บทที่ 102 เข้าประชิด (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บนชั้นสามของเรือวาฬแดง

“คำนับอาจารย์อา” ในสวนดอกไม้ หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีหน้าตางดงามหมดจดประสานมือก้มหัวคำนับลู่เซิ่ง สีหน้านอบน้อม

ลู่เซิ่งพยักหน้า เขารู้จักสองคนนี้ เป็นศิษย์สองคนที่หงหมิงจือเพิ่งรับมา

“อาจารย์พวกเจ้าอยู่หรือไม่”

เขาเพิ่งกลับมาจากด้านนอก อยากมาเจอศิษย์พี่ที่นี่ คิดไม่ถึงกลับพบกับเด็กน้อยสองคนที่เจอตัวยาก

คนหนุ่มสาวสองคนนี้คนหนึ่งชื่อหลินหงเหลียน อีกคนชื่อหยวนจง อายุเพียงสิบห้าสิบหกปี แต่พรสวรรค์ไม่เลว เป็นศิษย์ที่หงหมิงจือเพิ่งรับมาเมื่อไม่นานมานี้

“กำลังพักผ่อนที่ศาลาผลบุปผาด้านใน”

หลินหงเหลียนตอบเสียงใส นางในฐานะสตรีกลับผ่าเผยยิ่งกว่าศิษย์พี่มาก ตอนนี้นางกำลังพิจารณาลู่เซิ่งอย่างสนใจ ได้ยินอาจารย์เคยพูดมานานแล้วว่า อาจารย์อาในสำนักผู้นี้มีพรสวรรค์น่าทึ่ง อายุยังไม่เกินยี่สิบ ก็บรรลุขอบเขตผนึกจิตที่ทำให้ผู้คนอ้าปากตาค้าง เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในรอบร้อยปีของสำนัก

นางเคยคิดถึงรูปลักษณ์บุคลิกของอาจารย์อาไม่น้อย กลับนึกไม่ถึงว่าจะเป็นแบบนี้

หัวล้าน ล่ำสัน แข็งกร้าว ดาบฟันฟืนใหญ่สองเล่มที่แบกอยู่ ซ้อนทับกันเหมือนแบกชั้นวางรูปกากบาท

ใบหน้าที่ไม่มีขนคิ้ว ขนตา ทั้งศีรษะล้านเลี่ยน มอบความรู้สึกดุร้าย เย็นชา และไร้น้ำใจกว่าเดิม สร้างความหวาดหวั่นให้แก่ผู้พบเห็น

ลู่เซิ่งเร่งฝีเท้าเดินไปยังศาลาผลบุปผาที่อยู่ด้านใน ไม่ทันไรก็หายไปตรงมุมโค้ง

ทิ้งพวกหลิงหงเหลียนยืนอยู่กับที่ ต่างถอนใจเบาๆ

“นี่เป็นอาจารย์อาลู่ที่มีพลังแข็งแกร่งมากในสำนักคนนั้นหรือ” หยวนจงที่อยู่ด้านข้างแลบลิ้น กระซิบถาม

“ใช่ ไม่ทราบอาจารย์อาลู่มีพลังแข็งแกร่งขนาดไหน ถ้ามีเวลาข้าจะขอให้เขาชี้แนะ!” หลิงหงเหลียนมีนิสัยลุ่มหลงในวรุยทธ์ จึงไม่เกรงกลัว ใบหน้าเปี่ยมด้วยความตื่นเต้น

“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ” หยวนจงพูดอย่างเกินจริง “เจ้าไม่เห็นกล้ามของอาจารย์อาหรือ แขนข้างเดียวหนาเท่าแขนของเจ้าสองข้าง ดาบฟันฟืนใหญ่สองเล่มนั้นเล่มเดียวก็เอาชีวิตเจ้าได้แล้ว!” หยวนจงรู้สึกว่าความคิดนี้ของศิษย์น้องบ้าคลั่งเกินไป

“ตอนนี้สถานการณ์ไม่สู้ดียิ่ง อาจารย์ให้พวกเราเข้าหาอาจารย์อา ย่อมไม่มีผลเสีย” หลินหงเหลียนกล่าวเบาๆ

“วาจาแม้กล่าวแบบนี้…” หยวนจงพูดอย่างลังเล “แต่อาจารย์อาดูดุร้ายยิ่ง…”

