บทที่ 102: ข้ากำลังหาความสมดุลในยมโลก (1)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 102: ข้ากำลังหาความสมดุลในยมโลก (1)

ฉินเย่ตกตะลึงเป็นอย่างมาก

เขามองไปยังโต๊ะลงทะเบียนที่ยาวพอที่จะรองรับผู้ตรวจสอบอดีตกรรมได้มากกว่า 100 ตน จากนั้นจึงหันไปมองความมืดที่อยู่ล้อมรอบ ร่างของเด็กหนุ่มสั่นเทาอย่างรุนแรง “ถอนตัวตอนนี้ยังทันหรือเปล่า?”

โครม!!

ทว่าก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ หนึ่งในต้นไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ ก็โค่นลงกับพื้น อาร์ทิสสะบัดมือของตนเองและแย้มยิ้มอย่างงดงาม “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”

ดูเหมือนว่า…มันคงจะเป็นไปไม่ได้แล้วสินะ….

“ถ้าเช่นนั้น…อันดับแรก ข้าคงต้องหาวิญญาณที่ไว้ใจได้มาทำหน้าที่ผู้ตรวจสอบอดีตกรรมก่อนใช่หรือไม่?” ฉินเย่ลูบคางและเอ่ยออกมา

ทันใดนั้น ตู้ม! เสียงบางอย่างพลันดังก้องไปทั่วทั้งพื้นที่

“หืม…ดูเหมือนว่าลูกค้าคนแรกของเจ้าจะเพิ่งก้าวเท้าผ่านประตูมานะ” อาร์ทิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นขณะที่มองดูแถวของวิญญาณจำนวนมากที่กำลังเดินทางมายังพระราชวังผ่านเส้นทางยาวไกลอย่างสนใจ

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน….ฉินเย่มองวิญญาณพวกนั้นและขมวดคิ้วเข้าหากัน

ลูกไฟวิญญาณจำนวนมากลอยออกมาจากกลุ่มก้อนพลังหยินที่อยู่รอบ ๆ ราวกับหิ่งห้อยที่บินอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน จากนั้น ทันทีที่ลูกไฟวิญญาณดังกล่าวกระทบลงกับที่พื้น มันก็กลายร่างเป็นวิญญาณที่ตกตะลึง

สิ่งที่เพิ่งได้เห็นนั้นแตกต่างจากสิ่งที่เขาคิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง ทุกอย่างไม่เป็นระเบียบ วิญญาณมากกว่าพันตนเป็นอย่างต่ำ ปะปนกันทั้งชายหญิง บางตนสวมชุดสูทพนักงานและถือกระเป๋าเอกสาร ในขณะที่ส่วนมากล้วนเป็นคนชราที่มีผมขาวหมดทั้งศีรษะ พวกเขาต่างมองไปรอบ ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น ชี้นั่นชี้นี่ไปทั่ว มันมีแม้กระทั่งวิญญาณที่เอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของตัวเองขณะที่ยืนคุยกับวิญญาณตนอื่นด้วยซ้ำ

มีอะไรในกระเป๋ากัน?

ฉินเย่กุมขมับอย่างปวดหัว เมื่อรู้ว่าวิญญาณพวกนี้ยังมีความคิดถ่ายรูปสภาพแวดล้อมโดยรอบและโพสต์ลงออนไลน์ ทั้ง ๆ ที่ตายไปแล้วอยู่อีกเหรอ?

วิญญาณเหล่านี้ไม่มีท่าทีเกรงกลัวเลยสักนิด!

ในจินตนาการของเขา เขาคาดว่าจะได้เห็นแถวของวิญญาณถูกมัดมือเท้าด้วยเชือก ก้มหน้า เดินตามยมเทพและนักล่าวิญญาณเงียบ ๆ… เห็นได้ชัดว่าใบไม้สีแดงเข้มและธนบัตรนรกที่ปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้านั้น ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างความหวาดกลัวในจิตใจของดวงวิญญาณพวกนี้ได้ นี่เราควรจะชื่นชมพวกเขาที่ใช้ชีวิตสมกับชื่อวิญญาณรุ่นใหม่แห่งแผ่นดินจีนหรือเปล่านะ?

“นี่มัน…เหตุใดพวกเขาถึงไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยสักนิดล่ะ?” ฉินเย่ส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ “นี่ข้าออกแบบบรรยากาศของยมโลกออกมาได้ไม่ดีพออย่างนั้นหรือ?”

