บทที่ 110: วิกฤติ !

ในคฤหาสน์เขาวงกต โรเอลพิงบนเก้าอี้ของเขา พลางหายใจเข้าออกลึก ๆ มาตั้งแต่ช่วงหลังอาหารกลางวันจนถึงตอนนี้ เด็กชายมีความรู้สึกราวกับว่าพลังชีวิตของเขากำลังไหลผ่านรอยแยกนิ้วมือไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าเขาจะพยายามจับมันมากแค่ไหนก็ตาม

จากการพูดคุยกับนอร่านั้น โรเอลได้ค้นพบเกี่ยวกับห่วงโซ่ของเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเดินขบวนแห่งความวุ่นวายของโลกความเป็นจริงนี้พร้อมกับชะตากรรมสุดท้ายของบุคคลสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง…

… อย่างไรก็ตามโรเอลยังไม่ได้ลืมเกี่ยวกับคนที่ยังไม่ล่วงลับ และได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาเมื่อไม่นานนี้

“เฟลเดอร์ คือไบรอัน? นี่… มันเป็นไปได้ยังไง?”

แม้แต่นอร่าก็ยังแทบจะไม่สามารถทำใจเชื่อในสิ่งที่โรเอลกล่าวออกมาได้ เธอได้เห็นเฟลเดอร์ด้วยตาของเธอเอง อัศวินผมสีทองคนนั้นได้ทิ้งความประทับใจไว้กับเธอเช่นกัน นิสัยอันชอบธรรมและภักดีของเขาขัดแย้งกับไบรอัน ซึ่งเป็นดั่งงูพิษเลือดเย็นมาก

“โรเอล เป็นไปได้ไหมว่าเจ้าจะจำรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้พลาดไป? เฟลเดอร์และไบรอันมีสายเลือดเดียวกัน ดังนั้นผลลัพธ์อาจมีความคลาดเคลื่อนก็ได้นะ?”

“ไม่ ฉันไม่คิดว่าผลลัพธ์ของฉันจะพลาด”

เมื่อนึกถึงคำแนะนำและรายงานการสอบสวนของสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาที่เขาได้ยินมาจากอาร์เว่น โรเอลก็ยิ่งมั่นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้

“คาถาเวทที่ฉันใช้ไม่มีทางผิดพลาด แม้ว่าจะมีการระบุเอาไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเฟลเดอร์ฆ่าตัวตายและเสียชีวิตไปแล้ว แต่อย่างที่พวกเราทราบกันดี ตอนนี้บันทึกทางประวัติศาสตร์ไม่มีอะไรที่สามารถเชื่อถือได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเราจะยอมรับว่า เฟลเดอร์ ได้ฆ่าตัวตายไปจริง ๆ แล้ว แต่หากคำนวณจากอิทธิพลที่ตระกูลเอลริกมีในสมัยนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะหาพิธีกรรมบางอย่างมาเพื่อชุบชีวิตเฟลเดอร์”

“ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับลัทธิชั่วร้ายที่มีวิธีการชุบชีวิตคนตายนะ แต่ส่วนใหญ่มักจะมีผลข้างเคียงที่รุนแรง และบุคคลที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาก็มีแนวโน้มที่จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในบุคลิกภาพของเขา นั่นอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาทั้งสองคนจึงแตกต่างกันมาก”

นอร่าพยายามตั้งทฤษฎีจากข้อสันนิษฐานของโรเอล เพื่อวิเคราะห์ความเป็นไปได้ พวกเขาสรุปว่าข้อสันนิษฐานนั้นเป็นไปได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่มีหลักฐานที่จะมาพิสูจน์เรื่องนี้ ในท้ายที่สุดนอร่าจึงตัดสินใจว่าจะลองแจ้งผู้อาวุโสของตระกูลเซไซต์เกี่ยวกับเรื่องนี้

“อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพวกเราไม่มีหลักฐานใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเราจึงไม่สามารถใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการสอบสวนตระกูลเอลริกได้”

“ใช่ ฉันเข้าใจ ฉันไม่ได้คิดว่าจะจัดการกับตระกูลเอลริกด้วยเรื่องนี้เช่นกัน ฉันแค่คิดว่าฉันควรเตือนเธอว่า พวกเอลริกอาจน่ากลัวมากกว่าที่เราเห็นภายนอกมาก”

