ตอนที่ 204 กระบี่ปะทะนิกายเหอฮวน

พันธกานต์ปราณอัคคี

ตอนที่ 204 กระบี่ปะทะนิกายเหอฮวน

มั่วชิงเฉินเพิกเฉยต่อความจองหองของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถูกต้อง อาจารย์ข้าก็คือนักพรตเหอกวง”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งมองหน้ามั่วชิงเฉิน เอ่ยด้วยความหมายประหลาดว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ”

 

 

เพิ่งสิ้นเสียง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงรูปร่างยั่วยวน กระโปรงยาวไม่พ้นเข่า เผยให้เห็นขาเรียวงามดั่งหยกคู่หนึ่งที่อยู่ข้างหลังหัวเราะว่า “ว้าย ข้ายังนึกว่าหญิงที่สามารถให้นักพรตเหอกวงที่เลื่องชื่อเห็นความสำคัญจะมีหน้าตาเช่นไร วุ่นวายอยู่ครึ่งค่อนวันยังเทียบนางหนูน้อยที่ยกน้ำชาเทน้ำของนิกายเหอฮวนเราไม่ติดเลย หึๆๆ สายตาของพรรคเหยากวงช่างพิเศษไม่เหมือนใครจริงๆ…” พูดพลางแววตาเป็นประกาย กวาดสายตายั่วยวนผ่านศิษย์เหยากวงทั้งกลุ่มรอบหนึ่ง

 

 

“ถุย นางมาร เห็นเหยากวงเราเหมือนนิกายเหอฮวนหรืออย่างไร หน้าตาพอดูได้หน่อยก็สามารถเข้ามาได้แล้วน่ะ?”

 

 

“ใช่เลย วันๆ เอาแต่ดัดจริตดีดดิ้น ตกลงบำเพ็ญเพียรหรือขายยิ้มกันแน่น่ะ!” คนที่พูดคำพูดนี้เห็นชัดว่าเคยอยู่ในโลกฆราวาสมาก่อน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพรรคเหยากวงอารมณ์โกรธพลุ่งพล่าน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชายก้มหน้าอย่างเจี๋ยมเจี้ยมอายที่จะออกเสียง อาจารย์อามั่วยืนอยู่ตรงข้ามคนเขา แตกต่างมากไปสักหน่อยจริงๆ…

 

 

“ซื้ด…” ผู้บำเพ็ญเพียรชายคนหนึ่งสูดลมเย็นเข้าอึดหนึ่ง กัดฟันเอ่ยกับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงข้างๆ ว่า “ศิษย์น้อง เจ้าหยิกข้าด้วยเหตุใด?”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่อยู่ข้างๆ ฮึเสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง เอ่ยเสียงเบาว่า “เห็นนางมารกลุ่มนั้น ตามองจนไม่กะพริบแล้ว คอยดูข้าต่อไปยังจะสนใจเจ้าหรือไม่!”

 

 

มั่วชิงเฉินกระดกมุมปากขึ้น ตาเพียงแต่มองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งว่า “ในเมื่อมา ‘เยือนสำนัก’ จะพูดไร้สาระมากมายไปไย ตกลงคนไหนจะเข้ามาก่อน?”

 

 

เมื่อเอ่ยเช่นนี้ออกมา ฝูงชนก็สงบลงทันที

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งหัวเราะเย้ยว่า “พูดจาผยองนัก สหายเต๋ามั่ว พวกเรารอเจ้าอยู่ที่นี่มาหนึ่งเดือนกว่า วันนี้จะได้ประจักษ์ท่วงท่าอันสง่างามเสียทีแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่า นอกจากเจ้า พรรคของเจ้ายังส่งใครออกศึกอีก?”

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มว่า “หากน้องสู้ไม่ได้ ย่อมมีศิษย์พี่คนอื่นออกหน้า สหายเต๋าทุกท่านไม่ต้องเป็นห่วง เชิญเถอะ”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งเบนสายตาไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงคนหนึ่ง “ศิษย์น้องหวัง ก็ให้เจ้าพบกับศิษย์ผู้เก่งกาจของนักพรตเหอกวงก่อนแล้วกัน”

 

 

ครั้งนี้นางพาผู้บำเพ็ญเพียรหญิงมาสิบกว่าคน แทบจะเป็นศิษย์ระดับสร้างรากฐานที่พลังความสามารถเก่งกาจที่สุดชุดหนึ่งของนิกายเหอฮวน แต่ละคนล้วนฝีมือไม่ธรรมดา ต่างมีสิ่งที่ถนัด

