บทที่ 96 ตรงไปตรงมา Ink Stone_Romance

ถึงแม้จะโมโห แต่ท่านชายโจวหกก็ยังให้พ่อบ้านเฉาไปพบฮูหยินโจว เพื่อรายงานว่าวันนี้ซื้ออะไรที่ตลาดมาบ้างอย่างละเอียด

นายใหญ่โจวตำหนิฮูหยินโจวที่ละเลยรายละเอียดเล็กน้อยเช่นนี้อย่างอดไม่ได้ ฮูหยินโจวรู้สึกน้อยใจแต่ก็คิดว่าตนไม่ผิด สองสามีภรรยาเถียงกันไม่นาน ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอนด้วยอารมณ์หงุดหงิด

ฮูหยินโจวก็คุยรายละเอียดกับแม่นมที่ติดตามรับใช้ทั้งคืน จึงเกิดความคิดขึ้น

วันรุ่งขึ้น ฮูหยินโจวเปิดคลังเก็บของด้วยตนเองแต่เช้า นางเลือกสรรเสื้อผ้าใหม่ที่เดิมทีเตรียมจะให้เหล่าบุตรสาวสวมใส่ตอนปีใหม่ และให้เหล่าสาวใช้และแม่นมห่อให้เรียบร้อย ก่อนจะก้าวเข้าประตูเรือนตระกูลเฉินอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อได้พบหน้ากัน แน่นอนว่าต้องถามไถ่ถึงนายใหญ่เสียก่อน

“ดีขึ้นมากแล้ว ลุกขึ้นนั่งได้แล้ว” ฮูหยินของเฉินเซ่ารับรองนางแล้วเอ่ยขอบคุณ

รักษาหายได้จริงหรือ

ฮูหยินโจวปิติยินดียิ่งนัก

“นายท่านเป็นคนดีฟ้าคุ้มครอง” นางกล่าว

“ข้ากำลังจะให้คนไปบอกพวกท่านอยู่พอดี” ฮูหยินเฉินกล่าว “ให้นายหญิงพักที่นี่อีกสักพักเถิด มีนางอยู่ พวกข้าก็วางใจ รักษาตรวจอาการสั่งยาก็สะดวก”

“ข้าก็คิดเช่นนั้น” ฮูหยินโจวยิ้มกล่าว พลางชี้ไปที่สาวใช้และแม่นมด้านหลัง “ข้าเลยส่งเสื้อผ้าไว้เปลี่ยนมาให้”

นางกล่าวพลางถอนหายใจ

“เพราะว่าป่วย เด็กคนนี้ถึงได้แปลกพิลึกแต่เล็ก ไม่ชอบพูดจาไปมาหาสู่กับคนอื่น ข้าไม่ปกปิดฮูหยินก็แล้วกัน เด็กคนนี้ไม่ได้สนิทสนมกับพวกข้านัก หากมีเรื่องอันใดมิถูกมิควร พวกข้าก็ว่ากล่าวอะไรไม่ได้ ตักเตือนไม่ได้ หากมีอะไรล่วงเกิน เห็นแก่ที่นางป่วยแต่เล็ก เสียแม่แต่เด็ก โดดเดี่ยวน่าสงสาร หวังว่าฮูหยินจะให้อภัย” นางกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจและจนใจ ทั้งยังยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาอีก

ฮูหยินเฉินย่อมมองออกว่าเฉิงเจียวเหนียงไม่สนใจบ้านตระกูลโจว เรื่องในบ้านของผู้อื่นนางก็ไม่อาจคาดเดาได้นัก ทั้งยังไม่คิดว่าฮูหยินโจวจะบอกนางตรงๆ เช่นนี้ แม้จะหายข้องใจไปบ้าง แต่กลับรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา

“ดูพูดเข้าสิ ข้ามิกล้าหรอก” นางรีบกล่าว พลางยื่นมือออกมาเชื้อเชิญ “ฮูหยิน เชิญชิมน้ำชา”

ชา เชิญดื่มชา ต่างกันแค่คำเดียว แต่ความสนิทสนมแตกต่างกัน

มุมปากฮูหยินโจวปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา นางก้มหน้าขอบคุณ ก่อนจะยกชาขึ้นมาดื่มช้าๆอย่างพอใจ สองสามจิบ

“แต่ว่าช่างบังเอิญนัก นายหญิงเฉิงฝังเข็มให้นายท่านอยู่ ฮูหยินรอสักครู่ค่อยพบนางแล้วกัน” ฮูหยินเฉินกล่าว

