บทที่ 100: สิ่งที่ไม่คาดคิด (2)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 100: สิ่งที่ไม่คาดคิด (2)

เพี้ยะ!!

แส้สีทองฟาดลงไปกลางอากาศพร้อมกับเสียงคำรามอันแผ่วเบาของมังกร ดวงตาขอฉินเย่เบิกกว้างขึ้น และรีบยกแขนทั้งสองข้างมาป้องกันการโจมตีอันทรงพลังที่กำลังจะมาถึง

เพี้ยะ…แส้สีทองได้สร้างรอยแดงไว้ทั่วแขนของเด็กหนุ่ม ฝุ่นตลบอบอวลไปทั่ว หลังจากกลุ่มฝุ่นควันสลายไป เขาก็พบว่าตัวเองเพิ่งถูกกระแทกจนกระเด็นออกมาไกลนับสิบเมตร!

อะไรกันเนี่ย?!

“นี่คุณยังคิดจะออมมืออยู่อีกเหรอ? ดี ผมจะรอดูว่าคุณจะทนต่อไปได้อีกสักกี่น้ำ!!” ฉินเย่กำลังตกตะลึงเป็นอย่างมาก ในขณะที่หลินฮั่นนั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว และด้วยความโกรธนั้น ร่างของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ทิ้งไว้เพียงภาพราง ๆ ที่เกิดขึ้นในอากาศจนดูคล้ายกับมีคนจำนวนมากกำลังโจมตีฉินเย่จากทุกทิศทางพร้อมกัน

“เจ็ดดาราสะท้อนดวงเดือน หลินฮั่นไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในด้านใดเป็นพิเศษหรือสืบสายเลือดมาจากที่ไหน และเขาก็เจอม้วนคัมภีร์โบราณที่น่าจะถูกทิ้งไว้โดยนิกาย หนึ่งจากเมื่อ 1,200 ปีก่อนเข้าโดยบังเอิญ ดูเหมือนว่าเขาจะฝึกฝนมันมาอย่างดีทีเดียว” รอยยิ้มสวี่อันกั๋วได้หายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วขณะที่เขาจ้องมองไปยังเวทีประลองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“S9527… ความสามารถของเขาไม่น่าจะมีเพียงแค่นี้”

“นั่นสิครับ หากเขามีความสามารถเพียงเท่านี้ มันย่อมไม่มีทางที่เขาจะสามารถทำลายเขตไล่ล่าทั้งเก้าเขตได้ภายในคืนเดียวได้ พวกเราต่างก็ได้ตรวจสอบเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง และได้ยืนยันแล้วว่าเป็นเด็กคนนี้จริง แต่หากพูดตามความจริงแล้วความสำเร็จในครั้งนั้น ทำให้เขาอยู่เหนือกว่าคนอื่น ๆ ในรุ่นเดียวกันก็ไม่ได้กล่าวเกินจริงไปนัก” หลี่เทาลูบเคราของตัวเองขณะที่ขมวดคิ้วยุ่ง

“เว้นแต่ว่า…”

ทั้งสองต่างสบตากันและกันขณะที่ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว การต่อสู้ตรงหน้าเป็นเพียงการจัดฉาก!

กล้าตีอย่างไรถึงมาจัดฉากแสดงต่อหน้าผู้อำนวยการอย่างพวกเขาทั้งสอง?

นี่เด็กพวกนี้ต้องการจะก่อความวุ่นวายอย่างนั้นเหรอ?!

ไม่เพียงแต่ชายสูงวัยทั้งสองเท่านั้นที่ประหลาดใจ แต่คนอื่น ๆ ที่นั่งชมอยู่ในตอนนี้เองก็งุนงงเช่นกัน

พวกเขารู้ดีว่าหลินฮั่นแข็งแกร่งแค่ไหน แต่อาจารย์ฉินเย่ ผู้ซึ่งมีข่าวลือว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเด็กรุ่นใหม่กลับถูกต้อนให้จนมุม และทำได้เพียงป้องกันตัวอย่างนั้นน่ะหรือ?

“เป็นไปได้อย่างไร…” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเอ่ยออกมา “นี่เขา…กำลังออมมือให้คู่ต่อสู้อยู่งั้นเหรอ? หรือว่าเขาไม่ได้เป็นแบบที่ข่าวลือว่า?”

