บทที่ 103 กล่าวหา

คู่ชะตาบันดาลรัก

เจี่ยงเหวินเฟิงมองเด็กหนุ่มตรงหน้า เขาดูประหม่า ใบหน้าแดงก่ำ ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อย แต่ริมฝีปากนั้นเม้มแน่นเผยให้เห็นความมุ่งมั่นที่โดดเดี่ยวนั่นทำให้เขาดูมีกลิ่นอายแห่งความโศกเศร้าอยู่มาก

“คุณชายสี่มีอะไรอยากพูดกับข้าหรือ”

หมิงเฉิงมองไปทางองครักษ์

เจี่ยงเหวินเฟิงตอบ “พวกเขาเป็นราชองครักษ์ที่ได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้มาคุ้มครองข้าเอง” ซึ่งหมายความว่าไม่มีอะไรน่าเชื่อถือไปกว่าพวกเขาอีกแล้ว

หมิงเฉิงรีบตอบ “ไม่ใช่ว่าข้าน้อยไม่เชื่อใจราชองครักษ์ทั้งหลายนะขอรับ เพียงกังวลว่าหน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง” เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้มและมองไปรอบๆ

หมิงเฉิงเห็นว่ามีชายสองสามคนที่ไม่โดดเด่นมองมาทางนี้

องครักษ์เงางั้นหรือ…

“คุณชายสี่ เชิญทางนี้” หมิงเฉิงรู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย เขาประสานมือคารวะแล้วเดินตามหลังเจี่ยงเหวินเฟิงไปที่มุมห้องโถง

“คุณชายสี่…”

“ข้าน้อยอยากถามใต้เท้าหนึ่งคำถาม” หมิงเฉิงพูดขัดจังหวะเขา สายตาจ้องตรงมาที่เจี่ยงเหวินเฟิง

สายตาคู่นั้นดูไม่ค่อยพอใจนัก เจี่ยงเหวินเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเลิกคิ้วมองพิจารณาอีกฝ่าย

คุณชายสี่แห่งตระกูลหมิงผู้นี้เป็นนักเรียนของกั๋วจื่อเจียน ไม่มีทางที่จะไม่รู้มารยาท แต่ที่เขาทำตัวผิดปกติมีคำอธิบายเพียงอย่างเดียวคือเรื่องที่เขาต้องการพูดนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

“เชิญคุณชายสี่พูดมา”

“ใต้เท้ามาที่นี่เพื่อตรวจสอบใครกันแน่หรือขอรับ” หมิงเฉิงจ้องมองเข้าไปในตาของเขา “ท่านเจ้าเมืองอู๋หรือฉีตงจวิ้นอ๋อง”

เจี่ยงเหวินเฟิงตอบไปว่า “ข้าได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้มาตรวจสอบเรื่องผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นท่านเจ้าเมืองอู๋หรือฉีตงจวิ้นอ๋อง หากมีการกระทำที่ผิดกฎหมายก็ต้องถูกตรวจสอบ”

คำตอบที่เป็นทางการเช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดที่ฟังก็อาจคิดว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หมิงเฉิงสามารถมองเห็นอะไรบางอย่างในดวงตาของเขาได้

เขาไม่ใช่เพียงแค่ตรวจสอบเท่านั้น แต่เขาพบอะไรบางอย่างเข้าแล้ว

หมิงเฉิงไม่ลังเลอีกต่อไปเขากัดฟันและคุกเข่าลง “ได้โปรดใต้เท้าช่วยตระกูลหมิงด้วยเถิดขอรับ”

เจี่ยงเหวินเฟิงมองเขาอยู่สักพักแล้วตอบอย่างช้าๆ “คุณชายสี่ ท่านพูดอย่างคนไม่มีความคิดเช่นนี้ จะให้ข้าตอบไปว่าอย่างไร”

หมิงเฉิงหน้าซีด “ข้าน้อยมีเบาะแสที่อาจช่วยชีวิตคุณชายหยางได้ขอรับ”

เจี่ยงเหวินเฟิงก้มหน้าลงถาม “ท่านกำลังเจรจาเงื่อนไขกับข้าอยู่งั้นหรือ”

“ข้าน้อยมิกล้าขอรับ” หมิงเฉิงตอบเสียงเบา “ใต้เท้ามาที่นี่ตามคำสั่งของฝ่าบาท ข้าน้อยจะกล้าเจรจากับใต้เท้าได้อย่างไร เพียงแค่หวังว่าความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ของข้าน้อยจะทำให้ใต้เท้าช่วยให้ทางรอดแก่ตระกูลหมิงบ้างขอรับ”

เจี่ยงเหวินเฟิงมองเขาสักพักก่อนถอนหายใจแล้วยื่นมือมาเพื่อช่วยประคองเขาขึ้น “คุณชายสี่เป็นลูกศิษย์นักปราชญ์ มียศจากการศึกษาเล่าเรียนเพื่อสร้างชื่อเสียงแก่วงศ์ตระกูล นอกจากบูชาฟ้าดิน กษัตริย์ บรรพบุรุษ วิญญูชนแล้วท่านไม่ควรคุกเข่าให้ผู้ใด ลุกขึ้นเถอะ!”