“ท่านมีความกล้าหน่อยได้หรือไม่? มีความกล้าแค่นี้หากพูดออกไปว่าเป็นศิษย์พี่ของข้า ข้าหลินหงเหลียนคงอับอายขายขี้หน้า!” หลินหงเหลียนกล่าวอย่างไม่พอใจ

“ไปกัน ไปดูว่าอาจารย์กับอาจารย์อาพูดอะไรกัน” นางแอบเดินไปทางศาลาในสวนดอกไม้เล็กๆ ด้านหน้า

“นั่งสิ”

หงหมิงจือเอนตัวบนเก้าอี้ หยีตามองฟากฟ้าที่สว่างไสวไกลออกไป จากมุมของเขา เห็นฟ้าสีครามที่พระอาทิตย์ถูกบังไว้ผ่านชายคาปลาทองทรงโค้งได้

ลู่เซิ่งนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่งเลียนแบบเขา เก้าอี้ทำจากไม้ไผ่ เอนตัวลงไปเย็นสบายยิ่ง

ลมอ่อนหอบกลิ่นดอกไม้พัดเข้ามาในสวน

“ศิษย์น้องรีบมา มีเรื่องตามหาตัวข้าหรือ” หงหมิงจือทราบว่าช่วงนี้ลู่เซิ่งจัดการเรื่องราวบางอย่างไปทั่ว ฝึกวิชากับพฤติกรรมประหลาดที่รวบรวมวัตถุโบราณและของจากหลุมศพ

เขาแม้จะประหลาดใจ แต่ทุกคนมีความลับของตัวเอง จึงไม่สืบสาวราวเรื่อง เหมือนกับตัวเขา สามารถควบคุมพรรคอันดับแหนึ่งแห่งแดนเหนือมาหลายปีโดยไร้เรื่องราว ก็มีความลับของตัวเองเช่นกัน

ลู่เซิ่งพินิจพิจารณาหงหมิงจือ

สีหน้าเขาคล้ายดีกว่าก่อนหน้า ผิวแดงเรื่อขึ้นมาส่วนหนึ่ง บนใบหน้าที่มีแต่รอยย่นในตอนแรกสดใสขึ้นมาบ้าง คล้ายกับอายุลดลงมาก

“มีเรื่องคิดถามไถ่ศิษย์พี่” เขากล่าวตรงๆ

“ข้าพอจะเดาสิ่งที่เจ้าอยากถามออก” หงหมิงจือหัวเราะ เขายื่นมือไปหยิบขนมดอกสาลี่ชิ้นหนึ่งบนโต๊ะหินด้านข้าง ก่อนส่งเข้าปากเคี้ยวช้าๆ

“การเคลื่อนไหวในช่วงนี้ของผู้สนับสนุนพวกเราน้อยไปบ้าง แต่สมควรสั่งสมการโต้กลับอันใหญ่หลวงอยู่ เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ข้าเพิ่งติดต่อกับเบื้องบน”

“เช่นนั้นที่ศิษย์พี่พูดกับข้าก่อนหน้านี้…” ลู่เซิ่งสับสนเล็กน้อย

“ข้าน่าจะเข้าใจผิดไปเอง อย่างไรตระกูลเจินก็ดูแลที่นี่มาหลายปี เหตุใดบอกว่าเกิดเรื่องก็เกิดเรื่อง ขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ไม่ได้ล้มง่ายนักหรอก” ประมุขพรรคเฒ่าไม่ทราบว่ารู้เรื่องอะไรมา เหมือนอารมณ์ดีขึ้นมาก

ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าข่าวของเขามีที่มาจากไหน แต่ว่าศิษย์พี่ผู้เจนจัดเจ้าเล่ห์ เมื่อวินิจฉัยเช่นนี้ เช่นนั้นสถานการณ์สมควรไม่มีปัญหาใหญ่โต

“เอาเถอะ ก่อนหน้านี้ข้าเพียงรู้สึกอึดอัดไปบ้างเท่านั้น พอได้ยินศิษย์พี่ท่านพูด ก็ให้ความสนใจข่าวสารด้านนี้มาตลอด”

“ไม่ต้องห่วง อีกไม่นานนักก็จะมีข่าวแล้ว” หงหมิงจือหัวเราะพร้อมโบกมือ “สุดท้ายจัตุรัสแดงก็ไม่ใช่คู่มือของตระกูลเจิน ขอแค่เบื้องบน พวกเขาลงมืออย่างแท้จริง”