“ผมก็ไม่รู้เช่นกัน…” ชายที่ยืนข้าง ๆ เธอมองภาพตรงหน้าด้วยปากที่อ้าค้าง “ทั้งหมดที่ผมเห็นก็คือคุณฉิน…แทบจะไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ด้วยซ้ำ…”

ฉินเย่ไม่ได้รับรู้ถึงความคิดของคนพวกนี้เลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำได้เพียงสบถออกมาขณะที่ มองไปยังร่างทั้งเจ็ดที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อร่างทั้งหมดพุ่งตรงมาหาเขาพร้อมกัน

นายไปเรียนเทคนิคแปลกประหลาดพวกนี้มาจากที่ไหนกัน?! ให้ตายร่างจริงมันคือร่างไหนกันเนี่ย!!

มันเป็นเรื่องยากมากที่จะแยกตัวจริงออกจากตัวปลอมทั้งหมด การโจมตีของอีกฝ่ายดังขึ้นพร้อมกัน และทั้งกำปั้น ข้อศอก เข่า และลูกเตะของพวกมันก็ล้วนมุ่งไปที่จุดตายของเขาทั้งสิ้น ทุกการเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับสายฟ้า แทบจะเหมือนกับเทพสงครามทั้งเจ็ดที่มีอาวุธครบมือไม่มีผิด

ฉินเย่ไม่กล้าที่จะดึงกระบี่ปีศาจของเขาออกมา ก่อนหน้านี้เขาอาจจะสามารถหลอกพวกคนในทีมเปลวเพลิงได้ แต่การที่มีผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำอยู่รอบ ๆ แบบนี้เขาก็ยากที่จะปิดบังตัวเองได้

และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าโจวเซียนหลงกำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในความมืดที่ไหนสักแห่งหรือไม่ เมื่อใดก็ตามที่การปลอมตัวของเขาเกิดผิดพลาดเพียงเล็กน้อย แผนที่เขาวางมาทั้งหมดคงจบเห่แน่ ๆ

ทำยังไงดี?

ด้วยความคิดที่ซับซ้อนนับไม่ถ้วนในหัว มันไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถป้องกันการโจมตีที่กำลังจะมาถึงได้ แต่…ทางสำนักจะคิดอย่างไรที่คนอย่างเขา ผู้ที่สามารถทำลายเขตไล่ล่าทั้งเก้าเขตได้ภายในคืนเดียว…กลับทำได้เพียงป้องกันการโจมตีของหลินฮั่น? ไม่ใช่ว่าคนพวกนั้นจะมอบหมายพวกเด็กที่อยู่คลาส C ให้เขาและกีดกันเขาออกจากผลประโยชน์ที่จะมาพร้อมกับตำแหน่งหัวหน้าของแต่ละสาขาหรอกเหรอ?

หลินฮั่น…รอก่อนเถอะ วันที่นายตายจะเป็นวันที่ฉันลงโทษนายโดยการให้ไปทำงานหนักตลอดชีวิต!!

ขณะที่ความคิดพวกนี้กำลังวนเวียนอยู่ในหัว ร่างทั้งเจ็ดก็มาถึงตรงหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว ฉินเย่สูดหายใจเข้าลึก ๆ และทันใดนั้น…พลังปราณที่รุนแรงก็ระเบิดออกมา

มันดูเหมือนกับหมอกขาวที่ค่อย ๆ กระจายไปรอบ ๆ บริเวณ

ภายในเวลาเพียงเสี้ยวนาที หมอกขาวตรงหน้าสลายหายไป เผยให้เห็นภาพของฉินเย่ยืนอยู่ท่ามกลางทุกสิ่งพร้อมกับสอดมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋ากางเกง สีหน้าของเด็กหนุ่มนิ่งเรียบ เขาเหลือบไปมองหลินฮั่นและเอ่ยว่า “นี่คือทั้งหมดที่นายมีแล้วงั้นเหรอ?”

ไม่มีใครเห็นเลยว่ามือที่อยู่ในกระเป๋าของเขากำลังสั่นเทา

ให้ตายเถอะ…ทำไมถึงโหดขนาดนี้? นี่ผู้ฝึกตนทั้งหมดในโลกมนุษย์เป็นเหมือนนายหรือเปล่า? แล้วทำไมครั้งที่แล้วนายถึงทำอะไรวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณไม่ได้เลยสักนิด ทำให้ต้องดิ้นรนต่อสู้ไปเกือบครึ่งชั่วโมง? นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย!

