“ซูจิ่นซี? ”
หวาหรงจวิ้นจู่กล่าวอย่างไม่พอใจ
“ในสุรานั้นมีพิษ เสวยไม่ได้นะเพคะ”
ฮ่องเต้ตอบสนองเร็วมาก พระองค์รีบโยนจอกแก้วในมือออกไปอย่างรวดเร็ว
“ซูจิ่นซี เจ้ากำลังพูดจาซี้ซั้วอันใดกัน? ”
ไม่ง่ายเลยที่หวาหรงจวิ้นจู่จะหาโอกาสเอาใจเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ให้มีความสุขได้ คาดไม่ถึงว่าจะถูกซูจิ่นซีทำพังเสียแล้ว หวาหรงจวิ้นจู่เกลียดจนอยากตบซูจิ่นซีสักสองที
“พระชายาโยวอ๋อง เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ? ”
ฮองเฮาตรัสด้วยความสงสัย
“หม่อมฉันพูดว่า เมื่อครู่ฝ่าบาทดื่มสุราจอกนั้น…”
ซูจิ่นซีพูดได้เพียงครึ่งคำ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ฮ่องเต้รีบโยนจอกสุราทิ้งไป เมื่อสุราในจอกหกลงบนพื้น หากเป็นสุราพิษก็ต้องมีปฏิกิริยา ทว่าสุรานั้นกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ระบบถอนพิษตรวจไม่พบพิษอันใดเลย
หรือว่านางผิดพลาดแล้ว?
“ฮองเฮา พระชายาโยวอ๋องกล่าวว่าข้าวางยาเสด็จพ่อเพคะ! ”
หวาหรงจวิ้นจู่กล่าวอย่างประชดประชัน
ผู้คนอดมองคราบสุราที่หกลงบนพื้นไม่ได้ ทว่าเมื่อมองแล้วก็สามารถทราบได้อย่างรวดเร็ว
ไม่มีพิษ
“ฮึ! ” ฮ่องเต้เปล่งสุรเสียงเย็นชา “โยวอ๋อง นี่มันเรื่องอันใดกัน? เจ้าควรอธิบายอันใดหน่อยหรือไม่? นี่คือพระชายาที่เจ้าโปรดปรานและตามใจอย่างนั้นหรือ? เจ้าดูสิ เจ้าตามใจนางจนกลายเป็นสิ่งใดไปแล้ว? ”
ซูจิ่นซีพึ่งมองเห็นเยี่ยโยวเหยา ที่แท้เขาก็อยู่ด้วยเช่นกัน
คนผู้นั้นมีท่าทีเคร่งขรึม เย็นชา วางท่าสูงส่ง ลึกลับ เขานั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงัน ไม่ชายตามองหรือสนใจสิ่งใดแม้แต่น้อย
ในที่สุดก็มองเห็นเขาแล้ว
ไม่เจอกันเพียงยี่สิบกว่าวันเท่านั้น ทว่าซูจิ่นซีกลับรู้สึกราวกับว่าพวกเขาแยกทางกันมานานนับศตวรรษ
เมื่อมองไปยังแววตาของเขา นางก็ตกตะลึงอีกครั้ง
“การสมรสเป็นเสด็จพี่ที่ประทานให้ หากตอนนี้เสด็จพี่รู้สึกว่าไม่พอพระทัย คงไม่สายไปหน่อยหรือ? ”
เยี่ยโยวเหยากล่าวอย่างเย็นชา
ประโยคนี้แทบเป็นการตบพระพักตร์ของฮ่องเต้หนึ่งฉาดเลยทีเดียว ฮ่องเต้สำลักคำพูด ไม่ส่งเสียงใดๆ อยู่นาน พระพักตร์ดำมืดไม่น่ามอง
ตอนนี้ทั่วทั้งจงหนิง เกรงว่าจะมีเพียงเยี่ยโยวเหยาผู้เดียวเท่านั้นที่กล้าพูดเช่นนั้นกับฮ่องเต้
ซูจิ่นซีกำลังจ้องมองเยี่ยโยวเหยาอย่างตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าทันใดนั้นสายตาที่เย็นชาของเยี่ยโยวเหยาจะหันมาหานาง ซูจิ่นซีไม่กล้าสบตาเยี่ยโยวเหยา นางตกใจกลัวรีบหลบสายตาในทันใด ภายในใจรู้สึกราวกับวัวสันหลังหวะ
