บทที่ 108: เขากลับมาแล้ว

ในดินแดนแห่งความโกลาหลแทนเซ่น บนภูเขาเคย์ลอน

ชายผู้มีผมสีส้มเข้มเตะกองซากศพที่เขาสังหารด้วยดาบของเขา ก่อนที่จะทำความสะอาดเลือดบนใบดาบด้วยการสะบัดมัน ไอน้ำพวยพุ่งออกมาจากร่างกายที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของเขา คล้ายกับปูที่เพิ่งปรุงสดใหม่ออกมาจากหม้อ อย่างไรก็ตามคนที่คุ้นเคยกับชายผู้นี้จะรู้ว่ามันคือค่าใช้จ่ายสำหรับพลังเหนือธรรมชาติของเขา

ชายคนนี้มีชื่อว่า ร็อดนีย์ เขาเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในดินแดนแห่งความโกลาหล ทว่าตรงกันข้ามกับตัวตนของเขาในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูง ก็คือเขาไม่ได้มีอาชีพอันทรงเกียรติหรือความมั่งคั่งมากมายใด ๆ เลย

ทำไมน่ะเหรอ? นั่นก็เพราะเขาเป็นคนนอกรีต

คนนอกรีตไม่ได้รับการต้อนรับในอาณาจักรใหญ่ที่มีเสถียรภาพ หากโชคดีพอ นาน ๆ ทีจักรวรรดิออสทีนก็จะทำการเปิดรับพวกนอกรีตเข้ามาจำนวนหนึ่งเป็นครั้งคราว เพื่อแสดงการต่อต้านเชิงสัญลักษณ์ต่อจักรวรรดิเซนต์เมซิท อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากข้อยกเว้นเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ พวกนอกรีตส่วนใหญ่มักจะถูกบังคับให้อาศัยอยู่ในพื้นที่อันเลวร้ายหรือในอาณาจักรเล็ก ๆ ที่ขาดผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ทำให้ในที่สุดพวกเขาส่วนใหญ่เลือกที่จะย้ายไปยังเขตแดนอันไร้ผู้ปกครองปลายขอบดินแดนของมนุษยชาติ หาทางเอาตัวรอดไปวัน ๆ ด้วยความพยายามของตนเอง

แน่นอนว่าสำหรับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงอย่างร็อดนีย์ การหาเลี้ยงชีพนั้นไม่ใช่ปัญหาเลย ที่จริงแล้วช่วงที่เขายังหนุ่มและกำลังเลือดร้อน ร็อดนีย์ออกผจญภัยท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ และทำสิ่งต่าง ๆ มากมาย แต่หลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บทางร่างกายอย่างถาวรในระหว่างการผจญภัย ร็อดนีย์จึงได้ตัดสินใจเดินทางกลับมายังบ้านเกิดของเขา ณ ดินแดนแห่งความโกลาหลแห่งนี้ และได้กลายมาเป็นหนึ่งในหัวหน้าหมู่บ้าน

ดินแดนแห่งความโกลาหล แทนเซ่น เป็นสถานที่ที่มีความพิเศษเป็นอย่างมากในทวีปเซีย สภาพแวดล้อมอันเป็นเอกลักษณ์ของมัน ทำให้มีสัตว์อสูรนานาประเภทเกิดขึ้นในพื้นที่นี้ ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในแหล่งการจัดหาวัตถุดิบจากสัตว์อสูรอันล้ำค่า ถึงกระนั้นกลับแทบไม่มีขุนนางคนไหนคิดจะขยายอิทธิพลของตนไปมายังแทนเซ่นเลย และพวกที่เสนอแนวคิดเช่นนั้นก็มักจะถูกมองว่าเป็นคนบ้า

