ภาคที่ 2 ตอนที่ 8 ตานปีศาจหายไป

มรรคาสู่สวรรค์

ตอนที่ 8 ตานปีศาจหายไป Ink Stone_Fantasy

 

สมณะหนุ่มรู้จักคนผู้นี้ เขาทราบว่าอีกฝ่ายเป็นขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งของกรมชิงเทียน[1]แห่งเมืองเฉาหนาน จึงลุกขึ้นประนมมือคารวะ

ชายวัยกลางคนผู้นี้แซ่ซือนามเฟิงเฉิน เป็นขุนนางคนสำคัญของกรมชิงเทียน ตอนนี้คอยดูแลทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโลกบำเพ็ญเพียรในเมืองเฉาหนาน

ซือเฟิงเฉินคารวะสมณะหนุ่มกลับ จากนั้นหมุนตัวไปกล่าวกับสมณะแก่อย่างเคารพว่า “คารวะไต้ซือ”

ขุนนางของกรมชิงเทียนส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญพรต หรือไม่ก็มีสำนักบำเพ็ญพรตหนุนหลัง ซือเฟิงเฉินเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

ตามความอาวุโสของสำนักแล้ว เขาควรจะขานเรียกสมณะแก่ผู้นี้ว่าปรมาจารย์อา เพียงแต่เนื่องด้วยมีตำแหน่งเป็นขุนนาง จึงมิค่อยสะดวกเท่าไร เรียกขานอีกฝ่ายว่าไต้ซือดูจะเหมาะสมกว่า

สมณะแก่กล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “มิทราบประสกซือมาด้วยเรื่องใดฤา?”

ซือเฟิงเฉินยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “เรียนไต้ซือ วันนี้ในเมืองเฉาหนานเกิดเรื่องสองเรื่องขึ้น หนึ่งคือมีคนบุกเข้ามาในเมือง สองคือมีการฆ่าคน ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือผู้บำเพ็ญพรต”

สมณะแก่ถามอย่างไม่เข้าใจ “หรือเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับพวกอาตมา?”

ประตูวัดถูกปิดไปแล้ว จึงมิต้องกังวลว่าบทสนทนาว่าจะถูกคนนอกได้ยิน ซือเฟิงเฉินกล่าวว่า “คนของสำนักซานตูตายแล้ว”

สมณะหนุ่มได้ยินเช่นนั้นพลันตกใจ สายตาเหลือบมองไปทางสมณะแก่

ซือเฟิงเฉินกล่าวต่อว่า “เป็นพวกคนที่คิดอยากจะได้แผ่นน้ำแข็งสงบจิตตอนที่อยู่ในเรือนเป่าซู่”

ใบหน้าสมณะแก่เผยให้เห็นสีหน้าสังเวชใจ กล่าวว่า “ไม่ทราบว่าศพสหายธรรมเหล่านั้นอยู่ที่ใด? อาตมาใคร่อยากสวดมนตร์ส่งพวกเขา”

ซือเฟิงเฉินยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ซากศพถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว คนที่ลงมือช่างโหดเหี้ยมไร้ความปราณี”

สมณะแก่กล่าวว่า “หรือประสกคิดสงสัยอาตมาและศิษย์หลาน?”

“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น”

ซือเฟิงเฉินแสร้งทำเป็นกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “บนโลกมีผู้ใดกล้าสงสัยความเมตตาของวัดกั่วเฉิงบ้าง?”

สมณะหนุ่มคิดในใจ หากมิได้เป็นเพราะแผ่นน้ำแข็งสงบจิต คนของสำนักซานตูตายไป แล้วท่านจะมาหาพวกเราทำไม?

“สุดท้ายแล้วแผ่นน้ำแข็งสงบจิตถูกสองคนที่อยู่ในห้องลี้ลับหมายเลขสองเอาไป”

ซือเฟิงเฉินมองไปทางสมณะหนุ่ม กล่าวถามด้วยสีหน้าจริงใจว่า “มิทราบท่านไต้ซือน้อยรู้จักทั้งสองคนนั้นหรือไม่?

สมณะหนุ่มสีหน้าคร่ำเคร่งขึ้นมาเล็กน้อย  ครั้นคิดถึงจิตสังหารที่แฝงอยู่ในลำแสงกระบี่ที่นำยามาส่งก่อนหน้านี้ เขาก็คาดเดาได้ถึงความจริงของเรื่องราว

ในเวลานี้เอง สมณะแก่พลันเอ่ยถามขึ้นมา “สองคนอย่างนั้นหรือ?”