สายตาของหลินฮั่นในเวลาเย็นยะเยือก เขากัดปากตัวเองอย่างไม่พอใจนัก “แม้แต่เจ็ดดาราสะท้อนดวงเดือนก็ไม่สามารถทำอะไรคุณได้…”

“ถ้าอย่างนั้น…” ใบหน้าของฉินเย่ยังคงนิ่งสงบขณะที่เขาแสดงสีหน้าเหนือกว่าที่บอกเป็นนัยว่า ทำไมนายถึงยังไม่ยอมแพ้ไปอีก?

หลินฮั่นที่เห็นเช่นนั้นถอนหายใจออกมา “ทั้ง ๆ ที่ผมไม่คิดที่จะใช้วิชานี้เลยแท้ ๆ…”

ฟึ่บ…ทันทีที่เอ่ยจบ พลังปราณที่อยู่โดยรอบก็เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของเขาราวกับมังกร ชุดลายพรางที่เขาสวมอยู่กระพืออย่างรุนแรง

เดี๋ยวก่อนนะ…

นี่นายยังมีอีกเหรอ?!

ยังไม่หมดอีกหรือไง?!!

สีหน้านิ่งเรียบของฉินเย่ชะงักไป เม็ดเหงื่อไหลลงมาตามสันกราม จากนั้น ขณะที่พลังปราณในร่างของหลินฮั่นจะระเบิดออกมา เด็กหนุ่มก็เอ่ยนิ่ง ๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้น…ผมก็คงต้องขอยอมแพ้”

พรึ่บ….พลังปราณที่อยู่รอบ ๆ ร่างของหลินฮั่นสลายไปราวกับลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม เขามองฉินเย่ด้วยสายตาเหลือเชื่อ

ด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าและคำสบถมากมายในใจ ฉินเย่พยักหน้าให้กับอีกฝ่ายและเอ่ยว่า “ไม่เลว”

“ดูเหมือนว่าฝีมือของคุณจะพัฒนาการขึ้นจากครั้งล่าสุดที่เราเจอกัน แขนของผมยังชาจากการโจมตีเมื่อครู่อยู่เลยนะเนี่ย”

ใบหน้าของหลินฮั่นเปลี่ยนเป็นแดงก่ำเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเอ่ยลอดไรฟันว่า “ผมไม่ได้ต้องการให้คุณออมมือให้!! การแข่งครั้งนี้ไม่นับ! เริ่มใหม่อีกครั้ง!!”

นายยังจะไปจบอีกเหรอ?!

“ไม่ แพ้ก็คือแพ้ คุณชนะแล้ว” ฉินเย่ยิ้มขณะที่เดินลงจากเวที โดยรักษาเกียรติและชื่อเสียงของตัวเองเอาไว้ได้

เขาไม่สนใจดวงตาที่เบิกกว้างหลายสิบคู่ที่กำลังจับจ้องมาที่ตนจากผู้ชมที่นั่งดูอยู่เลยสักนิด

“น่าสนใจ” หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ หลี่เทาก็ยิ้มออกมาอ่อน ๆ “วิธีการคิดของอาจารย์ฉิน…ค่อนข้างไม่เหมือนใครดี”

“อาจารย์หลินเป็นผู้ชนะ” เขาประกาศผู้ชนะด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างคลุมเครือ “แต่อาจารย์ฉิน ผมหวังว่าคุณจะไม่รู้สึกเสียใจกับความถ่อมตัวของคุณในวันนี้นะ”

ฉินเย่ยังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า

แน่นอน เขาเสียใจสุด ๆ ไปเลยล่ะ! แต่เสียใจไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เงื่อนไขเบื้องต้นก็คือเขาจำเป็นจะต้องเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ต่างหาก!

แล้วทำไมเขาถึงต้องช่วยผู้ฝึกตนขั้นนักล่าวิญญาณคนอื่นด้วยเล่า?