“แบบนี้ก็ดี” ลู่เซิ่งโล่งอก ถ้าตระกูลเจินเกิดปัญหา แดนเหนือทั้งหมดจะเดือดร้อนจริงๆ

แม้กล่าวว่าแดนเหนืออยู่ในการดูแลของราชสำนัก แต่ความจริงพรรคใหญ่ที่ตระกูลเจินซึ่งเป็นตระกูลขุนนางบัญชาการ เป็นฝ่ายความคุมสถานการณ์ตามความเป็นจริง ราชสำนักก็แค่จัดตั้งที่ทำการของคนทั่วไปเป็นฐานที่มั่น ปกครองในนาม ความจริงไม่มีพลังควบคุมในที่ลับ

และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ระดับสูงของพรรควาฬแดงนั่งในระดับเดียวกันกับขุนนางขั้นสูงในเมืองใหญ่เช่นเมืองเลียบคีรีได้

“ไม่ต้องห่วง จริงด้วย เจ้าเจอศิษย์สองคนที่ข้ารับมาใหม่แล้วกระมัง หลังจากได้ยินศิษย์น้องเจ้าเสนอมา ข้าก็รู้สึกว่าสำนักอาทิตย์ชาดของพวกเรามีคนน้อยเกินไป เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดเรื่อง ถ้าไร้การสืบทอดก็ลำบากแล้วดังนั้นข้าจึงไตร่ตรองดู แล้วคิดรับศิษย์มาเพิ่มให้มากๆ คุณสมบัติเป็นรอง ดูนิสัยใจคอเป็นอันดับแรก ผู้ที่เคารพครูบาอาจารย์ มีคุณธรรมสำคัญเป็นอับดับหนึ่ง ผู้ที่มีจิตใจไม่ท้อถอยสำคัญเป็นอันดับสอง ส่วนวิทยายุทธ พรรควาฬแดงเรามีกิจการใหญ่โต ย่อมหาระบบวรยุทธ์ที่เหมาะกับเขาได้” หงหมิงจือยิ้ม ดูเหมือนจะพอใจในตัวศิษย์สองคนนี้มาก

ลู่เซิ่งอดหัวเราะในใจไม่ได้ ศิษย์พี่อายุอานามขนาดนี้แล้ว ลูกหลานไม่ได้ความ เพียงแค่แย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ ตอนนี้ปฏิบัติกับศิษย์คนใหม่สองคนเป็นทายาทตัวเองแล้ว

“ศิษย์พี่พอใจก็ดีแล้ว จริงด้วยวิชาเดินลมปราณของสำนักอาทิตย์ชาดมีแค่วิชาลมปราณแดงฉานหรือ”

“ใช่ วิชาลมปราณแดงฉานเป็นวิทยายุทธที่กล้าแข็ง ซึ่งเจ้าสำนักรุ่นก่อนๆ ค้นคว้ามาทุกยุคสมัย ผสานวิชากำลังภายในที่แตกต่างกันสามวิชา แล้วสร้างขึ้นมา เมื่อฝึกถึงระดับเจ็ดขั้นสูงสุด อานุภาพมากพอจะก้มมองโลกหล้า สำเร็จเป็นเอกะฟ้า!” พูดถึงเรื่องนี้ บนใบหน้าหงหมิงจือมีความภาคภูมิใจเล็กน้อย “วิชากำลังภายในแบบนี้เมื่อถ่ายทอดเป็นแก่นหลัก ขอแค่ฝึกให้ดี ใต้หล้านี้จะไปไหนก็ได้”

เอกะฟ้าเป็นขอบเขตสูงสุดที่มนุษย์ปุถุชนไปถึงได้ มีน้อยยิ่งกว่าน้อย อีกทั้งตามการคาดการณ์ของลู่เซิ่ง เอกะฟ้าคนใดนอกเสียจากพบเจอโชค ไม่อย่างนั้นอย่างน้อยต้องอายุแปดเก้าสิบก่อนจึงจะไปถึง

“แม้กล่าวแบบนี้ ข้าก็อยากเห็นวิชากำลังภายในวิชาอื่นๆ เห็นมากๆ มีประโยชน์ในการเปิดโลกทัศน์ ขณะเดียวกันศิษย์พี่ท่านก็รู้ว่าข้ากำลังฝึกวิชาแข็งกร้าว ในพรรคมีวิชาแข็งกร้าวระดับค่อนข้างสูงสักวิชาหรือไม่ ข้าอยากจะศึกษาด้านนี้อย่างละเอียดดูสักหน่อย” ลู่เซิ่งเรียบเรียงคำพูด แล้วบอกความคิดของตัวเอง