“ถูกต้อง สองคนนั้นปิดหน้าด้วยผ้าสีเทา ผู้ดูแลที่เรือนเป่าซู่ก็มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขา”

ซือเฟิงเฉินยังคงมองดูสมณะหนุ่มรูปนั้น ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าไต้ซือน้อยเคยเจอพวกเขาหรือไม่”

ในเวลานี้สมณะหนุ่มวิเคราะห์และมั่นใจแล้วว่าผู้ที่นำยามาส่งคงจะเป็นสหายธรรมจากชิงซาน เขาย่อมไม่ยินยอมบอก เพียงแต่ในฐานะที่เป็นผู้ออกบวช…

“พูดไม่ได้” สมณะแก่พลันพูดขึ้นมา

ซือเฟิงเฉินงุนงงเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดหรือนี่จะเป็นการบอกใบ้อะไร

สมณะหนุ่มกลืนคำพูดที่กำลังจะหลุดออกจากปากลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมองไปทางอาจารย์ลุงอย่างไม่สบายใจ

เขาพลันพบว่ากล่องที่ใส่แผ่นน้ำแข็งสงบจิตนั้นหายแล้ว มิรู้ถูกอาจารย์ลุงเอาไปซ่อนไว้ที่ใด

“บาปกรรม บาปกรรม”

สมณะแก่เหลือบมองดูสมณะหนุ่ม จากนั้นหันไปมองซือเฟิงเฉินพลางกล่าวว่า “ศิษย์หลานของอาตมากำลังฝึกปิดวาจาอยู่”

ซือเฟิงเฉินทำสีหน้าเข้าใจ

“พวกอาตมาไม่รู้ว่าสองคนนั้นคือใคร”

สมณะแก่กล่าวว่า “ขอโทษด้วยที่ไม่อาจให้เบาะแสอะไรประสกได้”

ซือเฟิงเฉินหัวร่อแห้งๆ ออกมา ทราบดีว่ามีปัญหา แล้วก็มิกล้าซักไซ้ต่อไป เขาโน้มกายคำนับ แล้วเดินออกจากประตูวัดไป

กระทั่งเสียงด้านนอกวัดค่อยๆ เงียบลง สมณะหนุ่มจึงทิ้งกายนั่งลงไปกับพื้นพลางถอนใจออกมา

สมณะแก่ถอนใจพลางกล่าว “หวังว่าเรื่องนี้จะไม่สร้างความลำบากให้แก่สหายธรรม”

สมณะหนุ่มคิดอยากพูด แต่ก็คิดถึงเรื่องที่อาจารย์ลุงเพิ่งจะสั่งไปเมื่อครู่นี้ขึ้นมา เขาจึงปิดปากส่งเสียงอู้อี้ๆ ดูค่อนข้างร้อนใจ

สมณะแก่เข้าใจความหมายของเขา กล่าวว่า “เจ้าฝึกปิดวาจาไปก่อน เมื่อไรออกไปจากเมืองเฉาหนานแล้วค่อยพูด”

……

……

เวลากลางดึก หงเม่าไจปิดร้านไปแล้ว

ภายในห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล เจ้าล่าเยวี่ยนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น กำลังทำสมาธิอยู่ กระบี่มิคำนึงหมุนอย่างช้าๆ อยู่บนศีรษะของนาง

จิ๋งจิ่วมายังนอกเมืองเฉาหนาน เขาเดินมาถึงกึ่งกลางสะพานทงเทียน และยังเป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดด้วย

แสงดาวส่องสว่างแม่น้ำ ความเชี่ยวกรากของสายน้ำมิได้ลดลง หากแต่ยิ่งดูอันตราย

จิ๋งจิ่วเก็บจิตจำแนกแห่งกระบี่แล้วกระโดดลงไป ผิวน้ำแตกกระจายก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นแม้แต่คนเดียว

น้ำในแม่น้ำขุ่นยิ่งนัก ทั้งยังเป็นเวลากลางดึก มิสามารถมองเห็นอะไรได้เลย แต่มันกลับไม่สามารถปิดบังสายตาของจิ๋งจิ่วได้

หลังเดินอยู่ใต้น้ำที่เชี่ยวกรากและเยือกเย็นอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็มาถึงมุมหนึ่งในส่วนลึกของผาขาดที่อยู่ใจกลางแม่น้ำ

สายน้ำตรงนี้ไหลเอื่อยขึ้นกว่าเดิม แต่แรงดันกลับมหาศาล อีกทั้งยังหนาวเหน็บ มาตรว่าเป็นผู้แข็งแกร่งในวิถีกระบี่ที่บรรลุสภาวะมิประจักษ์ก็มิอาจรั้งอยู่ที่นี่นานได้  หากมิเป็นเพราะร่างกายเขามีความพิเศษ เขาคงไม่สามารถดำมาถึงสถานที่ที่ลึกขนาดนี้และเจอกับกุ่ยมู่หลิงตัวนั้นได้