สวี่อันกั๋วยิ้มบาง ๆ และเอ่ยว่า “อาจารย์ฉินได้แสดงให้เราได้เห็นถึงจิตวิญญาณแห่งความสามัคคีและมิตรภาพ หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าผู้เฒ่าหลี่และผมได้เห็นความน่าทึ่งของคุณในการทำลายเขตไล่ล่าทั้งเก้าเขตในคืนเดียวด้วยตัวเองแล้วละก็ การแสดงของคุณในวันนี้พวกเราก็อาจจะโดนหลอกเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม…เมื่อเป็นเรื่องของการฝึกตน คุณก็ควรที่จะต่อสู้เพื่อสิ่งที่คู่ควร”

ทว่าฉินเย่ยังคงแย้มยิ้มไม่เปลี่ยน

ทันใดนั้น ร่างที่ดูมืดมนและสูงใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา

ใบหน้าของหลินฮั่นขาวซีด เขาจ้องหน้าฉินเย่เป็นเวลานานก่อนจะถามว่า “คุณกำลังดูถูกผมอยู่งั้นเหรอ?”

เปล่า…ที่ฉันทำอย่างนั้นเพราะฉันเห็นคุณค่าของนายจริง ๆ ต่างหาก…

“คุณพูดเรื่องอะไร?” ฉินเย่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าอย่างนั้น ทำไมคุณถึงไม่ยอมสู้กับผมดี ๆ?” อกของหลินฮั่นกระเพื่อมขึ้นลงอย่างหนักหน่วงขณะที่ตะโกนถามว่า “หรือว่าผมไม่ควรค่าพอที่คุณจะใช้กระบี่ด้วย?”

“กระบี่ของคุณอยู่ไหน? กระบี่ที่คุณใช้ในการกำจัดภูตผีขั้นนักล่าวิญญาณในคืนนั้น! เมื่อครู่คุณใช้แรงไปเพียงสิบส่วนเอง! เลิกโกหกผมได้แล้ว!”

ฉันไม่ได้หลอกนายโว้ย!!

รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเย่ ค่อยหายไป เขาก็พึมพำเบา ๆ ว่า “คุณต้องการอะไรกันแน่?”

“ไม่ว่าจะยังไงพวกเราต่างก็เป็นคนรู้จักกัน และผมก็ไม่ได้สูญเสียอะไรอยู่แล้ว….” เขากัดฟันแน่นแล้วจึงถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “ผมไม่อยากจะแสดงความแข็งแกร่งของตัวเองก็เพราะว่าผมอยากจะฝากความหวังไว้ที่คุณ”

“คุณ…”

“หลินฮั่น!” เสียงของฉินเย่ดังขึ้นกว่าเดินขณะที่เอ่ยออกมาอย่างจริงใจ “กระบี่ของผมมีไว้ใช้กำจัดวิญญาณอาฆาตเท่านั้น”

“เลือดจะต้องหลั่งรินเมื่อมันถูกดึงออกมาจากฝัก”

“ผมไม่อยากทำให้คุณต้องเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเอง”

หลินฮั่นกัดปากของตัวเองจนแทบจะมีเลือดซิบออกมา จากนั้นเขาจึงหันหลังและเดินจากไปโดยไม่เอ่ยอะไรอีก

ฉินเย่ยังคงยืนอยู่ที่เดินขณะที่เขาได้รับสายตาที่ซับซ้อน จากทั่วทุกมุมของที่นั่งคนดู จังหวะการพูดของเขาก่อนหน้านี้สมบูรณ์แบบมาก เขาเกือบจะสูญเสียการควบคุมตัวเองไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะทักษะในการแสดงของเขาเองก็สมบูรณ์แบบไม่แพ้กัน

พระเจ้า!!!!!…ในที่สุดก็รอดมาได้…

แต่…มันก็ยังเหลือการแข่งกันอีกรอบที่ต้องผ่านไปให้ได้…

อาจารย์ทั้งห้าคนถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม และคนสุดท้ายก็ถือว่าปล่อยผ่าน ซึ่งในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เขายังต้องทำการแสดงอีกครั้งก่อนจึงจะสามารถผ่านการแข่งขันที่น่าอึดอัดนี้ไปได้

การแข่งขันที่ติดต่อกันนี้ถือได้ว่าเป็นบททดสอบความสามารถในการแสดงของเขาอย่างแท้จริง

การต่อสู้รอบถัดไปคือการต่อสู้ระหว่างซู่เฟิงและหลี่หยุนเซวี่ย ฉินเย่จะต้องแข่งกับผู้แพ้ของรอบนั้น หากเขาชนะ เขาก็ยังต้องสู้กับผู้ชนะในรอบเดียวกันนั้นด้วย จากนั้นก็สู้กับหลินฮั่น ก่อนที่จะได้เผชิญหน้ากับโจวฉินเฟิ่น ผู้ที่ดวงดีเพียงหนึ่งเดียวคนนั้น