“เช่นนี้ก็ได้ แต่ศิษย์น้องต้องจดจำไว้ให้ดีว่า ตะกละมากจะเคี้ยวไม่ละเอียด ศิษย์พี่ข้าครั้งกระโน้นตอนยังพื้นฐานไม่แน่น ไปฝึกฝนวิชาลมปราณหล่อเลี้ยงชีวิตวิชาอื่น อยากจะอาศัยมันชดเชยพิษร้อนส่วนเกินในวิชากำลังภายในธาตุหยาง น่าเสียดายเพราะแบ่งแยกสมาธิ ทำให้พื้นฐานไม่มั่นคง สุดท้ายหยุดอยู่ที่วิชาลมปราณแดงฉานระดับหก ไม่มีความหวังก้าวหน้าอีก” หงหมิงจือพูดเรื่องนี้ น้ำเสียงเสียดาย

ลู่เซิ่งปลอบเขา กลับไม่ได้บอกว่าตนบรรลุขั้นสูงสุดของวิชาลมปราณแดงฉานแล้ว

อีกทั้งไม่เพียงบรรลุ ยังใช้หลักการวรยุทธ์อื่นๆ ผสมผสานกันเลื่อนสู่ระดับใหม่ กลายเป็นวิชาอันแข็งแกร่งเช่นวิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน

พลังยุทธ์เกรงว่าจะไม่ต่ำกว่าการสั่งสมจากการฝึกเป็นเวลาสองร้อยปีของคนทั่วไป ความแข็งแกร่งของพลังฝึกปรือเหนือกว่าจินตนาการของคนทั่วไปแล้ว

ต่อให้บอกพลังยุทธ์ระดับนี้กับหงหมิงจือ เขาเกรงว่าจะไม่เชื่อ นอกจากลงมือแสดงให้เห็นจริงๆ แต่นั่นอาจจะเปิดเผยความลับเรื่องเครื่องมือปรับเปลี่ยนของตัวเองได้

ลู่เซิ่งออกจากสวนดอกไม้ เห็นพวกหลินหงเหลียนกับหยวนจง ศิษย์ใหม่ทั้งสองคนที่หงหมิงจือเพิ่งรับมา มาด้อมๆ มองๆ อยู่ที่ประตูสวนดอกไม้ ท่าทางคิดจะแอบฟังแต่ไม่กล้าเข้าไป

ลู่เซิ่งมองคนทั้งสอง ส่ายหน้าอย่างหมดคำพูด

“พวกเจ้าสองคนมีเรื่องอันใดหรือ”

ทั้งสองคนจึงค่อยกระเถิบเข้ามา

“อาจารย์อา…หงเหลียนลากข้ามา ข้าไม่ได้อยากแอบฟัง!” หยวนจงขายหลินหงเหลียนอย่างแน่วแน่ ทำแม่นางน้อยโกรธจนหน้าแดง อดยื่นมือไปหยิกเขาไม่ได้

“พอแล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ พลันปรามคนหนุ่มสาวทั้งสองคนที่ส่งเสียงโหวกเหวก “พวกเจ้าเรียนวิชาลมปราณแดงฉานแล้วหรือยัง”

“ยังไม่เคยฝึก ตอนนี้สิ่งที่พวกเราฝึกเป็นวิชาลมปราณวาฬแดงระดับหนึ่ง ประสานกับวิชาดาบวาฬแดง และท่าร่างวาฬแดง เป็นวิทยายุทธ์พื้นฐานชุดหนึ่งในพรรค” หลินหงเหลียนรีบตอบ

“อือ ตั้งใจฝึก ติดตรงไหน ถ้ามีเวลาก็มาให้ข้าชี้แนะได้” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ

ในเมื่อศิษย์พี่หงหมิงจือเห็นดีในตัวสองคนนี้ เขาก็จะลองดูแลให้

“ขอบพระคุณอาจารย์อา!” ทั้งสองคนรีบประสานมือคารวะ

ลู่เซิ่งบอกลาคนทั้งสอง คิดว่าไหนๆ ก็มาแล้ว จึงไปที่ศาลาประกาศยุทธ

ตอนเรียนรู้วิชาลมปราณแดงฉานเมื่อก่อนหน้า ทำให้เขาคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง

ถ้ามีปราณหยินมากพอ มีการสั่งสมประสบการณ์ในหลักวิชามากพอ จะเรียนรู้วิชาลมปราณที่ระดับสูงสุดได้ในครั้งเดียวหรือไม่

‘สีท้องฟ้าเก้าเปลี่ยนแปลง ได้แค่สีคราม’

เขานึกถึงประโยคนี้ในหัว นี่เป็นคำพูดที่เจ้าสำนักรุ่นก่อนท่านหนึ่งเขียนด้วยตัวเองตอนอยู่ปลายระดับเจ็ด

ความหมายคือท้องฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงของสีเก้าชนิด แต่เราเลือกได้แค่สีคราม สีของฟ้าคราม หมายถึงดวงอาทิตย์มีสีแดงฉาน

แดงฉาน มีที่มาเช่นนี้

พอนึกถึงคำพูดนี้ ลู่เซิ่งก็พลันคิดได้ว่าในร่างตนไม่เพียงมีวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานเท่านั้น ยังมีวิชาโซ่เก้าสินธุวิชาแข็งกร้าว รวมถึงวิชาหยินหยางกระเรียนหยก

‘คล้ายยุ่งเหยิงไปบ้าง…’ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ‘วิชาโซ่เก้าสินธุเป็นวิชาแข็งกร้าว วิชาหยินหยางกระเรียนหยกเป็นปราณภายในสำหรับเสริมส่ง แต่ความจริงทั้งหมดเป็นวิชากำลังภายใน ถ้าหากเรารวมปราณภายในทั้งหมดเข้าด้วยกัน กลายเป็นวิชากำลังภายในที่แข็งแกร่งที่สุดวิชาหนึ่ง ทั้งยังเปลี่ยนพลังยุทธ์ทั้งหมดเป็นอีกชนิดหนึ่ง ไม่ทราบอานุภาพจะไปถึงขั้นใด…’

เขาพอคิดถึงตรงนี้ กลับทราบว่าตนเพ้อเจ้อเกินไป คุณสมบัติวิชากำลังภายในไม่เหมือนกัน จะหลอมรวมกันได้อย่างไร บางทีรอฝึกฝนวรยุทธ์มากขึ้นกว่าเดิม จึงอาจจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เหมือนทะเลบรรจุร้อยลำธารได้

‘ช่างเถอะ เรามีระดับคุณูปการไม่น้อย ลองไปดูวิชาแข็งกร้าวและวิชาเดินลมปราณกำลังภายในทั้งหมด พยายามหลอมรวมสิ่งที่หลอมรวมได้’

วิชากำลังภายในพอเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ ความสิ้นเปลืองที่จำเป็นก็มีมากเหลือเกิน

ความสิ้นเปลืองในการยกระดับวิชากำลังภายในขึ้นขั้นหนึ่ง แทบเท่ากับความสิ้นเปลืองในการยกระดับวิชาแข็งกร้าวเช่นวิชาโซ่เก้าสินธุสามครั้ง

นี่เพิ่งเป็นแค่ระดับแปดเท่านั้น ถ้าหากเรียนรู้ไปถึงระดับก้าว คงจะสิ้นเปลืองกว่าเดิม

ลู่เซิ่งวางแผน ให้ดีที่สุดยกระดับวิชาแข็งกร้าวเช่นวิชาโซ่เก้าสินธุซึ่งมีผลรักษาชีวิตถึงจุดสูงสุดจนไม่อาจเพิ่มต่อได้อีกก่อน

ถ้าเงื่อนไขเป็นใจ เขาคิดจะหลอมรวมวิชาแข็งกร้าวทั้งหมดที่หาเจอให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อเรียนรู้วิชาแข็งกร้าวที่แข็งแกร่งที่สุดวิชาหนึ่ง

ขณะเดียวกันคุณสมบัติที่ขัดแย้งกันเหล่านั้น ให้ดีที่สุดคือฝึกฝนสิ่งที่ฝึกได้ทั้งหมด ถึงอย่างไรเมื่อมีเครื่องมือปรับเปลี่ยนกับตัว ของอย่างวิชาแข็งกร้าวจะทับซ้อนกันอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น

ขอแค่มีปราณหยินมากพอ เขาก็สามารถฝึกฝนวิชาแข็งกร้าวหลากหลายวิชาที่ต่างกันให้สำเร็จอย่างต่อเนื่องได้

……………………………………….