“พระชายาโยวอ๋อง เจ้าช่างแตกต่างกับผู้อื่นเสียจริง ทุกครั้งที่เจ้าปรากฏตัวล้วนสามารถแสดงละครงิ้วที่มีวิธีการแปลกประหลาดไม่ซ้ำผู้ใด”
เยี่ยเซินกล่าวเสียดสี
ซูจิ่นซีไม่มีอันใดจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นนางที่บุ่มบ่ามเกินไป ตอนนี้จึงรู้สึกเสียใจและโทษตัวเอง ซูจิ่นซีอยากหาตะเข็บรอยต่อเพื่อมุดทะลวงเข้าไปเสียจริง แม้จะมีตะเข็บให้นางมุด ทว่าในเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว นางต้องเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญ
“วันนี้จิ่นซีบุ่มบ่ามแล้ว ขอไทเฮา ฝ่าบาท และฮองเฮาได้โปรดประทานอภัยเพคะ! ”
ซูจิ่นซีก้าวไปด้านหน้า นางสารภาพความผิดต่อไทเฮา ฮ่องเต้ และฮองเฮาด้วยความเคารพ
“เฉินไท่เฟยเอ้ย! ลูกสะใภ้ของเจ้าผู้นี้ทำให้เจ้างามหน้าเสียจริง”
ไทเฮาที่ตั้งแต่ต้นไม่ได้เอ่ยคำใด ทันใดนั้นก็เปิดพระโอษฐ์แล้วตรัสเหน็บแนมขึ้นเสียหนึ่งประโยค
เฉินไท่เฟยนั่งอยู่ด้านหลังไทเฮาด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทว่าไม่ได้พูดอันใด
ซูจิ่นซีไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาเฉินไท่เฟย
“เสด็จย่า สุราดีเพียงหนึ่งจอก กว่าจะหามาได้ไม่ง่ายเลย ข้าพยายามด้วยความทุกข์ยากลำบากเพื่อหามาถวายแด่เสด็จพ่อและเสด็จแม่ ทว่ากลับถูกนางทำลายเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังใส่ร้ายข้าด้วย ข้าไม่ยอม ไม่ยอม เสด็จย่า…ท่านต้องจัดการให้ข้านะเพคะ! ”
ทันใดนั้นหวาหรงจวิ้นจู่ก็ร้องไห้และโถมตัวเข้าไปในอ้อมแขนของไทเฮา
ไทเฮาทรงรักหวาหรงจวิ้นจู่หลานผู้นี้มาก เมื่อเห็นนางร้องไห้เช่นนั้นก็ปวดใจจนทนไม่ไหว
พระองค์คอยลูบหลังหวาหรงจวิ้นจู่และกล่าวปลอบใจ “โอ๋ๆ! ไม่ร้อง ไม่ร้อง หวาหรงไม่ร้องนะ ย่าจะจัดการให้เจ้าเอง”
“พระชายาโยวอ๋อง เรื่องในวันนี้เจ้าจะต้องมีคำอธิบายให้แก่หวาหรง! ”
ไทเฮาตรัสกับซูจิ่นซีอย่างเย็นชา
ในใจซูจิ่นซีรู้สึกสับสนวุ่นวาย นางยังไม่ทันคิดข้อแก้ต่างให้ตนเอง
ซูจิ่นซีไม่สามารถพูดออกไปตามตรงได้ว่าเป็นเพราะนางกำลังสืบคดีลอบวางยาพิษของฮองเฮา เนื่องจากไม่มีมูลและหลักฐาน
อีกทั้งซูจิ่นซียังไม่สามารถพูดถึงฮั่วอวี้เจียวได้เช่นกัน แม้วันนี้นางจะเจอกับผู้ต้องสงสัยคนสำคัญ ทว่าเรื่องนี้ใหญ่เกินไป และเกี่ยวข้องกับสกุลฮั่วอย่างแท้จริง หากฮั่วอวี้เจียวมีเจตนาทำร้ายฮองเฮาจริงก็แล้วไป ทว่านางกลับถูกผู้อื่นหลอกใช้ หากต้องตัดสินลงโทษก็มีเพียงโทษตัดศีรษะคนทั้งตระกูลซึ่งร้ายแรงมาก และคนในสกุลฮั่วไม่ได้ทำความผิดอันใดที่ต้องได้รับโทษหนักถึงเพียงนั้น
นางควรพูดอย่างไรดีนะ?