“เช่นนั้นก็ไม่พบแล้วกัน ข้าไม่มีธุระอื่น ทิ้งของเหล่านี้ไว้ สั่งเหล่าสาวใช้เอาไว้ก็พอ” ฮูหยินโจวยิ้มกล่าว แล้ววางแก้วชาลง “นางเป็นห่วงอาการป่วยของนายท่าน ข้าพบนางแล้วอาจจะทำให้นางเสียสมาธิ อีกอย่าง มีฮูหยินคอยดูแล ข้าก็วางใจอยู่แล้ว”

รอยยิ้มของฮูหยินเฉินยิ่งชัดเจนขึ้น

“แน่นอนอยู่แล้ว ฮูหยินวางใจได้” นางเอ่ยพลางพยักหน้า

ยามนี้ม่านริมเตียงภายในห้องนายใหญ่เฉินถูกเปิดออก หน้าต่างไม้เปิดเพียงครึ่งบาน ประตูกระดาษก็แง้มเพียงครึ่งหนึ่ง สาวใช้สองคนนำดอกไม้ที่เพิ่งเด็ดจากเรือนเพาะไม้มาจัดวางในห้องโถง

กลิ่นหอมของดอกไม้อบอวลอยู่ในห้อง ผสมปนเปไปกับกลิ่นถ่านและกลิ่นยา ทำให้กลิ่นเหม็นเน่าที่เกิดจากการกินดื่มและถ่ายหนักเบาบนเตียงเนื่องจากอาการอัมพาตนั้นสลายไป

สาวใช้จัดวางดอกไม้เสร็จก็เดินย่องถอยออกไป เพราะเกรงว่าจะรบกวนคนในห้อง

เฉิงเจียวเหนียงหยิบเข็มทองเล่มสุดท้ายขึ้นมาอย่างช้าๆ

พี่น้องตระกูลเฉินที่อยู่ข้างๆ ต่างก็ช่วยกันกดไหล่และแขนของท่านพ่อเอาไว้ เนื้อตัวของทั้งสองสั่นไหวไปตามการสั่นเกร็งของผู้เป็นพ่อ

“เรียบร้อยแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว แล้วใส่เข็มทองลงไปในกล่อง

นายใหญ่เฉินลุกขึ้นมาโดยมีเฉินเซ่าช่วยพยุงไว้

“สมใจนัก สมใจนัก” เขากล่าว ยกแขนเสื้อมาเช็ดเหงื่อบนหน้า

“วันนี้กินยาแล้ว ตอนกลางวัน สามารถลองลงจากเตียง เดินสักสองสามก้าวได้” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

คนตระกูลเฉินทั้งสามต่างก็ประหลาดใจ

“สามารถลงจากเตียงได้หรือ” พวกเขาเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อหู

พวกเขาแค่ขอเพียงยื้อชีวิตเอาไว้ ไม่กล้าคิดแม้แต่ว่าจะเดินได้อีก ยิ่งไปกว่านั้นเขานอนอัมพาตไปนานเพียงนั้น จะลงจากเตียงได้เร็วเพียงนี้เชียวหรือ

“อ้อ แน่นอนว่า ไม่อยากลงจากเตียง ก็สามารถนอนบนเตียงได้” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

นายหญิงผู้นี้พูดจาแปลกประหลาด แต่ทั้งสามต่างก็คุ้นชินกันแล้ว

“ขอบคุณนายหญิง” นายใหญ่เฉินกล่าว นั่งคำนับด้วยความตื่นเต้นดีใจจนปกปิดไม่มิด

พี่น้องเฉินรีบคำนับตาม พวกเขาดีใจยิ่งนัก

ดีเสียจริง ดีเสียจริง อัศจรรย์ยิ่งนัก อัศจรรย์ยิ่งนัก!