อาร์ทิสหยิบท่อยาสูบออกมาและสูบมันพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “หากพูดกันตามตรง มันออกมาค่อนข้างดี แต่ยมโลกก่อนหน้านี้ถูกล้อมรอบไปด้วยระบบเสียงรอบทิศทางจากสนับสนุนของ ‘บริษัทเฮ่ยซาน’ อุปกรณ์ทั้งหมดถูกติดตั้งไปทั่วทุกมุมของประตูนรก และค่าใช้จ่ายสำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวก็เป็นจำนวนเงินหลายสิบล้านหยวน นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ส่องแสงของ ‘บริษัทฮว่าผี’ ซึ่งเป็นจำนวนเงินหลายสิบล้านเช่นกัน นอกจากนี้มันยังมีทางเดินที่ถูกสร้างขึ้นโดยกลุ่มก่อสร้างเอ้อล๋ายด้วย…”

ฉินเย่กุมขมับ “เข้าใจแล้ว…ตอนนี้ข้ามีฉากแล้ว แต่บรรยากาศของนรกที่แท้จริงยังขาดหายไปเพราะว่าข้ายังไม่มีแสงสี เอฟเฟกต์เสียงและนักแสดงสมทบใช่หรือไม่?”

“ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น” อาร์ทิสพ่นควันสีเขียวออกมาขณะที่ปรายตาไปมองฉินเย่ “หากปราศจากยมบาลและการปราบปรามด้วยวิญญาณอยู่โดยรอบ วิญญาณพวกนี้จะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน? ในความไม่รู้นั้น พวกเขาอาจจะคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองคือผู้ถูกเลือกใน Infinity Games[1]”

“…นี่ท่านอ่าน Infinity Games ด้วยอย่างนั้นหรือ…ข้าควรจะจำกัดการใช้อินเทอร์เน็ตของท่านดีหรือเปล่า…”

“เงียบแล้วฟัง…อย่าพูดแทรกข้าด้วยเรื่องไร้สาระพวกนั้น” นางเคาะศีรษะของเด็กหนุ่มด้วยท่อยาสูบและกลอกตาใส่ “แหล่งที่มาหลักของแต้มกุศลสำหรับยมบาลไม่ใช่การปัดเป่าวิญญาณชั่วร้าย กลับกัน มันคือการประเมินในทุก ๆ สิบปีของการมอบหมายงาน ในการประเมินนั้น ยมบาลทุกคนจะได้รับแต้มกุศลเป็นจำนวนหนึ่งในสิบของแต้มกุศลที่จำเป็นต้องใช้ในการเลื่อนขั้นของพวกเขา ทีนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง?”

ฉินเย่ขมวดคิ้วและพยักหน้า

อาร์ทิสไม่จำเป็นจะต้องอธิบายทุกสิ่งอย่างละเอียด ความหมายของสิ่งที่นางพูดมาก็คือแม้แต่เจ้านรกผู้สูงส่งเองก็ล้วนเริ่มตั้งแต่การเป็นแค่เจ้าหน้าที่ระดับหมู่บ้านมาก่อนทั้งนั้น

ในเมื่อเขาตกลงรับคำสั่งในการสร้างยมโลกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เขาจึงต้องทำทุกอย่างไปทีละขั้น

และสิ่งแรกที่เขาด้วยทำก็คือพยายามติดต่อกับวิญญาณพวกนั้น

อาร์ทิสกระโดดขึ้นไปบนหลังคา ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และคลื่นพลังหยินที่น่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกมาจากร่างของเขา เด็กหนุ่มเปลี่ยนไปอยู่ในร่างยมทูตขั้นนักล่าวิญญาณและนั่งลงบนเก้าตัวหนึ่งที่อยู่ด้านหลังของโต๊ะยาว

“เจ้าจะรับมือกับสิ่งนี้อย่างไรกันนะ?” อาร์ทิสเคาะนิ้วยางที่ถูกทาสีอย่างสวยงามลงบนเปลือกตาเบา ๆ รอยยิ้มบางประดับอยู่บนใบหน้า นางพึมพำเบา ๆ ว่า “เมื่อปราศจากการปราบปรามที่ยำเกรงของเหล่ายมบาล วิญญาณพวกนี้ก็จะไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ…”

ฉินนั่งอยู่ในโถงหลังด้วยความหวั่นใจขณะที่มองดูกลุ่มวิญญาณหลั่งไหลเข้ามาหาตน จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าช้า ๆ

“ใจเย็น ๆ…ใจเย็น ๆ!” เขายกมือทาบอกตัวเอง “มันเป็นแค่การแสดงอย่างที่ทำประจำไม่ใช่หรือไง? นายทำได้หน่า…ถ้าเป็นเรื่องการแสดงล่ะก็ นายไม่เป็นสองรองใครแน่นอน!”

หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง วิญญาณทั้งหมดก็มาถึงหน้าประตูวัง ทั้งหมดได้รับคำทักทายด้วยคำสองคำบนป้ายขนาดใหญ่ทันที ทันทีที่พวกเขาได้อ่านโครงเบื้องหน้าแล้ว แววตาของวิญญาณทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นซับซ้อน ความเงียบปกคลุมไปทั่ว

ถึงแม้ว่าใบหน้าของฉินเย่ในตอนนี้จะเรียบเฉย… แต่ภายในเขากลับร้อนรนอย่างน่าเหลือเชื่อ

ให้ตายเถอะ….นี่คืองานที่ยมบาลมือใหม่เอี่ยมจะต้องทำอย่างนั้นหรือ?!

พื้นที่โดยรอบไม่มีการส่งเสียงใด ๆ เสียงเดียวที่ดังขึ้นมีเพียงเสียงของธนบัตรนรกที่ปลิวว่อนไปในอากาศ ไม่นานหลังจากนั้น เสียงพูดคุยก็เริ่มดังขึ้นจากกลุ่มก้อนวิญญาณตรงหน้าอีกครั้ง และในที่สุด วิญญาณชายสูงวัยคนหนึ่งก็ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนคนทั้งหมด เขาค่อย ๆ ก้าวออกมาด้านหน้าด้วยความช่วยเหลือของไม้เท้าในมือ

เมื่อทั้งสองฝ่ายสบตากัน หัวใจของชายชราก็พลันรู้สึกเย็นเฉียบ

ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าของเขาในเวลานี้ไม่ใช่มนุษย์ ม่านตาสีดำ รูม่านตาเป็นสีขาว พร้อมกับผมขาวทั้งหัว ชายชรานึกถึงคำสองคำบนป้ายที่ทางเข้า เขาตัวสั่นและคุกเข่าลง “นายท่าน…ที่นี่…คือนรกอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่” ฉินเย่เอ่ยตอบเสียงเรียบ แต่มันก็ยังดังก้องไปทั่วอยู่ดี “พวกเจ้าทุกตนได้ตายไปแล้ว”

ชายชราตัวสั่นขณะที่คลานไปด้านหน้าอีกสองก้าว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ผมสีขาวของเขาก็ยุ่งเหยิง ริมฝีปากสั่นเทาราวกับผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองอักเสบและสะอื้นไห้ “นายท่าน…ฉะ…ฉันมีนามว่าหวางเจิ้งเหวิง ชายที่ร่ำรวยเป็นอันดับที่ 35 ในมณฑลอันฮุ่ย หาก…หากท่านยอมปล่อยให้ฉันกลับไปที่แดนมนุษย์…ฉันยินดีที่จะมอบทุกอย่างให้ท่าน ไม่ว่าจะต้องจ่ายเงินมากแค่ไหนก็ตาม!”

“ใช่แล้ว! นายท่าน! ขอร้องล่ะ! ฉันยังไม่อยากตาย!”

“นายท่านโปรดไว้ชีวิตเราด้วย! ลูกสาวของผมกำลังรอผมอยู่ที่บ้าน!”

“นายท่านโปรดเมตตาด้วย!”

“เงียบ!!!” เสียงร้องมากมายที่ดังขึ้นไปทั่วบริเวณ สร้างความน่ารำคาญจนฉินเย่ปวดขมับ

แต่ทันทีที่เขาเอ่ยออกไป วิญญาณทั้งหมดต่างก็เงียบเสียงลงอย่างรวดเร็ว

“เกิดแก่เจ็บตายนั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติ นรกของข้าไม่มีวันผ่อนผันให้มันผู้ใดก็ตาม พวกเจ้าคิดว่าตัวเองอยู่ที่ใด? ตลาดสดอย่างนั้นหรือ?!”

อาร์ทิสเลิกคิ้วสูงขึ้นอย่างสนใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“นายท่าน….” ชายผู้มีแผลเป็นก้าวออกมาจากกลุ่ม ใบหน้าของเขาถูกฉาบไปด้วยความโศกเศร้า “ที่นี่…คือนรกจริง ๆ เหรอครับ?”