ซูจิ่นซีกำลังสับสน ทันใดนั้นอินกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ด้านข้าง ฮ่องเต้ก็กล่าวขึ้นว่า “ตามที่หม่อมฉันเห็น เรื่องในวันนี้ไม่ควรกล่าวโทษพระชายาโยวอ๋องทั้งหมด แท้จริงแล้วพระชายาโยวอ๋องสมรสเข้ามาในราชวงศ์ได้ไม่กี่วันเองกระมัง? ภายในวังนั้นมีกฎระเบียบมากมาย นางไม่ได้ร่ำเรียนทั้งหมด เช่นนั้นก็พอเข้าใจนางได้”
ดูเหมือนว่าอินกุ้ยเฟยจะพูดแทนซูจิ่นซี ทว่าความจริงแล้วกลับเป็นการฆ่าซูจิ่นซีด้วยไม้เท้า บ่งบอกถึงการขาดมารยาทของนาง
ฮองเฮาที่ไม่ได้กล่าวอันใดมาตั้งแต่ต้น ในที่สุดก็ตรัสขึ้นว่า “พระชายาโยวอ๋องเป็นผู้ที่รู้จักแยกแยะ ข้าเชื่อว่าที่นางมาเยือนศาลาในสวนแล้วพูดจาเช่นนั้นจะต้องไม่ไร้เหตุผลอย่างแน่นอน เรื่องนี้ต้องมีเหตุผล พระชายาโยวอ๋อง เจ้ามีเหตุผลอันใดกัน เจ้าไม่ต้องกังวล ค่อยๆ พูดเถิด”
ในที่สุดก็มีผู้ที่พูดแทนซูจิ่นซีอย่างจริงใจ หัวใจที่สับสนของซูจิ่นซีรู้สึกอุ่นวาบขึ้นเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นมองพระเนตรที่จริงใจและสดใสของฮองเฮา
“หม่อมฉัน… ”
ซูจิ่นซีเม้มปาก ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร
“ฮึ! ” ทันใดนั้นไทเฮาก็ถอนพระปัสสาสะอย่างเย็นชาแล้วกล่าวว่า “ตามที่ข้าเห็น เกรงว่ามารยาทเหล่านี้ แม้ใช้เวลาชั่วชีวิตพระชายาโยวอ๋องก็ไม่สามารถเรียนรู้ได้ ถึงอย่างไรนกกระจอกกับหงส์ก็มีความแตกต่างกันอยู่ดี คนเช่นใดที่จะประคองวงศ์ตระกูลของจวนโยวอ๋องได้ คนเช่นใดที่จะคู่ควรเหมาะสมกับฐานะพระชายาโยวอ๋อง ฮ่องเต้…พระราชทานสมรสครั้งต่อไปเจ้าควรใช้สายตามองให้กว้างไกล”
“เสด็จย่า ท่านกำลังพูดถึงพี่หญิงหนานกงหรือเพคะ? หวาหรงก็คิดว่าพี่หญิงหนานกงกับเสด็จอาโยวอ๋องเหมาะสมกันเพคะ ไม่เช่นนั้นเสด็จย่าก็ออกโองการ ยกเลิกฐานะชายาโยวอ๋องของซูจิ่นซี แล้วให้พี่หญิงหนานกงเป็นชายาโยวอ๋องแทนเถิดเพคะ! ”
พี่หญิงหนานกง?
ในใจของซูจิ่นซีตื่นตระหนก นางอดไม่ได้ที่จะกวาดตามองขึ้นไปยังบุคคลที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็เห็นสตรีที่มีลักษณะเพรียบพร้อมและสง่างามนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างไทเฮากับเยี่ยโยวเหยา
สตรีผู้นั้นมีดวงตากลมโต พวงแก้มอมชมพู คิ้วดกหนา แม้ดูเหมือนว่านางจะมีอายุพอๆ กับซูจิ่นซี ทว่านางกลับดูสงบและสง่างาม มีเกียรติสูงส่ง มองเพียงแวบแรกก็ทราบได้ว่าเป็นสตรีล้ำค่าบุญหนาศักดิ์ใหญ่ เมื่อเปรียบเทียบกับซูจิ่นซีแล้ว ผู้หนึ่งเป็นเมฆที่มีสีสันบนท้องฟ้า ผู้หนึ่งคือฝุ่นและสิ่งสกปรกบนพื้นดิน แน่นอนว่าฝ่ายตรงข้ามคือเมฆ และซูจิ่นซีคือดิน
สตรีนางนั้นอมยิ้มเล็กน้อย นางยิ้มให้ซูจิ่นซีอย่างผู้ที่ถูกอบรมมาอย่างดี
ซูจิ่นซีรู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายเปรียบเทียบในทันที
“หึ บ้าไปแล้วกระมัง? ” หวาหรงจวิ้นจู่เบะคางและทำปากยื่นเข้าหาซูจิ่นซี “ซูจิ่นซี ดูเจ้าสิ เจ้าจะเอาอันใดมาเปรียบเทียบกับพี่หญิงหนานกง? หากข้าเป็นเสด็จอาโยวอ๋องละก็จะต้องสมรสกับพี่หญิงหนานกงแล้วหย่ากับเจ้าอย่างแน่นอน”
พูดเสร็จก็เสริมขึ้นอีกประโยคอย่างภูมิใจ
“ครั้งนี้พี่หญิงหนานกงมาที่จงหนิงเพื่อเยี่ยมเสด็จอาโยวอ๋อง เสด็จอาโยวอ๋องกับพี่หญิงหนานกงเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน ทั้งสองรักกันมานาน และยังได้ให้คำมั่นที่จะอภิเษกสมรสกันด้วย! ”
คำมั่นที่จะอภิเษกสมรสกัน?
ช่วงเวลาที่ผ่านมาซูจิ่นซีไม่เห็นเยี่ยโยวเหยาเลย เยี่ยโยวเหยาไม่แม้แต่จะถามไถ่เรื่องของนาง กลับวางท่าเฉยเมยไม่สนใจ ที่แท้ก็เพราะว่าอยู่กับสตรีที่รู้จักมักจี่กันมาตั้งแต่เด็กผู้นี้ตลอดเลยสินะ!
หัวใจของซูจิ่นซีเหมือนถูกบางสิ่งยึดไว้แน่น นางรู้สึกแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก แสบตาแสบจมูก สายตาของซูจิ่นซีค่อยๆ หันไปมองยังเยี่ยโยวเหยาที่นั่งอยู่เงียบๆ ข้างแม่นางหนานกง