คำพูดอันจริงจังของโรเอล นำความอบอุ่นมาสู่หัวใจของนอร่า แสงสีเขียวเปล่งออกมาจากศีรษะของเธอ ขณะที่ทั้งสองสนทนากัน หัวข้อการสนทนาก็มาถึงการจูบที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่ในหมู่ขุนนางและสามัญชนในเมืองหลวงอันศักดิ์สิทธิ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โรเอลมองกระจกที่อยู่ข้างหน้าเขา ริมฝีปากของเขาทำให้เด็กชายรู้สึกระส่ำระสายเล็กน้อย

เขาหวนคิดถึงอดีตของตน ที่โรเอลเลือกจะจดจ่อกับการเรียนในวัยมัธยมปลาย ไม่สนใจที่จะหาแฟนทันที พอหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ในที่สุดเขาก็ลงเอยด้วยการได้มาเกิดใหม่ในโลกนี้โดยที่ไม่เคยได้เดทกับใครเลยสักคน

จูบที่โรเอลมีกับนอร่าถือเป็นจูบแรกในชีวิตทั้งสองของเขา มันจึงช่วยไม่ได้ที่ใบหน้าของเด็กชายจะเห่อแดงขึ้นเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้แก้มของเขาร้อนผ่าวลุกเป็นไฟก็คือปฏิกิริยาของนอร่า ตอนแรกเธอยังคงพูดอย่างใจเย็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยบอกว่ามันเป็นเพียงแค่การรักษาโรเอลเท่านั้น

ทว่าเมื่อเธอสังเกตเห็นใบหน้าอันเขินอายของโรเอล การหายใจของเธอก็เริ่มหนักหน่วงขึ้นเล็กน้อย นอร่ากัดริมฝีปากของเธอก่อนจะเลียมันด้วยใบหน้าหวนคิดถึงความหลัง จากนั้นดวงตาของเด็กสาวก็หดลงเป็นเสี้ยวอันชั่วร้าย ก่อนจะเธอเอนมาข้างหน้าและกระซิบที่หูของโรเอล

“จะว่าไปแล้ว นั่นคือจูบแรกของข้า”

คำพูดเหล่านั้นทำให้หัวใจของโรเอลสั่นสะท้าน เด็กชายไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ นอร่าถึงได้แสดงท่าทางแบบนั้นออกมา แต่ลมหายใจบางเบาที่รดข้างหูของโรเอล ทำให้เขารู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย แปลกตรงที่เขารู้สึกอยากจะเข้าไปโอบกอดเธอ แต่ในที่สุดเด็กชายก็ควบคุมตัวเองได้สำเร็จ

“หืม? ข้าคิดว่าเจ้าจะกระโดดใส่ข้าเสียอีก?”

“ฉันจะกระโดดใส่เธอทำไมล่ะ?”

โรเอลจ้องมองไปที่เด็กสาวผมทองโดยไม่พูดอะไร เธอมองมาที่เขาด้วยใบหน้าที่เหมือนกำลังพูดว่า ‘ต้องมีบางอย่างผิดปกติกับเจ้าแน่ ๆ’ ราวกับว่านอร่าเชื่อว่าผู้ชายทุกคนบนโลกนี้จะสยบแทบเท้าเธอ ช่างเป็นคนที่หลงตัวเองจริง ๆ…

เอาเถอะ อย่างน้อย ๆ นอร่าก็มีต้นทุนทางหน้าตามากพอที่จะหลงตัวเองแบบนั้นได้

เมื่อโรเอลมองไปทางเด็กสาวผู้เกือบจะสมบูรณ์แบบตรงหน้าเขาอีกครั้ง เขาก็รู้สึกประทับใจที่สามารถควบคุมตนเองมาได้ตลอดจนถึงตอนนี้ ไม่ว่านอร่าจะพยายามหลอกล่อเขาอย่างไร โรเอลก็ยังสามารถตั้งสติเอาไว้ได้เสมอ บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาเคยชินกับการมองดูอลิเซีย ทำให้เริ่มมีภูมิคุ้มกันต่อสิ่งมีชีวิตอันงดงามสมบูรณ์แบบมากขึ้น

“มันสำคัญเหรอว่าฉันจะต้องกระโดดใส่เธอ? ถ้าฉันทำแบบนั้นแล้วเธอจะยอมรึไง?”

“แน่นอนว่าไม่ ข้าแค่จะใช้มันเป็นข้อแก้ตัวตอนเหยียบย่ำเจ้า”

นอร่าสารภาพความคิดที่แท้จริงของเธอออกมาอย่างไม่ลังเล ทำให้โรเอลเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“เธอนี่มัน… เลิกวางกับดักให้ฉันในทุกย่างก้าวจะได้ไหม?”

