บทที่ 53 ขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง ชนะได้กระดิ่งทลายวิญญาณ

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

อ๋องเจ๋อคำรามลั่น “ไม่จำเป็น” ต่อให้เขาต้องเร่ร่อนอยู่ข้างถนน ก็ไม่จำเป็นต้องให้นางมาให้ทานแม้แต่น้อย

“ลุงหวัง เอาโฉนดคฤหาสน์โฉนดที่ดินให้นาง”

“เอ่อ…ท่านอ๋อง…ให้จริงๆหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ลุงหวังตัวสั่นระริก นี่เป็นทรัพย์สินเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขาแล้ว หากให้ไปอีกก็ไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ

“ให้” อ๋องเจ๋อพูดด้วยโทสะ ไม่สนว่าที่นี่ยังมีฮ่องเต้เย่กับพวกขุนนางของแต่ละแคว้น เขาออกจากงานชุมนุมแข่งขันบทประพันธ์อย่างคับแค้นใจ ทิ้งเงาหลังเงียบเหงาเงาหนึ่งไว้

ทุกคนเห็นใจอ๋องเจ๋อขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

คิดถึงตอนแรกที่อ๋องเจ๋อฐานะสูงศักดิ์ ความสามารถล้ำเลิศไม่เป็นสอง หล่อเหลาสง่างาม เป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวของเหล่าสตรีทั้งแว่นแคว้น

แต่งานชุมนุมแข่งขันบุ๋นครั้งนี้ อ๋องเจ๋อไม้เพียงพ่ายแพ้จนสิ้นเนื้อประดาตัว ยังอับอายเสียหน้า พูดว่าเขาตกจากสวรรค์สู่นรกก็ไม่เกินเลย

ฮ่องเต้เย่กระวนกระวาย จนถึงบัดนี้ เขาถึงได้รู้ว่าสิ่งใดเรียกว่าทุ่มหินทับเท้าตนเอง

เสี่ยวหลีจื่อพูดยุยง “ฝ่าบาท ทุกคนล้วนทราบกันดี คุณหนูสามจวนเฉิงเซี่ยงไม่เชี่ยวชาญด้านการเขียนอ่าน ทำไมจึงมีความสามารถเช่นนี้ขึ้นอย่างฉับพลัน? จากที่ข้าน้อยดูแล้ว สิ่งนี้จะต้องมีการโกงอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

“โอ้…คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?” หัวใจที่ดับมอดของฮ่องเต้เย่เกิดความหวังขึ้นมาเล็กน้อย

“บทประพันธ์ของนาง จะต้องใช้เงินจำนวนมากไปขอให้ผู้มีฝีมือประพันธ์ให้นางล่วงหน้าเป็นแน่ มิฉะนั้น ชั่วเวลาสั้นๆเพียงหนึ่งก้านธูป นางจะประพันธ์บทกวีที่ดีถึงเพียงนั้นออกมาถึงสี่สิบสามบทได้อย่างไร?”

แม้เสียงของเสี่ยวหลีจื่อจะไม่ดังนัก แต่ก็ทำให้ทุกคนได้ยินกันทั่ว

ทั้งหมดวิจารณ์กันเซ็งแซ่

“ที่หลี่กงกงพูดก็ดูมีเหตุผลอยู่นะ คุณหนูสามกู้เป็นคนเช่นไร ทุกคนล้วนได้ยินได้ฟัง ทำไมจู่ๆถึงเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่อย่างกะทันหันเช่นนี้?”

“หรือว่านางจะโกงจริงๆ? ต่อให้บทกวีจะเป็นการโกง แต่ลายมือของนางทุกคนล้วนประจักษ์กันทั่ว นั่นเป็นตัวอักษรที่นางขีดเขียนด้วยตัวเองทีละเส้นทีละขีดนะ”

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าลายมือนางดี แต่ด้านการประพันธ์ไม่มีความรู้ความเข้าใจ เป็นการจ่ายเงินขอให้ผู้อื่นประพันธ์ให้นาง?”