หากไม่ใช่อาชญากรรมร้ายแรง แม้แต่คนธรรมดาก็ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ หมิงเฉิงมียศถาบรรดาศักดิ์ นอกจากฮ่องเต้แล้วผู้อื่นเขาไม่จำเป็นต้องคุกเข่าให้ เขาเพียงแค่หวังว่าความอ่อนน้อมนี้จะทำให้เจี่ยงเหวินเฟิงเข้าใจถึงความมุ่งมั่นของเขา

แววตาของหมิงเฉิงเปี่ยมไปด้วยความหวัง “ใต้เท้าตกลงหรือขอรับ”

เจี่ยงเหวินเฟิงตอบ “จะได้รับประทานอภัยโทษหรือไม่ ฝ่าบาทจะเป็นผู้ตัดสินพระทัย แต่หากคุณชายสี่สร้างผลงานได้มาก ข้าจะรายงานให้ฝ่าบาททราบตามความจริง”

ซึ่งหมายความว่ายินดีที่จะพูดแทนเขา

หมิงเฉิงรู้สึกโล่งใจที่ได้รับคำตอบนี้เขาลุกขึ้นแล้วพูดในสิ่งที่หมิงเซียงเห็นมาให้ฟังอย่างรวดเร็ว “…ใต้เท้า ตอนนี้คุณชายหยางเข้าไปในอุโมงค์แล้ว แต่ดูเหมือนว่าผู้ที่ต้องการจัดฉากฆ่าเขาจะรู้ทางเข้าอุโมงค์จึงได้รีบตามเข้าไปแล้วขอรับ”

เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้าแล้วตะโกนเรียก “เกาฮ่วน!”

“ขอรับใต้เท้า” องครักษ์นายหนึ่งตอบรับ

“เหลือองครักษ์สองนายไว้คุ้มครองข้าที่เหลือให้รีบไปช่วยคุณชายหยางเร็วเข้า สังเกตด้วยว่าใต้โขดหินมีอุโมงค์หรือไม่”

เกาฮ่วนลังเล “ใต้เท้า…แต่ความปลอดภัยของท่านสำคัญมาก”

เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “พวกท่านแต่ละคนล้วนมีฝีมือเป็นเลิศ ข้าอยู่ในที่สว่าง ให้องครักษ์สองนายคุ้มครองก็เพียงพอแล้ว แต่คุณชายหยางอยู่ในที่มืด อีกฝ่ายต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อการบรรลุเป้าหมายเป็นแน่ คนยิ่งเยอะยิ่งดี”

“ขอรับ” เกาฮ่วนรับคำแล้วเดินจากไป

เจี่ยงเหวินเฟิงมองหมิงเฉิง “คุณชายสี่อยู่กับข้าสักครู่ก็แล้วกัน”

หมิงเฉิงพยักหน้า นี่เป็นการรั้งเขาเอาไว้แล้วก็เป็นการปกป้องเขาด้วยเช่นกัน

เห็นเจี่ยงเหวินเฟิงมีท่าทางเช่นนี้เขาจึงรู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อย “ดูเหมือนใต้เท้าจะไม่แปลกใจเลยที่ท่านลุงสามของข้าน้อยยังมีชีวิตอยู่”

เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้มแต่ไม่พูดอะไร “ใต้เท้ารู้เรื่องนี้อยู่แล้วงั้นหรือ”

เจี่ยงเหวินเฟิงตอบด้วยรอยยิ้มว่า “คนมีชีวิตย่อมต้องมีร่องรอย”

หมิงเฉิงรู้สึกโชคดีมาก แม้แต่เรื่องนี้ยังถูกตรวจสอบพบ แสดงว่าท่านลุงสามมีความเป็นไปได้ว่าจะทำไม่สำเร็จ โชคดีที่เขามาหาเจี่ยงเหวินเฟิงได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นละก็…

“คุณชายสี่”

เจี่ยงเหวินเฟิงถอนหายใจเล็กน้อย “ท่านรู้หรือไม่ว่าการกระทำนี้แม้ว่าจะยืนอยู่ในด้านศีลธรรม แต่ก็เป็นการฝ่าฝืนหลักมนุษย์เมตตาต่อครอบครัว เรื่องนี้ไม่เพียงแค่ส่งผลกระทบต่อท่าน แต่วีถีทางที่จะก้าวไปเป็นขุนนางก็ไม่ง่ายเช่นกัน”