แทนเซ่น เป็นสถานที่ที่ถูกรู้จักกันในนามดินแดนแห่งความโกลาหล นั่นก็เพราะความโกลาหลเป็นลักษณะที่แท้จริงของภูมิภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็นเหล่าขุนนางผู้สูงศักดิ์ หรือแม้แต่จักรพรรดิ หากพยายามที่จะแตะต้องลงบนพื้นนี้ พวกเขาก็มักจะถูกสังหารโดยไม่มีข้อยกเว้น

ประการแรก แทนเซ่น เป็นฐานที่ตั้งของเหล่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติผู้ทรงพลัง มีทั้งพวกนอกรีตและพวกลัทธิชั่วร้าย เลือกที่จะตั้งรกรากในพื้นที่ภูเขาแห่งนี้ด้วยเหตุผลหลากหลายประการ อาจกล่าวได้ว่าที่นี่นั้นเปรียบเสมือน ‘เครื่องดูดฝุ่นของทวีปเซีย’ เลยก็ว่าได้ เนื่องจากมันรับเอาผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทั้งหมดที่ไม่มีที่ไป มาอยู่รวม ๆ กันที่นี่ และแน่นอนว่าไม่มีทางที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเหล่านี้จะปล่อยผู้ที่พยายามจะยึดครองสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของตนไปง่าย ๆ

นอกจากนั้นสภาพแวดล้อมในแทนเซ่นเองก็ไม่เอื้ออำนวยเช่นกัน มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ ที่นี่มีสัตว์อสูรทรงพลังจำนวนมากอาศัยอยู่ เดินทางสัญจร และจะมีการย้ายฝูงเกิดขึ้นในทุก ๆ สองถึงสามปี มันจึงไม่ใช่สถานที่สำหรับคนอ่อนแออย่างแน่นอน มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ที่ยังอาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้ล้วนเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่รอดชีวิตมาจากการคัดสรรโดยธรรมชาติมาเป็นเวลาหลายปี

แม้จะมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมากมายอาศัยอยู่ภายในแทนเซ่น แต่พวกเขาก็ไม่ได้ร่ำรวย การพยายามเอาชีวิตรอดในภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยเช่นนี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คนในท้องถิ่นมักจะขับไล่ความมั่งคั่งจากคนนอกออกไป เว้นแต่ว่าคนนอกเหล่านั้นจะแข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถรับมือได้

การใช้ชีวิตของเหล่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเองก็ไม่ได้สงบสุขเสมอไป ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเหล่านี้ต่างก่อตั้งหมู่บ้านของพวกเขาตามความเชื่อของตนเอง บางครั้งบางคราวอาจมีทั้งการเชื่อมสัมพันธไมตรี และการประกาศสงครามเกิดขึ้นในหมู่พวกเขา

แม้ว่าพวกนอกรีตจะมีความเชื่อที่เบี่ยงเบนไปจากบรรทัดฐาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีสำนึกในศีลธรรม พวกเขาหลายคนรู้สึกเบื่อหน่ายกับความโหดร้ายของเหล่าผู้นับถือลัทธิชั่วร้าย ซึ่งร็อดนีย์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น

ร็อดนีย์หอบหายใจอย่างหนักหลังจากจัดการกับพวกลัทธิชั่วร้าย นั่นก็เพราะผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายที่เขาเพิ่งฆ่าไปนั้นไม่ได้กระจอก แต่เป็นถึงผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 4

โดยปกติแล้วมักจะมีช่องว่างขนาดใหญ่ในความแข็งแกร่งระหว่างผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 และระดับแก่นแท้ 4 แต่อาการบาดเจ็บในอดีตของร็อดนีย์ทำให้เขาไม่สามารถต่อสู้ได้เป็นเวลานาน ยิ่งไปกว่านั้นศัตรูที่เขาเผชิญหน้าก็ไม่ใช่เพียงแค่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 4 ธรรมดา ๆ เช่นกัน