 

 

ศิษย์น้องหวังผู้นี้แม้ไม่มีส่วนที่โดดเด่นเป็นพิเศษ กลับชนะที่ทำอะไรเรียบร้อย ไม่ว่าอาวุธเวทสมบัติวิเศษอะไรก็สามารถใช้ได้หมด จุดเด่นของนางก็คือความสมดุล ออกศึกเป็นคนแรก จะได้ลองตื้นลึกหนาบางของสหายเต๋ามั่วผู้นี้พอดี

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงออกมาจากฝูงชน ยิ้มว่า “ศิษย์พี่วางใจ คนที่หลบอยู่ในสำนักหนึ่งเดือนกว่าถึงกล้าออกมา น้องยังไม่กลัวจริงๆ”

 

 

‘เยือนสำนัก’ ผลที่อยากได้ก็คือให้ผู้คนมุงดู หนึ่งคือเพื่อความยุติธรรม สองคือเพื่อกู้หน้าสำนักคืน จะได้ยืมปากผู้คนลือเรื่องนี้ออกไป ดังนั้นสถานที่ประลองจึงจัดอยู่ที่ที่ราบแห่งหนึ่งใต้เชิงเขานี่โดยตรง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงและมั่วชิงเฉินเดินเข้าไปพร้อมกัน

 

 

ศิษย์สำนักอื่นและผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักที่ตั้งวงพนันไว้ข้างๆ เชิงเขาสีหน้าตื่นเต้น ลังเลอยู่ว่าจะแทงฝ่ายไหนดี

 

 

หากมีคนเดินเข้าไปใกล้ก็จะเห็นว่าที่สามารถแทงได้มีแปดที่ด้วยกัน แบ่งเป็นตั้งแต่หนึ่งชนะศูนย์ถึงหนึ่งชนะเจ็ด อัตราส่วนการจ่ายต่างกันไป

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ล้วนแทงที่หนึ่งชนะสอง หนึ่งชนะสามนั่น ส่วนหนึ่งชนะศูนย์และหนึ่งชนะสี่คนที่แทงมีไม่กี่คน ที่ตรงหนึ่งชนะเจ็ดนั้นยิ่งไม่มีหินวิญญาณเลยแม้แต่ก้อนเดียว

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชายหน้าตาซื่อๆ คนหนึ่งถือหินวิญญาณไว้ก้อนหนึ่ง ลังเลไปมาระหว่างหลายที่ หนึ่งชนะศูนย์เลือกไม่ได้แน่นอน ได้ยินว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ถูกท้าดวลเป็นศิษย์ของนักพรตระดับก่อแก่นปราณ คงไม่ถึงกับตีไม่ชนะสักคนหรอก เช่นนั้นตกลงเป็นหนึ่งชนะสองดีนะ หรือหนึ่งชนะสามดีนะ เฮ้อ คนที่แทงสองที่นี้ก็ช่างมากเหลือเกิน ต่อให้แทงถูกแล้วก็ได้หินวิญญาณไม่กี่ก้อน

 

 

พนันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีหรือไม่ แทงที่หนึ่งชนะสี่?

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชายมือจับหินวิญญาณเลื่อนไปทางนั้น แต่ก็ไม่กล้าวางลงเสียทีอีก จิ๊ๆ นี่เป็นหินวิญญาณก้อนหนึ่งเชียวนะ ปีหนึ่งตนยังหาไม่ถึงสี่ห้าก้อน นี่หากแทงผิดแล้วต้องเสียดายแย่เลย

 

 

คนข้างหลังเห็นผู้บำเพ็ญเพียรชายยึดที่ไว้ไม่แทงเสียที รีบร้อนขึ้นมาผลักเขาทีหนึ่ง “เจ้าเร็วหน่อยสิ ขืนลังเลอีกคนเขาก็ประลองกันเสร็จแล้ว เจ้ายังจะแทงอะไรอีก!”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรข้างหน้าที่หน้าตาซื่อๆ ใจจดจ่ออยู่กับการครุ่นคิด ถูกคนข้างหลังดันปุ๊บ ข้อมือสั่นปั๊บ หินวิญญาณก็หล่นลงไปแล้ว พอดีหล่นไปที่หนึ่งชนะเจ็ดนั่น