“ก็เจ้าเอาแต่ปฏิเสธข้านี่นา ข้าจะขอบใจเจ้ามาก ถ้าเจ้ายอมทำตามความต้องการของข้าสักครั้ง ถึง แม้ว่ามันจะเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนตัวของข้าก็ตาม”

นอร่าถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ทำให้เปลือกตาของโรเอลกระตุกเล็กน้อย เด็กชายลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะยอมอ่อนข้อลง

“จะว่าไปการเหยียบย่ำที่ว่านั่น เธอตั้งใจจะให้มันเป็นแบบไหน?”

“โอ้? เจ้ายินดีจะยอมข้าจริง ๆ งั้นเหรอ? ข้าไม่ได้ต้องการอะไรมากหรอก เจ้าแค่ต้องนอนราบลงกับพื้นเหมือนสุนัข​และ…”

“ฉันขอปฏิเสธ”

เพียงครึ่งทางในคำขอของนอร่า โรเอลก็ทำลายความเห็นใจทั้งหมดที่เขามีต่อเธอและปฏิเสธไปอย่างรวดเร็ว กลับกันแล้วนอร่าที่เพิ่งจะได้เห็นความหวังอันริบหรี่จากโรเอล ก็เริ่มคร่ำครวญด้วยความไม่พอใจ แต่เธอก็ไม่ได้ฝืนพูดประเด็นนี้ต่อ

ทั้งสองพูดคุยกันสัพเพเหระอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากห้องไปพบกับอลิเซียที่โต๊ะน้ำชา ทว่าโดยที่โรเอลไม่คาดคิด จู่ ๆ ‘โต๊ะน้ำชา’ ที่ว่าได้กลายเป็นสนามรบอันโหดร้ายอีกสนามหนึ่ง

บนโต๊ะข้างหน้าต่างอันเต็มไปด้วยทัศนียภาพอันสวยงามของสวนด้านนอก โรเอลพบว่าตัวเองถูกหนีบอยู่ระหว่างนอร่าและอลิเซีย เด็กหญิงทั้งสองคนวางส้อมลงตรงหน้าเขา เฝ้ารอคอยคำตอบจากเด็กชาย

ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมถึงมีคำพูดกล่าวไว้ว่า ‘สิ่งที่เคยทำย่อมย้อนกลับมาหาตัวเอง’ กลายเป็นว่าวันนี้โรเอลที่เคยป้อนอาหารให้ผู้อื่น กลับกลายเป็นฝ่ายถูกสาว ๆ ป้อนเสียเอง

กิจกรรมป้อนอาหารให้อลิเซียของโรเอลทำให้นอร่าไม่พอใจเท่าไหร่นัก เธอคิดที่จะโต้กลับกลยุทธ์นั้นทว่าบนโต๊ะอาหารมีมาร์ควิสคาร์เตอร์ร่วมอยู่ด้วยเพื่อรักษามารยาท มื้ออาหารกลางวันก่อนหน้านี้จึงเป็นไปตามปกติ เวลาน้ำชายามบ่ายที่เป็นกิจกรรมสำหรับการ ‘ผ่อนคลาย’ จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่เธอจะได้เปิดฉากโจมตี

แน่นอนว่าสำหรับคนที่มีอำนาจเหนือกว่าอย่างนอร่า เธออยากจะเป็นฝ่ายป้อนอาหารมากกว่าเป็นคนที่ถูกป้อนอยู่แล้ว นอร่าวางมือบนแก้มอันแดงก่ำของเธออย่างเฉยเมย ก่อนจะขยับส้อมของเธอไปทางปากของโรเอลด้วยแววตาเป็นประกาย

น่าเสียดายที่มีผู้เข้าแข่งขันอีกรายในการแข่งขันนี้ด้วย

อลิเซียไม่อาจมองข้ามพฤติกรรมของนอร่าได้ เธอจึงหยิบส้อมขึ้นมาและทำแบบเดียวกันให้กับโรเอล สิ่งนี้ทำให้นอร่ารู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย

“อลิเซีย จากความทรงจำของข้า ไม่ใช่ว่าเจ้ามีอาการตื่นกลัวมีดและส้อมหรอกเหรอ? ตอนนี้เจ้าดูจะถือพวกมันได้อย่างปกติเลยนะ”

“ฝ่าบาทนอร่า ดิฉันพยายามอย่างหนัก เพื่อที่จะสามารถเอาชนะความกลัวได้ แม้มันจะยังเร็วเกินไปสำหรับดิฉันที่จะใช้มีด ถ้าหากเป็นเพียงแค่ส้อม ดิฉันก็ไม่มีปัญหา เพื่อท่านพี่แล้วล่ะก็ ดิฉันยินดีที่จะทนกับความไม่สบายใจนี้”

