หวังจงอวี้เข็นรถเข็นโดยมีผ้าแดงหลายเส้นอยู่ในมือ

ผ้าสีแดงตัดมาจากเสื้อกันหนาวตัวนอกของภรรยาเขา

เขาเดินเก็บผ้าสีแดงมาตลอดทาง

ตอนนี้ลูกสะใภ้คนเล็กของยายหวังใช้เสื้อคลุมอยู่ด้านนอกเป็นเสื้อกันหนาวเล็กของป้าใหญ่ซ่งฝูเซิง

ท่านป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงเป็นคนที่ค่อนข้างตระหนี่

เมืองจวินโจวก่อนหน้านี้ พวกผู้ดีชนชั้นสูง ถามคนอื่นๆ ว่ามีเสื้อคลุมกันหนาวหรือไม่? บางคนมีแล้วก็บอกว่ามี ไม่เอาเพิ่มแล้ว หรือบางคนมีแต่เสื้อกันหนาวขาดๆ ไม่สามารถให้ความอบอุ่นได้ ถึงยื่นมือไปรับกับพวกผู้ดีเหล่านั้น กลับมาก็เอาเสื้อกันหนาวตัวเก่านั้นทิ้งไป

แต่ท่านป้าคนนี้ไม่ทำเช่นนั้น นางคิดว่าถ้าโยนทิ้งเสื้อไว้กลางทาง เมื่อได้ลงหลักปักฐานมีบ้านอยู่แล้วก็ต้องมีเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนสวมใส่เวลานำไปซัก นางจึงไม่ได้ทิ้งเสื้อกันหนาวตัวเก่าดังนั้นนางจึงสวมเสื้อสองตัวทับกัน

เสื้อกันหนาวตัวเล็กสวมไว้ด้านใน ตามด้วยเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ใส่คลุมไว้ด้านนอก รู้สึกร้อนก็ยังดีกว่าหนาวมากนัก

ยังดีที่ป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงสวมเสื้อผ้าสองชิ้น อีกชิ้นหนึ่งสามารถแบ่งมาให้ลูกสะใภ้คนเล็กของยายหวังได้ มิฉะนั้นนางคงจะหนาวจนเย็นชา แต่เสื้อกันหนาวที่คลุมด้านนอกก็ไม่มีส่วนที่บังลมได้

ซ่งฝูเซิงเข็นรถ ด้ามจับรถเข็นเปื้อนเลือดของเขา

ด้ามจับรถเข็นเปื้อนเลือดที่มือของเขา ตามแขนก็มีเลือดไหลออกมา

วันนี้เขาและทุกคนไม่ได้โชคดีเหมือนเช่นเมื่อวาน

ในด้านหนึ่ง การหาถั่วเมล็ดสนที่สุกบนต้นไม้นั้นหาไม่ได้ง่ายเหมือนเมื่อวาน จำเป็นต้องเดินเข้าป่าลึกขึ้น อีกด้านหนึ่ง เขาพลัดตกลงมาจากต้นไม้สองครั้งแล้ว ทำให้มีบาดแผลตามมือและแขน บาดแผลเก่าที่เมื่อก่อนโดนมีดที่หัวไหล่ แผลก็ปริออกอีก ชายคนอื่นที่ปืนขึ้นไปบนต้นไม้ต่างก็ได้รับบาดแผลกันมาบ้างไม่มากก็น้อย

เฉียนเพ่ยอิงมีรอยดำบนใบหน้า เหนื่อยล้าจนเหงื่อออกเต็มหน้า ตอนทำงานก็ใช้แขนเช็ด ตอนนี้ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยโคลน นางช่วยสามีเข็นรถและพร่ำบ่นไปตลอดทาง

“เจ้าช่างใจร้ายนัก ทำไมถึงไม่ทิ้งเงินไว้ให้ลูกแม้แต่เหวินเดียว ข้ากลัวว่าลูกจะหิวทั้งวัน ในท้องคงไม่มีน้ำอะไรแล้ว ลูกสาวกับหมี่โซ่วจะทนอยู่ได้อย่างไร ทำไมถึงไม่ทิ้งเงินไว้ให้ลูกแม้แต่เหวินเดียวนะ”

นางบ่นไปบ่นมา

“อย่าบ่นอีกเลย เห็นบ่นตั้งแต่ฟ้าสางจรดค่ำ ก็ยังไม่เปลี่ยนคำบ่น…

…ข้าได้ยินเจ้าบ่นไปบ่นมา จนข้าจะหายใจไม่ออก…

…ลูกของพวกเราเฉลียวฉลาด นางขายถั่วเมล็ดสนไม่ได้และขายเห็ดมัตสึตาเกะไม่ได้เลยหรือ? ขายไม่ได้ราคาสูงก็ยังลดราคาลงได้นี่?…