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหน้าซีดทันที ทนยื่นมือเข้าไปไม่ได้ กลับถูกคนคนหนึ่งกดไว้ “สหายเต๋า ไม่มีกฎเกณฑ์เช่นนี้”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหน้าตาซื่อๆ ร้อนใจจนจะร้องไห้แล้ว “ข้า ข้ามือลื่น…”

 

 

มั่วชิงเฉินและผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงยืนมั่น คารวะกันและกันหนึ่งครั้ง ในมือปรากฏกระบี่ชิงมู่ธรรมดาขึ้นเล่มหนึ่ง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงเห็นแล้วในตาฉายแววเย้ยหยัน ในมือปรากฏกระบี่บินเล่มหนึ่งขึ้นเช่นกัน กลับเป็นอาวุธเวทระดับสูง

 

 

ผู้มาเยือนคือแขก มั่วชิงเฉินมือถือกระบี่ชิงมู่ รออีกฝ่ายลงมือ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ชี้กระบี่บินในมือ ปล่อยลำแสงกระบี่ออกสามสายทันที

 

 

มั่วชิงเฉินตัดสินใจขัดเกลาเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ของตน จึงไม่ได้ร่ายคาถาใดๆ เห็นเพียงเมื่อกระบี่ชิงมู่สั่น บุปผาที่เกิดจากพลังวิญญาณหลายดอกก็บินออกไปทันที

 

 

ลำแสงกระบี่ปะทะกับบุปผา ต่างกลายเป็นแสงวิญญาณแผ่กระจายในไปอากาศ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงหัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง พลิกข้อมือ ลำแสงกระบี่นับไม่ถ้วนประดุจคลื่นแสง กระจายไปทางมั่วชิงเฉินจากทุกมุม

 

 

มั่วชิงเฉินอมยิ้ม กระบี่ชิงมู่ในมือร่ายรำเหมือนเมฆาล่องลอยสายน้ำหลั่งไหล ที่ที่ร่ายผ่านลำแสงกระบี่สีเขียวร่วงหล่นติดๆ กัน ก่อเกิดเป็นโล่วิญญาณสีเขียวรอบตัวนาง ดูดกลืนคลื่นแสงที่จู่โจมมาจนสิ้น

 

 

นี่ก็คือขั้นที่สองของเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ โล่แห่งชิงมู่!

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงเห็นท่าไม่ดี กระบี่บินทะยานออกจากมือ แขวนอยู่กลางหาวส่องแสงวิญญาณเจิดจรัส ภาพนกสีเขียวบนด้ามกระบี่กลายเป็นของจริง กางกรงเล็บอันแหลมคมขันพลางโฉบมาที่มั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินยกมือขึ้น กระบี่ชิงมู่วาดเส้นโค้งเป็นวงกลมกลางอากาศ แล้วก็เห็นบุปผานับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในพริบตากลิ้งรวมเป็นก้อนกลมดอกไม้ จากนั้นตะโกนเสียงกังวาน “ไป!”

 

 

ก้อนกลมบุปผานั่นและนกสีเขียวปะทะกัน นกสีเขียวที่แปลงจากพลังวิญญาณเหมือนสิ่งมีชีวิตถูกชนจนหมุนไม่หยุด จากนั้นตกลงบนพื้น แตกกระจายออกเป็นแสงวิญญาณจุดๆ

 

 

ก้อนกลมบุปผากลับไม่ได้แตกออก บินไปทางผู้บำเพ็ญเพียรชุดแดงดั่งผีพุ่งไต้

 

 

“ไฟ!” ทางด้านนิกายเหอฮวนส่งเสียงเตือนมา

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงลนลานเล็กน้อยรีบเสกคาถาเตรียมตัวร่ายคาถาเปลวไฟระเบิด ทว่าคาถาเปลวไฟระเบิดเป็นคาถาระดับกลาง นางยังทำถึงขนาดปล่อยออกในพริบตาไม่ได้ คาถายังไม่สมบูรณ์ก้อนกลมบุปผานั่นก็บินมาหล่นลงเหนือศีรษะนางแล้ว

 

 

ในชั่วเวลาหนึ่งก้อนกลมบุปผากระจายออกตกลงเหมือนสายฝน ระหว่างที่กลีบบุปผาร่วงหล่นกลับเต็มไปด้วยอันตรายถึงชีวิต

 

 