กุ่ยมู่หลิงตัวนั้นตายแล้ว

กุ่ยมู่หลิงขนาดตัวมหึมา ร่างกายสูงขนาดหอสามชั้น ขาหน้าคล้ายครีบปลา ผิวหนังสีดำคล้ำเป็นมันวาว ถูกฝังอยู่ในส่วนหนึ่งของผาขาด กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมรอบๆ ราวกับก้อนหินธรรมดาก้อนหนึ่ง ยากที่จะพบเห็นได้ มิแปลกที่เหล่าศิษย์ชิงซานหาศพมันไม่พบ

จิ๋งจิ่วลอยไปอยู่ตรงหน้ากุ่ยมู่หลิง ก่อนจะพบว่าบริเวณลำคอและส่วนหัวของมันมีรอยกระบี่อยู่เต็มไปหมด สองตาปิดแน่น ยังคงมีรอยเลือดสีเขียวหลงเหลืออยู่ มิได้ถูกสายน้ำพัดไป ดูแล้วน่าจะบาดเจ็บเพราะกระบี่ของศิษย์ชิงซาน รอยบาดแผลตรงดวงตาทั้งสองข้างคล้ายถูกพลังอะไรบางอย่างพุ่งมาโจมตี

“ถูกคนเลี้ยงเอาไว้จริงด้วย”

สายตาของจิ๋งจิ่วมองไปยังโซ่เหล็กสองเส้น พลางครุ่นคิดอย่างเงียบๆ

โซ่เหล็กสองเส้นมัดร่างกายด้านหลังของกุ่ยมู่หลิงเอาไว้แน่น ปลายอีกด้านหนึ่งน่าจะอยู่ในส่วนลึกของถ้ำตรงหน้าผา

จิ๋งจิ่วว่ายอยู่ในสายน้ำอันดำมืด วนรอบร่างกายอันใหญ่โตของกุ่ยมู่หลิง นอกจากรอยบาดเจ็บจากกระบี่แล้วก็ไม่พบอะไรอย่างอื่นอีก

เขาปลดกระบี่เหล็กลงมา ก่อนจะแทงเข้าไปกึ่งกลางศีรษะของกุ่ยมู่หลิง ปลายกระบี่ลื่นไถล เบนออกไปจากตำแหน่งที่แทง

มิเสียทีที่ร่ำลือกันว่าเป็นปีศาจที่ว่ายข้ามทะเลตะวันตกมาจากหุบเหวลึก แม้นจะตายไปแล้ว แต่ผิวหนังยังคงแข็งแกร่งดุจเหล็ก กระบี่บินธรรมดาไม่มีทางฟันเข้าเด็ดขาด

กระบี่เหล็กของจิ๋งจิ่วมาจากอาจารย์ม่อแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ย แม้นจะมิใช่กระบี่ที่มีชื่อเสียง แล้วก็มีสิ่งที่ไม่ธรรมดา แต่มันยังคมไม่เพียงพอ

สายน้ำอันมืดมิดกระเพื่อมเล็กน้อย หากมีคนสามารถได้ยินเสียงใต้น้ำ เขาก็น่าจะได้ยินเสียงหวึ่งๆ เหมือนเสียงของฝูงผึ้ง นั่นเป็นเสียงที่เกิดจากสร้อยบนข้อมือของเขากำลังสั่นสะเทือนอยู่

จิ๋งจิ่วมิได้สนใจ เขาลอยไปตรงหน้ากุ่ยมู่หลิง มือขวาวาดลงไป

รอยแตกที่เป็นเส้นตรงและชัดเจนเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นบนผิวหนังอันแข็งแกร่งของกุ่ยมู่หลิง จากนั้นก็ยิ่งเปิดกว้างขึ้น จนกระทั่งมองเห็นเยื่อบุภายในและกระดูกอ่อน

เสียงโผละดังเบาๆ จิ๋งจิ่วใช้สองมือฉีกกระดูกอ่อนบนศีรษะของกุ่ยมู่หลิงออก

ครั้นเห็นช่องบรรจุตาน[2] ภายในหัวของกุ่ยมู่หลิงว่างเปล่า เขาครุ่นคิดในใจว่าตานปีศาจไม่อยู่แล้วจริงอย่างที่คาดเอาไว้

เช่นนี้แล้ว ที่หลิวสือซุ่ยร่างกายร้อนผ่าว หิมะกระทบถูกก็ละลายในฉับพลัน สลบไสลมิได้สติเป็นเวลานาน….อาการแปลกประหลาดต่างๆ ก็มีคำตอบแล้ว

…………………………………………………….

[1]ชิงเทียน หมายถึงฟ้ากระจ่าง ใช้เปรียบเทียบกับขุนนางผู้ซื่อสัตย์

[2]ตาน เป็นเหมือนศูนย์รวมพลังที่ได้บำเพ็ญเพียรมา