มันเป็นระบบการคัดออกแบบสองต่อ

การต่อสู้ระหว่างซู่เฟิงและหลี่หยุนเซวี่ยนั้นน่าตื่นเต้นกว่าการต่อสู้ของฉินเย่มาก ทั้งสองต่างรู้ความสามารถของกันและกันเป็นอย่างดี และแต่ละการโจมตีที่ถูกปล่อยออกไปล้วนมุ่งไปที่จุดอ่อนของอีกฝ่าย การแลกเปลี่ยนการโจมตีของทั้งคู่นั้นรวดเร็วและเต็มไปด้วยพลังปราณที่รุนแรงจนทำให้ฉินเย่ตกใจกลัว

ผู้ฝึกตนของแดนมนุษย์น่ากลัวเกินไปแล้ว…เราเอาชนะคนพวกนี้ไม่ได้…ชนะไม่ได้แน่

ทำไมถึงไม่แข่งกันกำจัดภูตผีแทนนะ?

ท้ายที่สุด หลี่หยุนเซวี่ยก็สามารถเอาชนะซู่เฟิงมาได้อย่างหวุดหวิด

“เกือบไปแล้วนะ” หลี่หยุนเซวี่ยประสานกำปั้นและฝ่ามือ ทำความเคารพซู่เฟิง ร่างของเธอในเวลานี้เต็มไปด้วยบาดแผล ซู่เฟิงที่เห็นเช่นนั้นเพียงส่ายศีรษะไปมาเบา ๆ ปรับแว่นตาของตัวเอง และจึงหันไปมองทางฉินเย่

ฉินเย่รีบก้มหน้าลงทันที

หันกลับไปซะ!

อย่ามองฉันแบบนั้น!

เขาสามารถบอกได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่!

“ฉินเย่” น่าเศร้า ซู่เฟิงไม่สามารถได้ยินเสียงโอดครวญภายในจิตใจของฉินเย่ได้ เขาจึงเอ่ยต่อว่า “ผมหวังว่าจะได้เห็นคุณใช้กระบี่ในรอบถัดไปนะ”

ฮ่า ๆๆๆๆ…ไม่มีทาง

เมื่อซู่เฟิงกระโดดลงจากเวทีเพื่อไปพัก คนทั้งหมดในที่นั่งของผู้ชมต่างก็หันไปมองฉินเย่ด้วยสายตาคาดหวัง และนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มกัดฟันกรอด

“เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกนายทั้งหมดตาย…ฉันจะทำให้มั่นใจเลยว่านรกทั้ง 18 ขุมกำลังรอพวกนายอยู่!!”

ในอีกด้านหนึ่ง ซู่เฟิงกลืนบางสิ่งบางอย่างและนั่งลงเพื่อพักผ่อน หลังจากผ่านไปสิบนาที หลี่เทาก็ส่งยิ้มให้เขาและถามว่า “พร้อมหรือยัง?”

“พร้อมครับ” ซู่เฟิงพยักหน้าอย่างหนักแน่น

“ผมเองก็ตั้งตารอดูการต่อสู้ของคุณเหมือนกัน” หลี่เทาเหลือบตามองฉินเย่ “อาจารย์ฉินได้ใช้กระบี่ของเขาในคืนนั้น อันที่จริง พลังของเขาเองก็หนาแน่นและทรงพลังจนวิญญาณอาฆาตเกือบทุกตนสลายไปด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว หากคุณสามารถทำให้เขาใช้กระบี่ของตัวเองได้ ผมเชื่อว่ามันจะเป็นการต่อสู้ที่เปิดหูเปิดตาให้พวกเราทุกคนเป็นอย่างมาก”

ฉินเย่แทบจะไม่สามารถคงรอยยิ้มบนหน้าของเขาเอาไว้ได้อีกต่อไป

เราไม่ควรสู้…

ซู่เฟิงนั้นอ่อนแอกว่าหลินฮั่นมาก และเขาก็มีโอกาสที่จะคว้าชัยชนะมาได้หากเขาต่อสู้กับอีกฝ่ายจริง ๆ หากแต่…

นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับ S ที่ทำลายเขตไล่ล่าทั้งเก้าเขตได้ภายในคืนเดียวกับเจ้าหน้าที่ระดับ S ที่ดิ้นรนอย่างหนักเพื่อที่จะอยู่รอดในการแข่งขัน นี่…เป็นการต่อสู้ที่เขารู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก!