กู้ชูหน่วนหัวเราะเสียงเย็น

ดูท่า หากไม่ทำให้ฮ่องเต้น้อยนั่นตายใจอย่างเด็ดขาด ต่อให้นางจะได้อันดับหนึ่งมาแล้ว เกรงว่าไม่นานก็คงถูกยึดกลับไป

กู้ชูหน่วนส่งเสียงพูด “ในเมื่อทุกท่านล้วนสงสัย ไม่สู้ออกหัวข้อทดสอบข้าใหม่อีกครั้งในตอนนี้เลยล่ะ?”

ฮ่องเต้เย่ตอบรับทันที “ใช่ ทดสอบดูสักหน่อยก็รู้แล้วว่ามีการโกงหรือไม่ คุณหนูสาม ไม่ใช่ข้าไม่เชื่อเจ้านะ แต่ว่าขุนนางทุกท่านล้วนสงสัย ข้าเองก็จนปัญญา”

หยุดเถอะ

ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้น้อยอย่างเจ้าทำออกมาทั้งสิ้น

กู้ชูหน่วนทิ้งสายตาดูถูกให้เขา ปากกลับพูดยิ้มๆ “เป็นเช่นนั้น ไม่ทราบว่าฝ่าบาทอยากทดสอบอะไรหม่อมฉันเพคะ?”

“ยามนี้เข้าฤดูใบไม้ผลิพอดี เช่นนั้นก็เป็นหัวข้อฤดูใบไม้ผลิก็แล้วกัน ขอแค่ในเวลาหนึ่งถ้วยชา ท่องออกมาได้สามบท ข้าก็…”

คำพูดของฮ่องเต้เย่ยังไม่ทันจบ กู้ชูหน่วนก็ท่องบทกวีสามบทในอึดใจเดียว ทั้งยังดีขึ้นกว่าบทที่แล้วๆมา

ทุกคนล้วนตกตะลึงตาค้าง

ฮ่องเต้เย่กลืนน้ำลาย พูดอะไรไม่ออกไปค่อนวัน ได้แต่มองกู้ชูหน่วนอย่างอึ้งตะลึง

“ในฤดูใบไม้ผลินอนจนไม่รู้เช้า ยินเสียงนกร้องทุกแห่งหน ราตรีโรยแว่วเสียงลมฝน ไม่รู้ช่อผการ่วงหล่นมากเพียงไร”

“สายฝนโปรยถนนเปียกลื่น หญ้าเหลืองมองไกลๆดูรางเลือนมองใกล้ๆกลับไม่มี ตลอดปีต้นฤดูใบไม้ผลิงดงามที่สุด งามกว่าปลายฤดูที่เขียวคราไปทั้งเมือง”

“หญ้าโตนกขมิ้นบินในเดือนสอง ต้นหลิวเแม้เล้ายด้วยควันแห่งฤดูใบไม้ผลิ เด็กน้อยเลิกเรียนรีบกลับบ้าน เร่งอาศัยลมตะวันออกปล่อยว่าวไป”

“ฝ่าบาท ไม่ทราบว่าสามบทนี้ใช้ได้ไหมเพคะ?” กู้ชูหน่วนยิ้มอย่างมีชีวิตชีวา แม้แต่หมู่มวลบุปผาในสถานศึกษาก็หม่นหมองไป

ฮ่องเต้เย่มุมปากกระตุก พูดไม่ออกไปครึ่งค่อนวัน

บทกวีที่ดีสามบทนี้พูดออกจากปากโดยตรง ไม่แม้แต่จะคิดสักนิด ใช้เวลาหนึ่งถ้วยชาที่ไหนกัน

เขายังจะพูดอะไรได้อีก

เสี่ยวหลีจื่อรู้ใจฮ่องเต้เย่ดี แม้จะไร้เหตุผล ก็ยังกอดความหวังเสี้ยวสุดท้ายไปตอแย

“คุณหนูกู้กล้าใช้หัวข้อดอกเหมย อีกสามบทหรือไม่เล่า?”