นอร่าและอลิเซียดูสนิทสนมกันเป็นพิเศษ คำพูดของพวกเธอ​เองก็สุภาพอย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน รอยยิ้มอันอบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสาว ๆ ทั้งสอง น่าเสียดายที่รอยยิ้มของพวกเธอไม่ได้มีผลกับแววตาเลยสักนิด

“โรเอล เจ้านี่อร่อยมากนะ มาเถอะ อ้าปากกว้าง ๆ แล้วกินเข้าไปซะ”

“ท่านพี่ นี่เป็นครั้งแรกที่ดิฉันจะป้อนอาหารให้ท่าน ท่านจะไม่ปฏิเสธใช่ไหม?”

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสองสาวที่น่ารักที่สุดในจักรวรรดิเซนต์เมซิท โรเอลรู้สึกราวกับว่าแถบพลังชีวิตของเขากำลังหมดลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าเขาจะซื่อบื้อแค่ไหน มันก็ไม่มีทางเลยที่เขาจะไร้เดียงสามากพอที่จะเชื่อว่าเด็กสาวสองคนนี้สนใจเพียงแค่การป้อนอาหารให้กับเขา

ประเด็นหลักไม่ใช่การกินเลยสักนิด! มันอยู่ที่ว่าเราจะเลือกใครสินะ!

ไม่ว่าความคิดจริง ๆ ของโรเอลจะเป็นอย่างไร คนที่เขายอมกินอาหารในส้อมเป็นคนแรกจะถูกมองว่าเป็นคนที่เขาให้ค่าความสำคัญมากกว่า ถ้าเขาสามารถเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง และเก็บเธอเอาไว้ท่ามกลางเพื่อนสาวของเขาได้ล่ะก็ เขาจะตัดสินใจโดยไม่ลังเลเลย แต่นี่…

ราวกับว่ามีหมาป่าและเสือดักรออยู่ข้างหลังโรเอล เขากำลังติดกับดักของพวกเธอโดยสมบูรณ์! ในช่วงเวลาอันเลวร้ายนี้ โรเอลผู้มีไหวพริบเฉียบแหลมได้ตบต้นขาของเขาลง และเผชิญกับวิกฤติตรงหน้า

“ฮ่าฮ่าฮ่า กลางวันนี้ฉันไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่ ตอนนี้ฉันเลยหิวมากน่ะ”

โรเอลหยิบอาหารออกจากส้อมของทั้งคู่แล้วยัดพวกมันเข้าปากพร้อม ๆ กันด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ

“อืม มันไม่เลวนี่ นอร่า ช่วยเอาขนมสีเหลืองนั่นมาให้ฉันอีกได้ไหม อลิเซีย เธอส่งจานมาการองมาให้ฉันด้วยนะ”

“อา? อ๋อ แน่นอน”

“เข้าใจแล้วค่ะ ท่านพี่”

สองสาวกะพริบตาอย่างสับสนไปครู่หนึ่งก่อนจะลงมืออย่างรวดเร็ว จากนั้นเด็กหญิงทั้งสองก็เริ่มป้อนอาหารให้เขาทีละคน ทำให้โรเอลต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ โชคดีที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเขา

หึ มันแน่อยู่แล้ว! หากถูกบังคับให้อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกล่ะก็ โรเอลขอเลือกเป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดในการควบคุมกฎดีกว่า!

หากเขายังคงนิ่งเฉย ยอมให้เด็กหญิงทั้งสองทำตามที่พวกเธอ​พอใจ ทั้งสองก็จะทำอย่างนั้นซ้ำ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าพวกเธอ​จะได้รับคำตอบที่ตัวเองต้องการ

ไม่ว่าโรเอลจะพยายามจัดการกับสถานการณ์อย่างไร จุดจบก็ไม่มีทางลงเอยดี ๆ แน่ หากเป็นฝ่ายขึ้นมาคุมทุกอย่างเอง หัวข้อก็จะเปลี่ยนจากการแข่งขันระหว่างเด็กสาวทั้งสองคน เป็นภารกิจเพื่อตอบสนองความอยากอาหารของเขาแทน

โชคดีที่ดูเหมือนว่าเด็กสาวทั้งสองคนเองก็พอใจกับการได้เห็นโรเอลกลืนอาหารที่พวกเธอป้อนให้เขา อย่างไรก็ตาม ข้อเสียก็คือตอนจบอันสงบสุขนี้ ก็มีราคาที่จะต้องจ่าย

“นายน้อย? นายน้อย สบายดีรึเปล่าคะ?”