“อาจารย์ฉิน คุณ…” ก่อนที่หลี่เทาจะเอ่ยจบ ฉินเย่ก็ยกมือขึ้นและเอ่ยแทรกขึ้นว่า “ผมขอยอมแพ้”

ผู้ชมทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบ

ซู่เฟิงเก็บแว่นที่ตกของตัวเองขึ้นมาและมองไปยังฉินเย่ราวกับเขาเพิ่งเห็นผี “ไม่…นี่คุณไม่คิดจะลองสู้ดูเลยเหรอ? ผมเป็นคู่ต่อสู้ที่จัดการได้ง่ายมากเลยนะ ทั้งผอมแห้งและแรงน้อย ทำไมคุณถึงไม่ลองดูสักหน่อยล่ะ? คุณอาจจะเอาชนะผมได้ด้วยการผลักเบา ๆก็ได้…”

เขาเองก็ไม่สามารถทำให้คนตรงหน้าดึงกระบี่ออกมาได้จริง ๆ น่ะหรือ?

“ไม่จำเป็น” ฉินเย่โบกมืออย่างไม่ได้สนใจนัก “คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผมหรอก”

“อาจารย์ที่ไม่สามารถแม้แต่จะจัดการกับวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณ และยังต้องให้ผมตามไปช่วยในภายหลัง…ผมไม่จำเป็นจะต้องมาเสียเวลาที่นี่”

“ท่านรอง กรุณาประกาศไปได้เลยครับ”

ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไร หลี่เทาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

หากประโยคหน้าคือ “คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผมหรอก” ไม่ใช่ว่าประโยคที่ตามมาควรจะเป็น “ทำไมคุณไม่รีบยอมแพ้ไปล่ะ?” หรอกหรือ?

ทำไมเขาถึงประกาศ ‘ยอมแพ้’ ออกมาตรง ๆ แบบนี้?

มีอะไรบางอย่างผิดไป?

แต่หากพิจารณาทุกสิ่งที่อาจารย์ฉินได้พูดไปก่อนหน้านี้ ก็ดูเหมือนว่าทุกคนจะเข้าใจได้

ซู่เฟิงที่ได้ยินเช่นนั้นพลันหน้าแดงก่ำ สิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริง และเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธคำขอนั้นได้

“อาจารย์ฉิน…” สวี่อันกั๋วเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยต่อ “คุณจะไม่ลองพิจารณาการตัดสินใจของตัวเองใหม่อีกครั้งหรือ?”

ฉินเย่ส่ายหน้ายืนกราน “ไม่ครับ”

เขาไม่เหลือความสนใจในการแข่งขันนี้อีกแล้ว!

แต่สำหรับคนอื่น ๆ คำพูดของเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นมีความหมายว่า ‘ที่ผมสูญเสียความสนใจในการต่อสู้ก็เพราะว่าพวกคุณทั้งหมดมันอ่อนแอเกินไป’

“มันจะเกินไปแล้วนะ” อาจารย์ผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังถือกริชอยู่ในมือขมวดคิ้วเข้าหากัน “เอาจริงหรือ? เขาจะออมมือให้ซู่เฟิงเหมือนกันเนี่ยนะ?”

“จะเป็นอะไรไปได้อีกล่ะ?” ชายวัยกลางคนที่มีรูปหน้าทรงเหลี่ยมส่ายหน้าไปมา “ฉันได้ยินข่าวมาว่าเขาใช้การโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียว…และวิญญาณอาฆาตที่อยู่ขั้นนักล่าวิญญาณทั้งหมดก็ถูกกำจัดทันที ไม่มีวิญญาณดวงใดเหลือรอดไปได้ ไม่อย่างนั้นนายคิดว่าทำไมผู้แข่งขันคนอื่น ๆ ถึงต้องการที่จะสู้กับเขากันล่ะ?”

“พลังว่าพลังที่ห่างชั้นเกินไป จนทำให้เขาหมดความสนใจที่จะแข่งต่อแล้วอย่างไรล่ะ”

“ใช่…” อาจารย์ผู้หญิงอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจ “มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะทำให้คุณสามารถทำอะไรบ้า ๆ แบบนี้ได้”