้เถ้าซึ่งเป็นสัตว์อสูรระดับสาม

อาชาขี้เถ้าลำตัวสูงใหญ่ และถือว่าเป็นสัตว์อสูรที่มีพลังค่อนข้างแข็งแกร่ง

“อาชาขี้เถ้ามีนิสัยปรวนแปร พลังโจมตีไม่มากน้อยนัก โดยทั่วไปมักจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มต่อสู้กับคนก่อน เหมาะกับการเป็นพาหนะ ไม่เหมาะสำหรับการล่า”

เลี่ยวจงซูพูดเบาๆ

ตอนแรกเฉินหู่มีความคิดอยากล่ามัน แต่เมื่อได้ยินดังนั้น เขาจึงล้มเลิกความคิดนั้นไปเสีย

“เช่นนั้นเราไปข้างหน้ากันต่อเถอะ! ไม่แน่อาจเจออะไรที่ดีกว่านี้”

เมื่อพูดจบก็เดินนำหน้าไปก่อนใคร

ทว่าอาชาขี้เถ้ากลับไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป

มันมายืนขวางหน้าพวกเขา กระทืบกีบเท้าหน้าสองครั้ง ส่งเสียงฟึดฟัดพ่นลมหายใจทางจมูก แล้วสายตาของมันที่มองมาก็ดูไม่เป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด

เฉินหู่ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาจึงขมวดคิ้วและถามว่า

“เจ้าทึ่มซู ไหนเจ้าบอกว่าอาชาขี้เถ้าไม่ทำร้ายคนก่อนไง เหตุใดข้าเห็นเหมือนมันกำลังจะสู้กับเราเล่า!”

เลี่ยวจงซูก็ตกใจเช่นกัน

“ไม่หรอกกระมัง บ้านข้าเลี้ยงอาชาขี้เถ้าตั้งหลายตัว และเชื่องหมดทุกตัว ทำไมตัวนี้ถึงได้…หรือว่าสัตว์อสูรในบรรพตวั่นหลิงจะดุร้ายกว่าที่อื่น”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ อาชาขี้เถ้าก็ร้อง ฮี้ๆ และพุ่งเข้าใส่พวกเขาอย่างรวดเร็ว!

เฉินหู่ปะทะเป็นคนแรก

“ฮึบ!”

เขาส่งเสียงทุ้มต่ำ งอขาทั้งสองข้างลงเล็กน้อย ยกแขนแข็งแรงที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อหนั่นแน่น มือที่กำหมัดแน่นราวกับใบพัดปล่อยหมัดชกอย่างแรง

“หมัดหนักมาก”

เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สาม และมีความแข็งแกร่งทางกายภาพมาก พลังที่อยู่ในหมัดนี้มิอาจมองข้ามได้!

หมัดรุนแรงดั่งพายุพุ่งเข้าใส่อาชาขี้เถ้า

อาชาขี้เถ้ายกกีบเท้าหน้าของมันและกำลังจะหลบหมัดนี้!

เฉินหู่วิ่งตามไปทันทีแล้วลอดตัวเข้าไปอยู่ใต้ท้องอาชาขี้เถ้า

จากนั้นหมัดของเขาก็กลายเป็นกรงเล็บแล้วจิกลงไปที่หน้าท้องอาชาขี้เถ้าทันที

ฉึก…!

ท้องของอาชาขี้เถ้าถูกฉีกทึ้งออกจนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว!

ใบหน้าของเฉินหู่ก็เปื้อนคราบเลือดสกปรกเช่นกัน

แต่กลับทำให้เขายิ่งดุเดือดขึ้นไปอีก!

“ตายซะ…”

เขาตะโกนเสียงดัง และกำลังจะปลิดชีวิตมันเดี๋ยวนั้น!

และในขณะนั้นเอง อาชาขี้เถ้าก็ยกขาขึ้นแล้วถีบยอดอกของเฉินหู่อย่างแรง!

“ระวัง!”

เมื่อมู่หงอวี๋และคนอื่นๆ สังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ จึงก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยเหลือทันที!

เมื่ออาชาขี้เถ้าโดนโจมตีก็เกิดอาการเสียสมาธิ และทำให้พลังโจมตีคราวนี้แผ่วลงไปมาก

แต่มันกลับแค้นแล้วถีบหลังเฉินหู่อีกที

พรวด!

เฉินหู่ถูกโจมตีอย่างหนักจึงล้มลงกับพื้นทันที แล้วกระอักเลือกออกมาเต็มปาก ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดลงมาก

กู้หมิงเฟิงจ้องไปที่อาชาขี้เถ้าก็เห็นดวงตาสีแดงจางๆ ของมัน

“เจ้าเดรัจฉานตัวนี้เกิดอาการคลุ้มคลั่งแล้ว!”

ฉู่หลิวเยว่คิ้วกระตุก

อาชาขี้เถ้ามีนิสัยเชื่อง มันจะโจมตีพวกเขาโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร ทั้งยังเกิดอาการคลุ้มคลั่งอีกด้วยหรือ

ทันใดนั้นมู่หงอวี๋ก็อุทานด้วยความตกใจ

“หลิวเยว่! อันตรายแล้ว!”

ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นก็พบว่าอาชาขี้เถ้ามองผ่านมู่หงอวี๋และคนอื่นๆ แล้วพุ่งเป้าหมายมาที่ตัวเอง

มันพุ่งเป้าหมายมาที่…นาง!