“เหตุใดจะไม่กล้า เจ้าฟังให้ดีละ ต้นเหมยผลิบานยามหนาวเหน็บกิ่งก้านราวกับหยก ไกลจากถนนสู่หมู่บ้านใกล้ริมธารธารา ไม่รู้ที่เหมยหนาวผลิก่อนเวลา เพราะคิดว่าพ้นฤดูหนาวไปหิมะบนกิ่งจะยังไม่ละลาย”

“ดอกเหมยและเกล็ดหิมะล้วนแก่งแย่งเป็นทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิ ไม่มีใครยอมใครยากจะตัดสิน ดอกเหมยขาวสู้หิมะไม่ได้ เกล็ดหิมะก็ไม่หอมเหมือนดั่งเหมย”

“ได้ยินว่าเหมยบนเขาผลิบานรับลมเช้า ทุกแห่งหนบนเนินเป็นต้นเหมยขาวราวหิมะ ทำอย่างไรถึงจะแยกร่างออกเป็นพันแสนล้าน ไปเที่ยวชมเหมยทุกต้นที่มีอยู่”

ทั้งหมดเงียบเป็นเป่าสาก แทบทุกคนล้วนอ้าปากกว้างเป็นรูปตัว O

กู้ชูหน่วนกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน นางก็ปล่อยให้ทุกคนมองประเมินอย่างใจกว้าง มุมปากกระตุกขึ้นเป็นเส้นโค้งอย่างอดไม่ได้

ประพันธ์กวีนางทำไม่เป็น แต่ท่องกวีจะไม่ได้หรือ?

อย่าว่าแต่สามบท ให้ท่องอีกสามสิบบท นางก็พรั่งพรูออกมาได้

ฮ่องเต้น้อยอยากจะซ่อนทรัพย์สมบัติและทองคำหลายพันตำลึงนั่น ก็ไม่มีวิธี

“กงกงน้อย ไม่ทราบว่าบทกวีสามบทของข้าเป็นอย่างไร พอใช้ได้หรือไม่?”

ถึงเสี่ยวหลีจื่ออยากจะกลั่นแกล้งนางอีก ก็พูดไม่ออกแล้ว

ทุกคนที่ได้สติ พากันยกนิ้วหัวแม่มือให้ ต่างพูดชมเชย

“สวรรค์ คุณหนูสามกู้เป็นเซียนกวีกลับมาเกิดโดยแท้ ไม่ๆ นางเยี่ยมยอดยิ่งกว่าเซียนกวีเสียอีก คุณหนูสามกู้เจ้าบทเจ้ากลอน ทุกบทกวีล้วนเรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอก”

“มารดาข้าเถิด เหตุใดบนโลกนี้ถึงมีสตรีที่มีความสามารถเยี่ยมยอดเช่นนี้อยู่?”

เย่เฟิงขบคิดถึงบทกวีที่นางท่องออกมาเงียบๆ

ดอกเหมยขาวสู้หิมะไม่ได้ เกล็ดหิมะก็ไม่หอมเหมือนดั่งเหมย

บทกวีที่ดีถึงเพียงนี้ คนธรรมดาทั่วไปที่ไหนจะประพันธ์ออกมาได้

เขายอมแพ้ด้วยใจเลื่อมใสสุดซึ้ง

เขาเสมอสองแพ้สอง ต่อให้สนามที่ห้าจะชนะ ก็เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ไม่ได้อยู่ดี

สนามที่ห้าไม่จำเป็นต้องแข่งต่อไปโดยสิ้นเชิง

ไม่รู้เพราะเหตุใด สายตาที่เย่เฟิงมองดูกู้ชูหน่วนไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว

ฮ่องเต้เย่อึดอัดใจยิ่งนัก แต่ทำได้เพียงฝืนยิ้มเล็กน้อย ยอมรับว่านางได้ลำดับที่หนึ่งอย่างสง่างาม