…ในหนึ่งวัน ถนนหลวงยังมีเกวียนหลายคันผ่านมา คนที่มีฐานะถึงจะรู้จักสิ่งนี้ดี…

…นอกจากนี้ ลูกสาวของพวกเรามีไหวพริบดี เพียงแต่นางขี้เกียจจะใช้มัน เชื่อใจนางได้ นี่ข้ากำลังฝึกฝนนาง…

…ช่างเถอะ ถึงแม้ไม่ทิ้งเงินไว้ให้ลูกแม้แต่เหวินเดียวและขายถั่วเมล็ดสนกับเห็ดมัตสึตาเกะไม่ได้ นางก็รู้จักติดเงินค่าข้าวกับเถ้าแก่ก่อนได้…

…ติดเงินค่ากินแล้ว คนเป็นพ่ออย่างข้ากลับไปก็จ่ายเงินแทนพวกนาง ใครจะติดเงินแล้วไม่จ่ายกันละ!”

เมื่อพูดเช่นนี้แล้ว ภรรยาของเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย

แต่สองมือของซ่งฝูเซิงก็ออกแรงผลักรถเข็นอย่างเต็มที่ สองเท้าก็ก้าวยาว มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ในใจตัวเองดีว่าเป็นห่วงพวกเด็กๆ เพียงใด

แท้จริงแล้วตอนเช้าเขาออกเดินไปไม่กี่ลี้ก็รู้สึกผิดแล้ว

เขาต้องการฝึกฝนให้ลูกสาวไม่เป็นคนขี้เกียจ อย่าขี้เกียจใช้สมอง อย่ามัวแต่นอนโดยไม่คิดจะทำอะไรเลย เขาต้องการดึงความสามารถของลูกสาวออกมา เฮ้อ ทำไมถึงต้องมาดึงความสามารถกันตอนนี้นะ? ลูกสาวของเขายังเล็กอยู่ ตอนนั้นเขารู้สึกเสียใจจนเกือบจะหันหลังกลับไปส่งเงิน

ซ่งฝูเซิงใช้ท่อนแขนปาดเหงื่อบนหน้าผาก เขาหันหลังตะโกนถาม “จะหยุดพักกันก่อนไหม?”

ทุกคนเดินต่อเนื่องกันมาอีกหลายสิบลี้

ซ่งหลี่เจิ้งที่อยู่ด้านหลังถามกลับไป “ต้องเปลี่ยนทิศเส้นทางเดินอีกแล้วหรือ?”

“ไม่ใช่นะ ลุงหลี่!”

“ถ้างั้นเรื่องอะไรกันละ?”

“ไม่มีเรื่องอะไร ลุงหลี่!”

ซ่งหลี่เจิ้งครุ่นคิด ไม่มีเรื่องอะไร ถ้างั้นเจ้าจะหยุดพักทำไม “ฝูเซิง รีบเดินกลับเถอะ ทุกคน พวกเด็กๆ รอพวกเราอยู่ที่โรงเตี๊ยม ออกแรงเดินหน่อย!”

ชายทั้งหลายต่างออกแรงเข็นรถแต่ละคันกันอย่างเต็มที่ เหนื่อยแทบตายก็ไม่ยอมหยุดพัก

พวกผู้หญิงที่แบกตะกร้ากับถุงกระสอบต่างช่วยเหลือกันนำถุงกระสอบหรือตะกร้าวางพาดบนบ่า เพื่อจะได้ประหยัดเรี่ยวแรง

ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ยอมเสี่ยงตายเพื่อหาเงิน พวกผู้ชายปีนขึ้นไปเก็บลูกสนจนตกลงมาหลายครั้งหลายคราจนเกือบตาย บนร่างกายมีแต่ร่องรอยบาดแผล พวกผู้หญิงก็กะเทาะเอาถั่วเมล็ดสนออกมาจนมือจะด้าน ก็เพื่อต้องการให้พวกเด็กๆ มีข้าวกิน มีที่พักแรมในวันพรุ่งนี้

ทั้งวันไม่ได้เจอหน้าพวกลูกๆ ของตนเอง ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีข้าวกินหรือไม่

เดินต่อไปอีกไม่กี่ลี้ก็เจอพวกเด็กๆ แล้ว จะไม่ให้อดทนเดินต่อไปได้อย่างไร

เที่ยงคืนกับอีกสิบนาที มีเสียงล้อรถเข็นดังมาจากถนนหลวง

เสี่ยวอู๋รีบวิ่งกลับเข้ามาจากประตูหน้า “เถ้าแก่ พวกเขากลับมากันแล้ว”

เถ้าแก่รู้สึกโล่งใจ เขาคลุมเสื้อคลุมเดินออกไปยังห้องครัวเพื่อเรียกเสี่ยวเอ้อร์สองคนที่เข้ายาม ให้ช่วยก่อไฟต้มน้ำร้อน อุ่นน้ำซุปกับอาหารแห้ง