ได้ยินเพียงเสียงโหยหวนลอยมาเสียงหนึ่ง ดูอีกทีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงก็ถูกกลีบบุปผานับไม่ถ้วนแทงเข้าไปทั้งตัวแล้ว จากนั้นกลีบบุปผากลายเป็นแสงวิญญาณหายไป กลับทิ้งบาดแผลไว้ไม่นับ

 

 

เพราะกลีบบุปผาบางยิ่งนัก แม้กรีดเสื้อผ้าขาดกลับมองไม่เห็นผิวพรรณภายใน แต่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงกลับเจ็บจนกลิ้งไปทั่ว อย่าพูดถึงภาพพจน์เลย

 

 

ผู้คนรวมทั้งศิษย์พรรคเหยากวงต่างชะงักงัน ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่คิดว่าการสู้กันจะจบลงเร็วปานนี้ อีกทั้งยังเป็นการแพ้อย่างราบคาบเพียงฝ่ายเดียวเช่นนี้ ต้องรู้ว่าพวกนางล้วนอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางนะ

 

 

ทุกคนอดมองไปที่มั่วชิงเฉินพร้อมกันไม่ได้ กลับเห็นนางหน้าไม่เปลี่ยนสี ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างใจเย็น

 

 

“ซื้ด ทำลายดอกไม้อย่างอำมหิตนะนี่” ศิษย์ชุดเขียวคนหนึ่งอดพูดขึ้นไม่ได้

 

 

ศิษย์อีกคนหนึ่งเหลือบมองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงที่กลิ้งไปทั่วปราดหนึ่งอย่างทำใจไม่ได้ เดิมทีคนงามที่สดใสบัดนี้ร่างกายเต็มไปด้วยธุลีดิน ทุลักทุเลเหมือนไก่เปียกน้ำแล้วยังดันตกลงไปในหลุมโคลนอีก จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์อามั่วคงไม่ได้เอาคืนอยู่หรอกนะ…”

 

 

ศิษย์หญิงคนหนึ่งรีบคัดค้านว่า “เอาคืนอะไร อาจารย์อามั่วนี่คือสร้างชื่อเสียงให้สำนัก สร้างชื่อเสียงให้สำนักเข้าใจไหม?”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งโบกมือหน้าถอดสี “รีบพาศิษย์น้องหวังลงไปรักษาอาการบาดเจ็บ” จากนั้นมองไปที่มั่วชิงเฉินด้วยสายตาเย็นชา “สหายเต๋ามั่วฝีมือดี ไม่เสียทีที่เป็นศิษย์ของนักพรตเหอกวงจริงๆ!”

 

 

มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบว่า “คนต่อไป”

 

 

น้ำเสียงสงบเย็นชาเช่นนั้นทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งโกรธมาก เบือนหน้าว่า “ศิษย์น้องจ้าว เจ้ามา!”

 

 

ในเมื่อเจ้าใช้เคล็ดกระบี่ธาตุไม้ เช่นนั้นก็ใช้คาถาธาตุทองรับมือเจ้า ที่ศิษย์น้องจ้าวถนัดก็คือคาถาธาตุทอง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ขึ้นมาใส่ชุดสีเขียว มือถือห่วงทองส่ายเบาๆ ก็เห็นอสูรยักษ์เขาเดียวนัยน์ตาเกรี้ยวกราดตัวหนึ่งปรากฏขึ้น ในคลื่นพลังวิญญาณกลางอากาศ มันสาดส่องสายตาไปทั่วมองเห็นมั่วชิงเฉินที่อยู่ตรงข้ามแล้วเปล่งเสียงคำรามอันตื่นเต้นออกมา ยกเท้าวิ่งไปที่นาง

 

 

มั่วชิงเฉินร่ายเคล็ดกระบี่ กลีบบุปผานับไม่ถ้วนล่องลอยห่อหุ้มอสูรยักษ์เขาเดียวไว้ ทว่าเมื่อยามที่กลีบบุปผาหล่นไปบนตัวมัน กลับส่งเสียงติ๊งของโลหะกระทบกันขึ้น

 

 

อสูรยักษ์เขาเดียวสะบัดตัว กลีบบุปผาร่วงหล่นติดๆ กันแล้วสลายไป มันก้มหัวลง เขาเดียวสีทองแทงมาที่มั่วชิงเฉิน

 

 