ร็อดนีย์มองไปยังผืนป่าบนภูเขา ที่ดูเหมือนเพิ่งถูกพายุเฮอริเคนพัดถล่ม เช่นเดียวกับศพทั้ง 10 ร่างที่เกลื่อนไปทั่ว ร่างกายของพวกเขาทั้งหมดถูกบดขยี้อย่างน่าสยดสยอง ทำให้เป็นภาพที่ทนมองได้ยาก

มันเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากอย่างแท้จริงสำหรับเขา

อย่างไรก็ตาม ต่างจากเหตุผลทั่ว ๆ ไป การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความขัดแย้งส่วนตัวหรือข้อพิพาทเกี่ยวกับดินแดน เหตุผลที่ทำให้ร็อดนีย์รู้สึกไม่สบายใจก็คือ พวกลัทธิชั่วร้ายเหล่านี้บุกมาที่นี่เพื่อขโมยเกล็ดของเทพงู!

มันคืออุปกรณ์เวทโบราณที่หมู่บ้านของร็อดนีย์ ปกป้องต่อ ๆ กันมาตั้งแต่ร็อดนีย์นำมันกลับมาที่นี่เมื่อสามปีก่อน อันที่จริงสาเหตุที่ร็อดนีย์ออกไปผจญภัยในโลกกว้างก็เพราะ เขามีเป้าหมายอันชัดเจนอย่างหนึ่งในใจ

ทวีปเซียนั้นใหญ่มาก อีกทั้งยังมีพื้นที่กว้างใหญ่ที่มนุษย์ไม่ได้เดินทางไปสำรวจมากมาย อย่างไรก็ตามกิจกรรมดั้งเดิมของมนุษย์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง มีการคาดเดามากมายว่าดินแดนที่ยังไม่ได้สำรวจเหล่านี้อาจมีอารยธรรมโบราณในอดีตอันห่างไกลฝังอยู่ ซากของมนุษย์โบราณ หรือบางทีอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาที่มักจะถูกกล่าวถึงในตำนาน

แม้แต่ในจักรวรรดิออสทีนโบราณที่เพิ่งล่มสลายไปในหายนะเสียงเพรียกแห่งวิญญาณ เมื่อพันปีที่แล้ว ก็ยังมีสิ่งล้ำค่ามากมายให้ขุดพบ สิ่งเหล่านั้นถือเป็นสมบัติล้ำค่าในตลาดปัจจุบัน ความโลภได้ล่อตาล่อใจผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนให้เดินไปตามเส้นทางของนักผจญภัย โดยสร้างกลุ่มของตนเองขึ้นเพื่อค้นหาซากโบราณวัตถุและตามหาขุมทรัพย์

มีผู้คนอยู่แทบจะทุกประเภทในกลุ่มนักผจญภัย ไม่ว่าจะเป็นคนที่อ่อนแอหรือแข็งแกร่ง อาณาจักรที่พวกเขาถือกำเนิด หรือศาสนาที่พวกเขาเชื่อ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุผลรองตราบเท่าพวกเขายังหาเงินได้จากการผจญภัย

อันที่จริง นักผจญภัยเป็นหนึ่งในไม่กี่อาชีพที่พวกนอกรีตจะสามารถทำให้ตนเองร่ำรวยได้

การผจญภัยในดินแดนอันไม่คุ้นเคยย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยง ทำให้บรรดาผู้ที่ใช้ชีวิตของพวกเขาในเส้นทางนี้มักจะต้องเผชิญอันตราย และก็ต้องจบลงที่ยอมจำนนให้แก่มัน ในตอนที่ร็อดนีย์ยังอายุน้อยและเลือดร้อน เขาเชื่อว่ากลุ่มของเขาแตกต่างจากกลุ่มอื่น ๆ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกความจริงอันโหดร้ายตบหน้า

เหล่าสหายที่คอยติดตามเขามาตลอดหลายปีล้วนเสียชีวิตลง เหลือเพียงแค่ร็อดนีย์ที่รอดพ้นมาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส อย่างไรก็ตามแม้จะต้องสูญเสียครั้งใหญ่ เขาก็สามารถเก็บเอา เกล็ดของเทพงู ออกจากซากปรักหักพังโบราณได้