เดิมทีพวกซ่งฝูเซิงจะต้องไปจอดรถ เมื่อจอดรถเสร็จแล้วก็ต้องนำกระสอบถั่วเมล็ดสนแต่ละกระสอบมาวางไว้รวมกันให้ดี เพื่อไม่ให้ขัดขวางเส้นทางการเดินทางของแขกคนอื่นๆ แต่เมื่อรถเข็นเพิ่งเข็นมาถึงหน้าโรงเตี๊ยม ยังไม่ทันจะเข็นไปหลังเรือน เสี่ยวอู๋ก็วิ่งเข้ามาขวางทางไว้ก่อน

“เที่ยงคืนแล้ว ไม่มีใครผ่านมาหรอกและไม่มีใครจะมาเอาสิ่งของของพวกเจ้าทั้งนั้น ซ่งถงเซิง เพื่อนบ้านทั้งหลายเข้ามากันก่อน กระหายน้ำแล้วละสิ? เข้ามาดื่มน้ำอุ่นๆ กันก่อน หลังจากนั้นค่อยกินข้าวกัน”

เสี่ยวอู๋ดึงแขนซ่งฝูเซิงไม่ยอมปล่อย จะต้องให้เขาเข้าไปในโรงเตี๊ยมให้ได้

ซ่งฝูเซิงงุนงง ไม่ได้เจอกันแค่หนึ่งวัน ทำไมถึงต้อนรับขับสู้ดีขนาดนี้?

เมื่อมาอยู่ในสถานที่ที่มีแสงสว่าง เสี่ยวอู๋ก็พูดขึ้นมาอย่างตกใจ “โอ้ ซ่งถงเซิง เจ้าบาดเจ็บหรือ? ยังมีใครที่บาดเจ็บอีก? ในร้านมีผ้าพันแผล เดี๋ยวข้าไปหามาให้พวกเจ้าพันแผล”

เสี่ยวอู๋ต้อนรับพวกเขาเข้ามาในโรงเตี๊ยมอย่างดี ทำให้ทุกคนถึงกับยืนงงอยู่กลางห้องโถง

เถ้าแก่ไป๋ยิ้มให้พวกเขา “ข้าให้พวกเด็กๆ ไปนอนกันแล้ว พวกเขาเหนื่อยกันมาทั้งวัน ใช่สิ ในหม้อยังมีน้ำซุปอยู่ ครั้งนี้กินให้เต็มที่ กินเสร็จพวกข้าจะยกมาเพิ่มให้อีก”

ซ่งหลี่เจิ้งชี้ไปที่น้ำซุปไก่สี่ชามใหญ่ “เถ้าแก่ นี่คือ?”

“กินกันก่อน นั่งกันก่อน”

ทุกคนไม่นั่ง ไม่กล้านั่ง

เถ้าแก่ไป๋ได้ยินเสียงท้องร้องเสียงดัง ไม่ได้มีเพียงแค่สองสามคน นี่แสดงว่าคงหิวกันมาก แต่กลับไม่มีใครยอมนั่งเลยสักคน ถึงขั้นยืนทิ้งระยะห่างจากโต๊ะไปไกลจนเขาแทบจะจนปัญญา

ในใจครุ่นคิด ช่างเถอะ เสียเวลาในการอธิบายหน่อย มิเช่นนั้นคนพวกนี้คงไม่ยอมนั่งกินข้าวแน่

“ตามข้ากันมาทั้งหมดเถอะ”

ด้านหลังโรงเตี๊ยม เถ้าแก่ไป๋ยกตะเกียงน้ำมันให้แสงสว่างเพื่อทุกคนจะได้เห็นชัดเจน “เมื่อวานพวกเจ้านำถั่วเมล็ดสนมาเท่าไร ในใจคงรู้ดีแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงกระสอบเดียวที่อยู่ตรงหน้า กระสอบอื่นพวกเด็กๆ พากันไปขายกันหมดแล้ว”

“อะไรนะ?” หญิงสูงวัยหลายคนอุทานออกมาด้วยความตกใจ

เถ้าแก่ไป๋รีบชิงพูดก่อนพวกนาง เขาบอกต่อ “ขายไปทั้งหมดสามร้อยเจ็ดสิบกว่ากิโล ได้เงินมาห้าสิบแปดตำลึงกับเจ็ดอีแปะ”

“ฮ่ะ?” ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพียงหญิงสูงวัยเท่านั้น ทุกคนต่างพากันตกใจ หลานชาย หลานสาว ลูกชาย ลูกสาวของพวกเขาเพิ่งโต ก็รู้จักทำการทำมาค้าขายแล้วหรือ?