หม่ากงกงกล่าวประกาศ “อันดับหนึ่งในงานชุมนุมแข่งขันบทประพันธ์ครั้งนี้คือคุณหนูสามตระกูลกู้ กู้ชูหน่วน”

ในงานมีคนยิ้มแย้ม มีคนร้องไห้ มีคนตีอกชกหัว

สีหน้าใดๆล้วนมีทั้งสิ้น

ฮ่องเต้เย่ยังนับว่าพูดจาเชื่อถือได้ มอบทองคำทรัพย์สมบัติจำนวนมากให้แก่นาง รวมถึงกล่องไม้จันทน์สีดำกล่องหนึ่งด้วย

ลายดอกไม้บนกล่องไม้จันทน์ประณีตงดงามมาก เป็นหงส์ตัวหนึ่งสยายปีกจะโผบิน

หม่ากงกงส่งมอบถึงมือนางอย่างระมัดระวัง แล้วพูดกำชับ “คุณหนูสาม สิ่งที่บรรจุอยู่ในกล่องนี้ เป็นกระดิ่งทลายวิญญาณอันเป็นสมบัติล้ำค่าของแคว้นเย่ ขอให้คุณหนูสามเก็บดูแลให้ดี อย่าได้ทำหายเป็นอันขาด”

“ทราบแล้ว”

กู้ชูหน่วนไม่มีความสนใจต่อกระดิ่งทลายวิญญาณแม้แต่น้อย

แต่รู้สึกว่าสายตาของทุกคนในที่นี้ล้วนจดจ้องอยู่ที่กล่องไม้จันทน์

มีคนอิจฉา

มีคนริษยา

ที่มากกว่าก็คืออยากจะครอบครองไว้เอง

กู้ชูหน่วนจดจำสายตาของพวกเขาแต่ละคนไว้ในใจอย่างเงียบเชียบ

ไม่รู้ทำไม นางถือกล่องกระดิ่งทลายวิญญาณไว้ ราวกับถือเผือกร้อนอยู่ก็ไม่ปาน รู้สึกว่าภายหลังจะต้องเกิดเรื่องยากจะจัดการมากมายเพราะกระดิ่งทลายวิญญาณชิ้นนี้

กู้ชูหน่วนอยากบอกเหลือเกิน ทรัพย์สมบัตินางจะเก็บไว้ แล้วกระดิ่งทลายวิญญาณฮ่องเต้เก็บกลับไปเถอะ แต่ก็กลัวว่าถ้าพูดไป ฮ่องเต้น้อยจะโกรธแล้วเก็บสมบัติกลับไปด้วย จึงได้แต่ฝืนใจรับเอาไว้

ชั่วขณะหนึ่ง นางสังเกตว่าสายตาของเย่เฟิงก็มองอยู่ที่กล่องไม้จันทน์เช่นกัน

นัยน์ตาของเขาเหมือนบ่อน้ำลึกล้ำ เรียกได้ว่าไม่อาจมองออกว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ที่รู้ก็คือ เขาก็สนใจกระดิ่งทลายวิญญาณอยู่เหมือนกัน

“ผู้ได้ลำดับที่สองในงานชุมนุมแข่งขันบทกวี เย่เฟิงเย่เฟิง ยินดีกับเย่เฟิงด้วย” หม่ากงกงพูดพลางยิ้ม

เย่เฟิงก้มหน้าเล็กน้อย สงบเย็นชาเหมือนก่อน

“ตามกฎของแคว้นเย่ เย่เฟิงสามารถเข้าไปร่ำเรียนในราชวิทยาลัยได้หนึ่งปี หนึ่งปีให้หลังก็เข้าเป็นข้าราชการของราชสำนัก ช่วยเหลือปวงประชา ไม่ทราบว่าเย่เฟิงสนใจเข้าสถานศึกษาของราชสำนักหรือไม่”