ตามที่นักวิชาการในกลุ่มนักผจญภัยของเขาบอกมา ซากปรักหักพังโบราณที่พวกเขาเข้าไปสำรวจนั้นถูกสร้างขึ้นมาก่อนยุคของจักรวรรดิออสทีนโบราณ หรือก็คือก่อนยุคที่สองเสียอีก นั่นหมายความว่าซากปรักหักพังนั้นมีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาอย่างน้อย ๆ ก็สองพันปี เกล็ดของเทพงูเป็นสมบัติที่ทำให้คนในยุคนั้นต้องสร้างโบราณสถานนี้มาเพื่อสักการะบูชา ดังนั้นนักวิชาการจึงคาดว่ามันน่าจะเก่ากว่านั้นไปอย่างน้อย ๆ ก็พันปี เพียงแค่นับจากประวัติศาสตร์เบื้องหลัง คุณค่าของมันก็มากมายมหาศาลเกินจินตนาการแล้ว

ร็อดนีย์คิดจะสร้างรายได้มหาศาลจากการขายมัน แต่เมื่อต้องสูญเสียสหายทั้งหมดของเขาไปเพื่อมัน เขาจึงรู้สึกท้อแท้และยืนกรานที่จะไม่ขายสมบัติชิ้นสุดท้ายนี้ที่เหล่าสหายของเขาต้องสละชีวิตเพื่อให้ได้มันมา ดังนั้นร็อดนีย์จึงนำมันกลับไปยังบ้านเกิดของเขา ทว่าโดยที่เขาไม่คาดคิดมันกลับมีพลังอัศจรรย์ในดินแดนแห่งความโกลาหล

นับตั้งแต่ที่ร็อดนีย์นำเกล็ดของเทพงูกลับมา สัตว์อสูรในแทนเซ่นก็ไม่เคยวนเวียนเข้ามาใกล้หมู่บ้าน ของเขาอีกเลย ราวกับว่ามันมีอำนาจสามารถทำให้สัตว์อสูรตื่นกลัวได้ กลับกันแล้ว นี่ทำให้สัตว์อสูรประเภทงูรอบ ๆ หมู่บ้านเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามแทนที่พวกมันจะเข้ามาโจมตีหมู่บ้าน งูเหล่านี้กลับวนเวียนรอบ ๆ เพื่อปกป้องมันแทน

ปรากฏการณ์ดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้คนในหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว เมื่อพบว่าปรากฏการณ์นี้เป็นผลมาจากสมบัติของร็อดนีย์ เขาจึงได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว เป็นเวลา 10 ปีที่ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ทำให้หมู่บ้านของเขาเริ่มพัฒนาเป็นหมู่บ้านขนาดกลาง

ภายใต้การคุ้มครองจาก เกล็ดของเทพงู หมู่บ้านของร็อดนีย์ได้รับการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนแห่งความโกลาหล ทว่าไม่กี่ทศวรรษต่อมาก็เกิดภัยพิบัติขึ้น

ด้วยเหตุผลบางอย่าง สมาคมพ่อค้ามาร์ธ่าในแทนเซ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาคมการค้าอันแสนจะหายากที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในบริเวณใกล้เคียงแทนเซ่น ได้เบนความสนใจมาที่พวกเขา หากมองจากภายนอกแล้ว สมาคมพ่อค้ามาร์ธ่าดูเหมือนจะเป็นสมาคมพ่อค้าทั่วไปที่คอยแจกจ่ายวัตถุดิบที่เก็บเกี่ยวจากสัตว์อสูรไปยังอาณาจักรอื่น ๆ แต่ร็อดนีย์และบุคคลอื่น ๆ อีกสองสามคนรู้ดีว่าที่จริงแล้วพวกเขาเป็นองค์กรที่ถูกควบคุมโดยลัทธิชั่วร้ายอีกที