“เจ้าคิดว่าอะไรเล่า? คิดว่าตัวเองอยู่บนสวรรค์อย่างนั้นรึ?” ฉินเย่แค่นเสียงหัวเราะหยัน

ชายร่างใหญ่กัดฟันแน่นและเอ่ยลอดไรฟันว่า “เป็นเรื่องจริงหรือไม่ที่…ผู้ที่กระทำผิดในแดนมนุษย์…จะต้องลงไปชดใช้ในขุมนรกทั้ง 18 ก่อนแล้วจึงจะเข้าสู่เส้นทางแห่งสังสารวัฏได้?”

ขณะที่เขาพูด วิญญาณตนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่โดยรอบต่างอ้าปากค้างและก้าวถอยหลังไปหลายอีกก้าว

ฉินเย่จ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นยะเยือก ไม่เอ่ยคำพูดใด ๆ ออกมา

นี่เป็นคำถามธรรมดา ๆ แต่เป็นคำถามซึ่งยากที่จะตอบ

ตอนนี้เขาไม่มีผู้ภายใต้บังคับบัญชาสักคน! ว่าที่จ้าวนรกต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองไม่รู้ว่าควรต่อจัดการกับ วิญญาณไม่ได้อยู่ภายใต้การปราบปราม แถมยังมีความคิดเป็นของตัวเองแบบนี้

ในสภาพที่กงล้อแห่งสังสารวัฏ พระตำหนักทั้งสิบ และขุมนรกทั้ง 18 ก็ยังไม่ถูกสร้างขึ้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสมุดแห่งความเป็นตายอยู่ที่ไหน แล้วเขาจะตรวจสอบความดีและความชั่วของวิญญาณตรงหน้านี้ได้ยังไง?

วินาทีนั้นเองที่เขาเริ่มจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงที่อาร์ทิสได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

นี่คือบททดสอบเจ้าหน้าที่มือใหม่อย่างเขา ว่าจะสามารถจัดการกับสถานการณ์จากวิญญาณที่มาพร้อมกันทั่วที่สารทิศได้อย่างไร

“นายท่าน…” ชายร่างใหญ่ดูกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชั้น แต่น้ำเสียงแหบแห้งที่เอ่ยออกมากลับเจือไปด้วยความบ้าคลั่งเล็กน้อย “จริงหรือไม่ครับ?”

“ตอนนี้นรกได้ตกอยู่ในสถานการณ์พิเศษ” หลังจากครุ่นคิดเป็นเวลานาน ฉินเย่ก็ตัดสินใจว่าเขาจะเปิดเผยความจริงให้กับวิญญาณทั้งหมดได้รู้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเก็บเรื่องทั้งหมดเป็นความลับ

ยิ่งกว่านั้นกลุ่มวิญญาณตรงหน้าก็มีจำนวนมากถึงพันตน…แม้แต่เขาเองก็ไม่มีความมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถจัดการอีกฝ่ายได้ทั้งหมด

เด็กหนุ่มจึงเอ่ยต่อว่า “นรกในตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นวิกฤติ เราต้องการความร่วมมือของพวกเจ้าทุกตนในการสร้างนรกขึ้นมาใหม่”

เหนือขึ้นไปบนหลังคา อาร์ทิสถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

เขาพูดตรงเกินไปแล้ว

เห็นได้ชัดว่ายายเมิ่งได้เลือกตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับงานนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ฉินเย่คือผู้เดียวที่มีความหวังที่จะทำตามคำสั่งในการสร้างนรกขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ต้น แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็มีข้อบกพร่องที่ร้ายแรงอยู่

เป็นเพราะเขาได้ทานเห็นเทียนสุ่ยเข้าไป ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตแบบไร้ตัวตนในสังคมมนุษย์ ดังนั้นอย่าคาดหวังเลยว่าฉินเย่จะเข้าใจวิธีการบริหารแม้กระทั่งระดับหมู่บ้าน แล้วนับประสาอะไรกับความรู้เกี่ยวกับการปกครองของทั้งอาณาจักร!

ดั่งเช่นในตอนนี้ เขาเพิ่งจะเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดออกไปอย่างไร้สมอง อาร์ทิสสามารถคาดการณ์ได้แล้วว่าทุกอย่างคงไม่ราบรื่นเท่าไหร่นักในวันนี้

“เจ้าไปพูดกับวิญญาณที่ยังมีความทรงจำเกี่ยวกับชาติที่ผ่านมาอย่างนั้นได้อย่างไร? มันเหมือนเจ้ากำลังเจรจาต่อรองกับมนุษย์อยู่นะ…” อาร์ทิสเอ่ยออกมาเบา ๆ