เมื่อมองดูเสื้อผ้าที่จัดวางอยู่ในห้อง เฉิงเจียวเหนียงก็ไม่ได้พูดอะไร

สาวใช้ผายมือให้สาวใช้และแม่นมถอยออกไป ก่อนจะช่วยเฉิงเจียวเหนียงถอดเสื้อคลุมออก เสื้อชั้นในผ้าต่วนขาวข้างในเปียกชุ่มไปหมด

“นายหญิงเจ้าคะ เสื้อผ้าพวกนี้บ้านตระกูลโจวส่งมาให้ นายหญิงจะรับไว้หรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถาม

“รับ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว แล้วหันไปเหลือบมองดูบนพื้น

สาวใช้ขานรับ

เมื่อนายใหญ่เฉินอาการดีขึ้น แขกที่มาเยี่ยมบ้านตระกูลเฉินก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ

ยามป่วยหนักจะไม่มาเยี่ยมก็ไม่เป็นไร แต่หากคนป่วยอาการดีขึ้นแล้วต้องมาเยี่ยม เช่นนี้แล้วคนเยี่ยมและคนถูกเยี่ยมต่างก็ยินดี

“ฮูหยินเจ้าคะ ใต้เท้าต่งและฮูหยินมาเยี่ยมนายท่านเจ้าค่ะ” แม่นมรีบเข้ามากล่าว

ในห้องมีฮูหยินสี่ท่านนั่งอยู่ก่อนแล้ว ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะกันขึ้นมา

“ช่างบังเอิญเสียจริง พวกเขาก็มาเช่นกัน”

ฮูหยินเฉินยิ้มพลางลุกขึ้นไปต้อนรับ

ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก เมื่อวานนี้ก็มากันสองสามกลุ่มแล้ว นางยิ้มพลางรับหญิงในเรือนแล้วพาไปยังห้องโถง แม่บ้านส่งสายตาให้ ฮูหยินเฉินจึงเดินช้าลง

“ฮูหยินเจ้าคะ วันนี้แขกเหล่านี้จะกินข้าวด้วยหรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามเสียแผ่วเบา

ฮูหยินเฉินยิ้มอย่างจนใจ

“ข้าว่าพวกนางไม่ยอมกลับตอนนี้เป็นแน่” นางกล่าว

เมื่อก้าวเข้าไปในห้อง ฮูหยินต่งที่เพิ่งมาก็แสดงความยินดีเป็นอันดับแรก

“เมื่อครู่ข้าได้ไปเยี่ยมมาแล้ว นายท่านดีขึ้นมากจริงๆ” นางยิ้มกล่าว “ช่างน่าปิติยินดีอย่างยิ่ง หลังจากประสบเคราะห์ภัยใหญ่ ย่อมพบแต่ความโชคดี”

“นั่นสิ คราวนี้คงฉลองปีใหม่อย่างสบายใจได้แล้ว” คนอื่นๆ ก็กล่าวเสริม

“เอาล่ะ พวกเจ้าก็พูดมาตรงๆ เถิด นอกจากมาเยี่ยมเยียนนายใหญ่ของข้าแล้ว ยังมีธุระอันใดอีกหรือ” ฮูหยินเอ่ยพลางยิ้ม

นายใหญ่เฉินอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สามีผู้หลีกเลี่ยงการไว้ทุกข์ ความทุกข์ในใจก็หายไป ตอนนี้นางเองก็อารมณ์ดียิ่งนัก

“อยากกินนกขมิ้น” ทุกคนกล่าวอย่างพร้อมเพรียง

ฮูหยินหลุดหัวเราะออกมา

ในวันนั้นมีเพื่อนข้าราชการคนหนึ่งมาเยี่ยมนายท่าน เฉินเซ่ารั้งเขาดื่มสักสองสามแก้ว ช่วงนี้ที่บ้านชอบกินนกขมิ้นผัดพริกเกลือ จึงได้ทำมาเป็นกับแกล้ม

สหายผู้นั้นได้กินก็ถูกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ทว่าเขายังป่วยอยู่ ตนจึงมิกล้ามาชื่นชมอาหาร เพราะจะดูเหมือนว่าตนมาเพื่อกินโดยเฉพาะไป

หลังจากกลับไปเขาก็จับนกขมิ้นมาทำเองบ้าง แต่เสียดายที่ทำอย่างไรก็ไม่อร่อยเท่าของบ้านตระกูลเฉิน พอนึกถึงยามใดก็มักจะพูดให้ผู้อื่นฟังเสมอ เหล่าคนที่อยากรู้อยากลองจึงมาเยี่ยมตอนเวลาอาหาร พอได้กินสมดั่งใจหมายแล้วต่างก็ชื่นชมเป็นอย่างมาก

ฉะนั้นข่าวเรื่องคนครัวของจวนตระกูลเฉินที่ทำนกขมิ้นได้อร่อยมากก็แพร่กระจายออกไป

พออาการของนายใหญ่เฉินดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนก็ไม่นึกจะเกรงใจอีกต่อไป แม้เป้าหมายประการแรกเพื่อจะมาเยี่ยมเยียน แต่ประการสองก็คือหาเพื่อนมากินดื่ม