“ฉันสบายดี ฉันสบายดี… ฉันแค่กินมากเกินไปหน่อย ของหวานมันค่อนข้างหวาน พอกินมาก ๆ เข้ามันก็…”

หลังจากกิจกรรมบนโต๊ะน้ำชาสิ้นสุดลง โรเอลก็ส่งนอร่ากลับออกไปก่อนจะมานั่งยอง ๆ ลงที่ข้างผนังคฤหาสน์และถอยกลับไปอย่างเชื่องช้า

เนื่องจากขนมเหล่านี้ทำมาเพื่อรับประทานคู่กับชา มันจึงหวานกว่าปกติเล็กน้อย แค่ในปริมาณน้อยก็ถือว่าหวานมากแล้ว แต่นี่โรเอลกลับกินปริมาณสำหรับสามคนเข้าไปด้วยตัวคนเดียว!

“อย่าเอาอะไรหวาน ๆ มาให้ฉันในมื้อเย็นนะ วันนี้ฉันไม่อยากกินของหวานแล้ว”

“เข้าใจแล้วค่ะ นายน้อย ให้ดิฉันเรียกแพทย์ให้ไหมคะ?”

“ไม่ต้องหรอก ช่วยฉันระวังอย่าให้อลิเซียมาเห็นสภาพนี้ของฉันก็พอ”

“รับทราบค่ะ”

แอนนาสูดหายใจเข้าลึก ๆ พลางคิดเป็นครั้งแรกว่าจริง ๆ แล้วนายน้อยก็น่าสงสารเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่อลิเซียและนอร่าต่างมีความสุขกับช่วงเวลาก่อนหน้านี้ แต่โรเอลกลับถูกทิ้งให้ต้องทนทุกข์ทรมานเพียงลำพัง โดยกลัวว่าอีกสองคนจะรู้เรื่องนี้เข้า

บางทีนี่อาจจะเป็นราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการโปรยเสน่ห์สินะ?

(แต้มความสนใจ +300 !)

แอนนาส่ายหัวพร้อมสาบานกับตัวเองว่าจะปฏิบัติต่อโรเอลให้ดีขึ้นกว่าเดิม ขณะเดียวกันเมื่อมองไปยังแสงสีเขียวที่พุ่งออกมาจากศีรษะของแอนนา โรเอลก็รู้สึกสับสนสุด ๆ

นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมเราถึงได้รับแต้มความสนใจจากสภาพนี้กัน? แอนนาอยากเห็นเราอ้วกรึไง?

กิจกรรมบนโต๊ะน้ำชาเป็นเหมือนสนามรบสำหรับโรเอลจริง ๆ แต่เขาก็ทำได้ค่อนข้างดี ศีรษะของนอร่าและอลิเซียเปล่งแสงสีเขียวออกมาตลอดเวลาในขณะที่กำลังป้อนอาหารให้กับเขา โดยรวมแล้วพวกเธอให้แต้มความสนใจกับโรเอล เกือบ 10,000 แต้มเลยทีเดียว

“ตอนนี้เรามีเก็บแต้มความสนใจมากพอสมควรแล้ว ถึงเวลาที่เราจะต้องใช้มันแล้วสินะ”

โรเอลพึมพำกับตัวเอง

ปัจจุบันเขามีแต้มความสนใจมากกว่า 200,000 แต้มในบัญชีของเขา ในจำนวนนั้นเป็นของอลิเซียผู้สนับสนุนรายหลักของเขากว่า 50,000 แต้ม ในทางกลับกัน นอร่าก็เริ่มบริจาคแต้มความสนใจเป็นจำนวนมากขึ้นเช่นกัน โดยครั้งหนึ่งเธอได้ให้แต้มความสนใจ 3,000 แต้มกับเขา หลังจากที่พวกเขากลับมาจากอดีตได้ไม่นาน

เมื่อทราบถึงความสำคัญเบื้องหลังแต้มความสนใจเหล่านี้ โรเอลก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เด็กชายเริ่มรู้สึกว่าความลำบากทั้งหมดที่เขาจ่ายไปนั้นได้รับผลตอบแทนกลับมาอย่างคุ้มค่า

“ทั้งสองคนคงจะไม่มีทางทำร้ายเราแล้ว เท่านี้เราก็พ้นขีดอันตรายไปได้ครึ่งทางแล้วสินะ ช่างเป็นไปตามที่คาดไว้จริง ๆ!”

โรเอลพึมพำกับตัวเองอย่างพึงพอใจ