เมื่อสมาคมพ่อค้ามาร์ธ่าได้ยินเรื่องของเกล็ดของเทพงูเมื่อครึ่งเดือนก่อน หลังจากวันปีใหม่ได้ไม่นาน พวกเขาก็ได้ส่งคนมาที่หมู่บ้านเพื่อพูดคุยกับร็อดนีย์ โดยหวังว่าจะซื้อมันได้ในราคาถูก อย่างไรก็ตาม เมื่อร็อดนีย์ปฏิเสธข้อเสนอ พวกเขาก็เริ่มแยกเขี้ยวและพยายามที่จะชิงมันไปด้วยกำลัง

พวกเขาคงหวังที่จะได้รับเกล็ดของเทพงูโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แต่พวกเขานั้นฝันหวานมากไป หมู่บ้านที่มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอย่างร็อดนีย์อยู่ จะเป็นสถานที่ของคนธรรมดาไปได้อย่างไร?

หมู่บ้านของพวกเขาเต็มไปด้วยทายาทของพวกนอกรีตที่มีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งความแข็งแกร่ง ซึ่งลือกันว่ามีต้นกำเนิดมาจากเผ่ายักษ์โบราณ ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาแข็งแกร่งมาก แต่ราคาที่พวกเขาต้องจ่ายเองก็โหดร้ายเช่นกัน ว่ากันว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเคยร่วมผนวกดินแดนของจักรวรรดิเซนต์เมซิทเข้าด้วยกันจากความแข็งแกร่งอย่างท่วมท้นของพวกเขา ทว่าพวกเขากลับถูกขับไล่ออกมาในภายหลัง บรรพบุรุษของพวกเขาจึงหนีมาที่แทนเซ่นและตั้งรกรากลงที่นี่

หมู่บ้านของร็อดนีย์ อาจจะมีขนาดเล็กและมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติน้อย แต่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทุกคนที่นี่ล้วนเป็นนักสู้ฝีมือดี เรียกได้ว่าพวกผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายเคาะประตูผิดบ้านจริง ๆ พวกลัทธิชั่วร้ายกลุ่มแรกที่ถูกส่งมาที่นี่ถูกกำจัดทิ้งจนไม่เหลือซากอย่างง่ายดาย

ทีแรก ร็อดนีย์ก็ไม่ได้สนใจพวกลิ่วล้อเหล่านี้มากเท่าไหร่นัก เนื่องจากมีผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายอยู่มากมายในดินแดนแห่งความโกลาหล ดังนั้นเหตุการณ์ประเภทนี้จึงถือเป็นเรื่องธรรมดา เขาคิดว่าหัวหน้าคนพวกนี้จะยอมรามือ เมื่อรู้ว่าคนที่พวกเขาส่งมาถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นและที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเขาควรจะมาหาเรื่อง

อย่างไรก็ตามในไม่ช้าร็อดนีย์ก็ตระหนักได้ว่าเขาประเมินความรุนแรงของเรื่องนี้ต่ำเกินไป เบื้องหลังคนกลุ่มนี้ ไม่ได้มีเพียงกลุ่มลัทธิชั่วร้ายหรือสมาคมพ่อค้ามาร์ธ่า แต่เป็นองค์กรที่ใหญ่กว่านั้นมาก

จากการสอบสวนผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายที่ถูกจับกุมมา ร็อดนีย์ได้เรียนรู้ว่ามีใครบางคนเสนอเงินจำนวนมหาศาลให้กับสมาคมพ่อค้ามาร์ธ่า เพื่อซื้อเกล็ดของเทพงูของพวกเขา พวกเขาไม่รู้ว่าเงินมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าขายครั้งนี้มากน้อยเพียงใด แต่มันน่าจะต้องเป็นจำนวนมหาศาลเหนือจินตนาการของพวกเขาแน่ เห็นได้อย่างชัดเจนจากศพ 10 ร่างที่นอนอยู่แทบเท้าของร็อดนีย์