“มีอีกอย่าง” ฮูหยินคนหนึ่งเหมือนนึกอะไรได้ก็กล่าวอีก “จะพาไปพบหมอเทวดาที่บ้านเจ้าเชิญมาได้หรือไม่”

ใช่ๆ เมื่อเทียบกับกินอาหารแล้ว หมอเทวดาสำคัญกว่า

ก่อนหน้านี้นายใหญ่เฉินป่วยหนักเพียงใด ถึงแม้บ้านตระกูลเฉินจะไม่เปิดข่าว แต่ในเมืองหลวงแห่งนี้จะมีข่าวใดใดกันสามารถปกปิดเอาไว้ได้ ต่างก็ล่ำลือกันว่าไม่เกินสองสามเดือนนี้คงจะไม่รอดแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าพอเชิญหมอเทวดาที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดผู้นี้มาได้ จะทำให้นายท่านหายดีภายในสามวันห้าวันเช่นนี้

หมอเทวดาเช่นนี้จะต้องรู้จักเอาไว้เสียหน่อย

ฮูหยินเฉินรู้สึกลำบากใจ

“เรื่องนี้ ข้าตัดสินใจเองไม่ได้หรอก” นางกล่าว

“ไม่ได้ให้เจ้าตัดสินใจ ให้พาไปพบเสียหน่อย ในเมื่อนางเป็นหมอ ก็ย่อมต้องรับรักษาคน หรือจะหลบซ่อนตัวอย่างนั้นหรือ” ฮูหยินต่งกล่าว

ฮูหยินเฉินสีหน้าลำบากใจกว่าเดิม

“นาง เหมือนว่า ไม่ใช่หมอ” นางกล่าว

ไม่ใช่หมอหรือ แล้วเป็นอะไรเล่า

เหล่าฮูหยินในที่นั้นต่างตะลึงงัน

ฮูหยินเฉินยิ้มอย่างขมขื่น รู้สึกว่าตนก็พูดไม่ถูก

“อย่างไรก็ตาม นางไม่รับรักษา” นางกล่าว “มีคนเคยถามแล้ว แต่นางก็มักจะปฏิเสธอย่างอ้อมๆ ไป”

บอกว่าปฏิเสธอ้อมๆ ถือว่าเกรงใจแล้ว จริงๆ นางปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาเลยล่ะ

“เวลานี้นางกำลังจดจ่อกับอาการป่วยของนายท่าน เช่นนั้นก็รอให้นายท่านหายดีก่อนค่อยว่ากันก็แล้วกัน” เหล่าฮูหยินต่างเป็นคนพูดง่าย พวกนางเอ่ยพรางหัวเราะกัน

อาจจะเป็นไปได้กระมัง ฮูหยินเฉินกล่าวในใจ รักษาโรคได้ถูกผู้คนห้อมล้อมสรรเสริญ เรื่องแบบนี้น่าจะไม่มีใครปฏิเสธกระมัง

เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วก็ส่งแขกที่พออกพอใจกลับ ฮูหยินเฉินก็โล่งใจ

“ตันเหนียงเล่า” นางนึกขึ้นได้จึงเอ่ยถาม

“อยู่ที่เรือนนายหญิงเฉิงเจ้าค่ะ” แม่นมตอบ

แปลกเสียจริง นายหญิงเฉิงผู้นี้ถึงแม้จะนิ่งเงียบ แต่มักจะทำให้คนรู้สึกว่าเข้าใกล้ไม่ได้ ช่วงที่มาอยู่ที่บ้านนี้ ใครก็ไม่กล้าเข้าใกล้พูดคุยด้วย มีเพียงเฉินตันเหนียงเท่านั้นที่ไปเล่นกับนางทุกวัน

ไม่รู้ว่าเด็กอายุสิบสี่สิบห้าปีกับเด็กอายุสี่ห้าขวบจะเล่นด้วยกันได้อย่างไร

“อย่าให้นางรบกวนนายหญิงเฉิงนัก” ฮูหยินเฉินกล่าว

แม่นมขานรับ

“แล้วนายหญิงเฉิงกำลังทำอะไรอยู่” ฮูหยินเฉินเอ่ยถามอีก

สีหน้าบนใบหน้าแม่นมแปลกพิลึกไป

“กำลังทำเสื้อผ้าเจ้าค่ะ” นางกล่าว

“พี่สาว” ตันเหนียงกล่าวด้วยสีหน้ายกย่อง “พี่ช่างเก่งเสียจริง”