“จิตใจมนุษย์นั้นยากสุดหยั่ง มันอาจจะเป็นเรื่องง่ายในการที่จะรับมือกับคนเพียงคนเดียว แต่เมื่อพวกเขารวมกลุ่มหลายสิบหรือหลายร้อยคน ทุกอย่างก็จะคาดเดาไม่ได้อย่างสิ้นเชิง…ข้าหวังว่าเจ้าจะจดจำบทเรียนที่แสนเจ็บปวดในวันนี้ไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจของเจ้า…”

“สร้างใหม่? วิกฤติ?” เมื่อชายร่างใหญ่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ชายวัยกลางคนที่สวมแว่นตาคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “สร้างใหม่…หมายความว่าไม่มีนรกแล้วอย่างนั้นเหรอ? แล้วพวกเราจะไปอยู่ที่ไหน? แล้วพวกเรา…จะต้องมีส่วนร่วมในการก่อสร้างด้วยหรือเปล่า?”

“นายท่าน” วิญญาณผู้หญิงตนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงดัง “ฉันไม่เคยทำบาปแม้แต่ครั้งเดียว เช่นนี้ฉันต้องมีส่วนร่วมในงานก่อสร้างด้วยไหม?”

“มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่?” “ไม่ใช่ว่านรกควรจะเป็นสถานที่ซึ่งความดีและความชั่วได้รับผลตอบแทนอย่างนั้นหรือ? แต่ฉันเป็นผู้บริสุทธิ์นะ!”

“อวดดี!!” ฉินเย่ตะโกน เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทางเดินราวกับเสียงฟ้าร้อง เขารู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นพระเจ้าของโลกนี้อย่างแท้จริง

พรึ่บ…วิญญาณทั้งหมดคุกเข่าลงราวกับลูกนกตัวน้อยทันที แต่หากสังเกตอย่างละเอียดจะพบว่าวิญญาณแต่ละตนนั้นมีสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป

วิญญาณทั้งหมดล้วนมีความหวาดกลัวอยู่ในแววตาเหมือนกัน แต่นอกเหนือจากนั้น มันยังมีความรู้สึกอื่น ๆ ผสมปนเปกันซ่อนอยู่ บางคนดูมีความสุขกับความทุกข์ยากของนรก บางคนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ในขณะที่คนอื่น ๆ ลอบมองฉินเย่ และมันก็มีแม้กระทั่งวิญญาณบางตนที่กำลังกัดฟันกรอด

ความตึงเครียดและความหวาดกลัวนั้นเหมือนกับเชือกเส้นหนึ่ง สิ่งเดียวที่ฉินเย่ต้องทำก็คือรักษาความตึงเครียดดังกล่าวให้เพียงพอและต่อเนื่องโดยที่ไม่มากเกินไป

“พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงส่งเสียงดังเช่นนี้ในนรก! คงไม่อยากจะใช้ชีวิตกันแล้วสินะ?” ฉินเย่กวาดสายตามองวิญญาณทั้งหมดอย่างช้า ๆ ขณะที่กระบี่ของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรง ไม่มีใครกล้าตอบเด็กหนุ่มเลยสักคน

ทันใดนั้นเสียงของอาร์ทิสก็ดังขึ้นเบา ๆ อย่างเสนอแนะ “เจ้าสามารถสั่งให้พวกเขาไปสำรวจพื้นที่ ป่า หรือแม้แต่สร้างสิ่งก่อสร้างได้ เจ้าหนู ที่เป็นเพียงวิญญาณกลุ่มแรกเท่านั้น และมันจะมีมากขึ้นอีกในภายภาคหน้า หากเจ้าปล่อยพวกเขาไว้เฉย ๆ แบบนี้…ไม่ช้าก็เร็วมันจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ ๆ”

ฉินเย่เริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดีเกี่ยวกับสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะพูด “ยกตัวอย่างเช่น?”

อาร์ทิสหัวเราะคิดคัด “คิก ๆ…เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากมีการรวมตัวกันของวิญญาณที่ยังมีความทรงจำของอดีตชาติ โดยไร้ผู้ปราบปราม?”

ฉินเย่สูดหายใจเข้าลึก ๆ

การก่อจลาจล…

การก่อจลาจลของวิญญาณ!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเป็นยมบาลคนเดียวในที่แห่งนี้!

ในกรณีที่ร้ายแรงที่สุด นรกที่เพิ่งถูกก่อตั้งใหม่อาจจะได้ประสบกับความวุ่นวายและการก่อจลาจลของเหล่าวิญญาณจำนวนมากที่ต้องการจะโค่นล้มเขา และแต่งตั้งผู้นำคนใหม่แทน!

[1] นิยายจีนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับโลกคู่ขนาน