แม้ว่าจะเป็นในดินแดนแห่งความโกลาหล ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 4 ก็ไม่ใช่แค่เบี้ยที่สามารถสละทิ้งได้ง่าย ๆ เช่นนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่าสมาคมพ่อค้ามาร์ธ่าสามารถส่งผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 4 จำนวน 10 คนมาในสำหรับภารกิจนี้ได้ แสดงให้เห็นว่าพวกเขาจะต้องได้รับผลตอบแทนที่ดีมาก

“ร็อดนีย์ ทางเจ้าเป็นยังไงบ้าง?”

เสียงของชายชราคนหนึ่งดังขึ้นจากปลายทางอีกด้านของป่า ร็อดนีย์ ผู้ซึ่งร่างกายยังคงร้อนอบอ้าว แดงไปหมดทั้งตัวตอบรับเสียงเรียกนั้นอย่างรวดเร็ว

“ท่านวู้ด ข้าจัดการกับพวกลัทธิชั่วร้ายทางนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้ข้ายังขยับตัวไม่ได้”

“รอก่อนนะ ข้าจะไปหาเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ”

ทันทีที่สิ้นเสียงของอีกฝ่าย ร็อดนีย์ก็ได้ยินเสียง ‘ตูม’ ดังขึ้นมาในทันที ต่อจากนั้นก็มีร่างของชายชราคนหนึ่งที่ถือไม้เท้า ลอยขึ้นไปบนฟ้าราวกับได้รับแรงหนุนจากเครื่องยิงจรวด เขาหยุดครู่หนึ่งเมื่อไปถึงจุดสูงสุดของวิถีโคจรก่อนที่จะพุ่งลงมาด้วยความเร็วสูงไปทางร็อดนีย์

ตูม!

“แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก!”

“ร็อดนีย์ ดีจริง ๆ ที่เจ้าไม่เป็นอะไร! ข้าจัดการกับพวกที่แอบเข้ามาในหมู่บ้านเรียบร้อยแล้ว”

ท่ามกลางฝุ่นควัน ชายชราผมหงอกรีบเดินไปที่ด้านข้างของร็อดนีย์ด้วยใบหน้ากระวนกระวายใจ ชายชราคนนี้มีดวงตาอันชัดเจนและมีเครายาวพลิ้วไหว​ ทำให้เขาดูคล้ายกับนักวิชาการที่มีการศึกษา เสื้อผ้าของเขาสกปรกเล็กน้อย และมีกระสอบเล็ก ๆ ห้อยอยู่ที่เอวของเขา

“ท่านลงจอดให้มันนุ่มนวลกว่านี้ไม่ได้เหรอ?”

“นุ่มนวลกว่านี้? นั่นไม่ใช่คำที่คนของเรารู้จัก! เจ้ามองว่าข้าเป็นนักเต้นที่เดินเขย่งไปมารึไง?”

วู้ดโบกมืออย่างใจร้อน เขายกไม้เท้าขึ้นเรียกสายลมเบา ๆ เพื่อกวาดฝุ่นที่อยู่รอบ ๆ ออก บรรเทาอาการไอหนักของร็อดนีย์ลง

“ท่านจะรีบไปเพื่ออะไร ในเมื่อท่านจัดการกับศัตรูทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว?”

“ตอนนี้ผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายเหล่านั้นไม่ได้สำคัญแล้ว! ข้ารีบมาที่นี่เพื่อแจ้งข่าวสำคัญให้เจ้าทราบ!”

“ข่าวสำคัญ?”

ร็อดนีย์เงยศีรษะขึ้นและมองไปทางวู้ดที่ตื่นตระหนกด้วยความงงงวย

“เมื่อคืนนี้ เทพเจ้าของพวกเราได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว!”