เฉิงเจียวเหนียงคลี่ผ้าออกบนเสื่อ กรรไกรในมือสอดไปมาอย่างคล่องแคล่ว สาวใช้ก็ช่วยเล็มด้ายอยู่ข้างๆ

“ใช่ ข้าเก่งมากเลยนะ” นางกล่าว

เหล่าสาวใช้แม่นมที่นั่งปรนนิบัติอยู่ตรงทางเดินนอกห้องเหลียวมองตากัน

เอาอีกแล้ว ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่พูดจาเข้ากันได้ดีเสียจริง

“พี่สาว วันนี้ตอนกลางวันผัดนกขมิ้นอีกแล้ว ข้ากินได้ครั้งละห้าตัวเลย” ตันเหนียงยื่นฝ่ามือน้อยๆ ออกมาแล้วกล่าว

เฉิงเจียวเหนียงเหลือบมองนาง

“ทำไม่อร่อย” นางกล่าว

“นี่ อร่อยมากเลย” ตันเหนียงจ้องตาเขม็งส่ายหัวพลางกล่าวขึ้น

“นกขมิ้น ต้องใช้นกขมิ้นที่มัดไว้” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว กรรไกรเข็มด้ายในมือก็ไม่ได้หยุดลง

“นกขมิ้นที่มัดไว้ทำไมหรือ” ตันเหนียงเอ่ยถามอย่างสงสัย

“เจ้าให้คนครัว ไปตลาด ลองดูว่า ปลาที่มัดไว้พวกนั้นทำกันอย่างไร ก็จะรู้เอง” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

ตันเหนียงส่งเสียงร้อง ‘อ้อ’

“ได้ ข้าจะจำไว้” นางกล่าวอย่างดีใจ แล้วมองดูเฉิงเจียวเหนียงแล้วกล่าวอีก “พี่สาว พี่ช่างเก่งเสียจริง”

“นั่นสิ” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าพลางกล่าวตอบ

“พี่สาว ท่านพ่อกับท่านอาพวกเขาต่างก็บอกว่าพี่เป็นหมอเทวดา พี่เป็นหมอเทวดาหรือ” ตันเหนียงเอ่ยถาม

เฉิงเจียวเหนียงหยุดมือ นั่งเหยียดตัวตรง

“ข้าคิดว่า ข้าอาจจะเหมือน แม่ครัวมากกว่า” นางก้มหน้ามองดูเสื้อนอกบนเสื่อที่ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้น “หรือไม่ก็…ช่างตัดเย็บ”

ณ ชวี๋โจว จวนซิ่วอ๋อง

ซิ่วอ๋องก็เข้าโลงฝังดินไปแล้ว แต่พิธีศพในจวนซิ่วอ๋องยังคงไม่ได้ถูกรื้อถอน

ยามค่ำคืนภายใต้โคมไฟขาว จวนซิ่วอ๋องอันกว้างใหญ่นี้สว่างไสวเหมือนดั่งตอนกลางวัน

หน้าประตูห้องหลักของพระชายาซิ่วอ๋องมีบ่าวติดตามรับใช้ยืนอยู่มากมาย

“จวิ้นอ๋อง”

เสียงคำนับทักทายลอยมาจากนอกประตูทีละเสียง บ่าวผู้ติดตามที่ยืนปรนนิบัติอยู่ย่อตัวขึ้นลงเหมือนดั่งคลื่นทะเล

เด็กหนุ่มที่สวมชุดขาวไว้ทุกข์ ผูกผ้าขาวเดินสาวเท่าเข้ามาก้าวใหญ่ ชายเสื้อของเขาโบกสะบัด รูปร่างกำยำ หน้าตาเคร่งเครียด เบ้าตาแดงก่ำ สีหน้าดูเป็นกังวล

สาวใช้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงทางเดินยื่นมือมาเลื่อนประตูกระดาษ แสงมุกมรกตภายในห้องเล็ดรอดออกมา

เด็กหนุ่มก้าวเท้าเข้าในห้อง

“จวิ้นอ๋อง”

ในห้องมีเหล่าชายหญิงนั่งอยู่สองแถว บ้างก็อายุน้อย บ้างก็สูงอายุ ทุกคนต่างสวมชุดไว้ทุกข์อยู่บนร่างกาย นั่งเหยียดตัวแล้วคำนับอย่างพร้อมเพรียง

……………………………………