“ว้าย!” ศิษย์เหยากวงไม่น้อยส่งเสียงร้องตกใจ โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรหญิงส่วนหนึ่ง เห็นอสูรยักษ์เขาเดียวมองด้วยความเกรี้ยวกราด แล้วชนมาที่มั่วชิงเฉินเหมือนภูเขาลูกย่อมๆ ตกใจจนหน้าซีดทันที

 

 

มั่วชิงเฉินฮึเย็นเยียบเสียงหนึ่ง ในยามที่อสูรยักษ์เขาเดียวกำลังจะชนถูกตัวนางก็ขยับเท้า ร่ายเคลื่อนเงาเลือนราง หายไปต่อหน้าอสูรยักษ์เขาเดียวทันที

 

 

มาถึงหลังอสูรยักษ์เขาเดียวกระบี่ไม้ในมือมั่วชิงเฉินเปล่งลำแสงกระบี่ พุ่งไปยังท้ายทอยอสูรยักษ์

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวร้อนรน รีบเคลื่อนพลังวิญญาณเร่งห่วงทอง อสูรยักษ์เขาเดียวนั่นแผ่ลำแสงออกรอบด้านทันที ต้านลำแสงกระบี่ที่ซัดมาให้หายไป

 

 

ทว่ายังไม่รอให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวโล่งอก ก็เห็นกระบี่ชิงมู่ในมือมั่วชิงเฉินขยับอีกแล้ว กลีบบุปผาที่รวมพลังวิญญาณไว้อย่างมากมายรวมตัวเป็นดาวกระจายห้าแฉกอันหนึ่งโดยไม่คาดคิด หมุนพุ่งตรงไปยังผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียว

 

 

ดาวกระจายชนเข้ากับห่วงทองบนข้อมือของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวอย่างแม่นยำ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวรู้สึกข้อมือชา ห่วงทองตกพื้นทันที

 

 

อสูรยักษ์เขาเดียวแตกออกในพริบตา หายไปในอากาศ

 

 

มั่วชิงเฉินก้มตัวเก็บห่วงทองขึ้นกวาดตามอง แล้วยิ้มว่า “ของนี่น่าสนใจทีเดียว เก็บไว้ให้ข้าศึกษาสักหน่อยเถอะ” พูดพลางเก็บขึ้นอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวบ้าคลั่งขึ้นมาทันที ห่วงทองนี้ ห่วงทองนี้เป็นของที่อาจารย์มอบให้โดยเฉพาะ หากทำหาย ตนยังจะมีหน้ากลับไปได้อย่างไร!

 

 

เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวถลาเข้ามาท่าทางเหมือนคลุ้มคลั่ง ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็หมดความอดทน พลิกมือดึงก้อนอิฐออกเล็งนางให้แม่นแล้วตบลงไปอย่างดุดัน จากนั้นไม่แม้แต่จะมองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวที่ถูกก้อนอิฐตบไปกองอยู่บนพื้น แล้วยิ้มละไมให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งว่า “คนต่อไป”

 

 

“เฮ ชนะแล้ว ชนะอีกแล้ว!” ศิษย์เหยากวงเสียงดังเกรียวกราวขึ้นมา

 

 

ศิษย์นิกายเหอฮวนสีหน้าถอดสีหมดแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเหลืองคนหนึ่งแข็งใจเดินขึ้นไปด้วยคำสั่งของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้ง

 

 

หนึ่งในยอดเขารองเขาชิงมู่

 

 

กู้หลียืนอยู่ลานบ้านด้านหน้า สายตามองออกไปไกลดูไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ แล้วก็ได้ยินความเคลื่อนไหวส่งผ่านมาจากเขตอาคมที่ป่าไผ่

 

 

“ศิษย์น้องเหอกวง ข้าเอง” เสียงที่คุ้นเคยทำให้กู้หลีขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว กลับยังคงเปิดเขตอาคมออกให้คนเข้ามา

 

 

ไม่นานนักก็เห็นนักพรตจื่อซีเหยียบดอกบัวลอยเข้ามา ด้านหลังยังตามมาด้วยนักพรตหมิงจ้าว

 

 

“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่สาม” กู้หลีทักทาย มองดูท่าทางนักพรตจื่อซีที่คึกคักด้วยความดีใจ จู่ๆ ก็รู้สึกปวดศีรษะ

 

 

นักพรตจื่อซีกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “ศิษย์น้องเหอกวง ศิษย์หลานชิงเฉินถูกปล่อยออกมาแล้ว!”