หมิงเฉิงหัวเราะออกมาสั้นๆ “ข้าน้อยทราบดี แต่ครอบครัวของข้าน้อยไม่ได้มีเพียงท่านลุง ท่านพ่อ ท่านพี่เท่านั้น แต่ยังมีท่านแม่และน้องๆ ด้วย ที่ข้าน้อยมาแจ้งเรื่องนี้ หนึ่งคือเพื่อศีลธรรม สองคือเพื่อสตรีและเด็ก พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์และไม่ควรต้องมาตายตามไปด้วยเพราะความทะเยอทะยานของท่านลุง หากสามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้ ข้าน้อยยอมที่จะไม่สามารถก้าวเข้าไปในเส้นทางของขุนนาง”

เจี่ยงเหวินเฟิงจ้องมองเขาอย่างลึกซึ้งพร้อมกับถอนหายใจ

หมิงเฉิงถูกเขามองเช่นนั้นก็ตกใจ “ใต้เท้า ข้าน้อย…พูดอะไรผิดไปหรือขอรับ”

เจี่ยงเหวินเฟิงส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้มีคนคนหนึ่งก็พูดประโยคนี้กับข้าเหมือนกัน”

หมิงเฉิงตกใจและโพล่งออกมา “เสี่ยวชีหรือขอรับ”

“เป็นคุณหนูเจ็ดเอง” เจี่ยงเหวินเฟิงมองเขาอย่างอ่อนโยน

หมิงเฉิงพึมพำ “เป็นอย่างนี้นี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่เสี่ยวชีไม่สนใจชื่อเสียง แท้จริงแล้วเพื่อช่วยพวกเรา…”

น้องสาวที่เขาต้องการปกป้องที่แท้เดินนำไปข้างหน้าก่อนแล้ว

เจี่ยงเหวินเฟิงเงยหน้าขึ้นมองพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลาลับขอบฟ้า “หวังว่าจะไม่สายเกินไป…”

……………

ในที่สุดก็บอกจุดประสงค์ออกมาหมิงเวยหันไปมองหยางชูและทั้งสองก็สบตากัน

ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดีว่าที่พูดเยอะเพียงนี้เพื่อถ่วงเวลา นายท่านสามต้องเตรียมพร้อมสำหรับการจัดฉากฆาตกรรม และพวกเขาก็กำลังรอการช่วยเหลือ

และตอนนี้สถานการณ์ก็เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว

“ทำไม ไม่กล้างั้นหรือ” นายท่านสามเอามือไขว้หลังแล้วเหล่มองพวกเขา “นี่เป็นโอกาสเดียวที่พวกท่านจะเอาหลักฐานไปได้ ไม่อย่างนั้นถึงพวกท่านจะฆ่าข้าได้แต่ก็หามันไม่พบหรอก”

หยางชูหัวเราะเสียงเย็น “ท่านดูถูกหวงเฉิงซือต่ำไปหรือไม่”

นายท่านสามยิ้ม “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการที่พวกท่านหวงเฉิงซือเก่งกาจหรือไม่” เขามองปิ่นปักผมสีทองบนเรือนผมของหมิงเวย

“ดูจากท่าทางของเจ้าแล้วคงจะรู้ที่มาของสิ่งนี้ใช่หรือไม่”

หมิงเวยดึงมันออกมา “มันคือกุญแจห่วงคล้องสิบสองตัวของหอเทียนจี”

“ข้าประเมินเจ้าต่ำเกินไปจริงๆ” นายท่านสามถอนหายใจ “รู้จักแม้กระทั่งกุญแจห่วงคล้องสิบสองตัว เจ้าคงไม่ใช่เสวียนชื่อธรรมดา”

ไม่รอให้หมิงเวยตอบกลับเขาพูดต่อไปว่า “ในเมื่อเจ้ารู้จักกุญแจห่วงคล้องสิบสองตัวก็คงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าไม่ไขกุญแจด้วยวิธีที่ถูกต้อง”

หยางชูมองนาง

หมิงเวยตอบ “หากเปิดด้วยวิธีผิดๆ มันก็จะทำลายตัวเองทิ้ง”

นายท่านสามพยักหน้า “เพราะฉะนั้นข้าเลยพูดว่านี่เป็นโอกาสเดียวของพวกท่านที่จะเอาหลักฐานการกระทำความผิดออกไป ไม่อย่างนั้นแค่อาหารพวกนี้ก็คงไม่สามารถเอาผิดอะไรได้หรอก”

หยางชูหัวเราะเสียงเย็น “หากพวกเราหนีออกไปได้ ท่านจะบอกวิธีไขกุญแจที่ถูกต้องออกมางั้นหรือ ข้าไม่คิดว่าท่านจะมีความน่าเชื่อถือเพียงนั้น”

“มันง่ายมาก” นายท่านสามค่อยๆ หยิบแผ่นโลหะสีเงินเข้มออกมาจากแขนเสื้อ “ในเมื่อรู้จักกุญแจห่วงคล้องสิบสองตัวก็ควรจะรู้จักสัญลักษณ์ของหอเทียนจีด้วยสิ หากข้าวางสิ่งนี้ไว้ในห้องลับก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”

…………………………………………….