ตอนที่ 105 เยี่ยมเยือน หยั่งเชิง

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“น้องอวี้นั้นถือตัวอยู่บ้าง อย่างไรก็ขอให้พี่หญิงอภัยด้วย!” หวงเซียวเซียงก็คาดไม่ถึงว่าอวี้เมิ่งเหยาจะกระทำการที่ไร้มารยาทเช่นนี้ออกมา นางสะบัดแขนเสื้อก่อนจะเดินจากไป ทิ้งเพียงความอึดอัดใจเอาไว้ แม้ว่าในใจของหวงเซียวเซียงจะรู้สึกเป็นสุขที่สามารถเห็นอวี้เมิ่งเหยาที่คิดว่าตัวเองเป็นดั่งเทพธิดามาโดยตลอดนั้นหมดท่า แต่ฉากหน้าก็ยังคงต้องพูดเช่นนั้นออกไป

“คุณหนูอวี้ถูกเรียกว่าเป็นเทพธิดา นางย่อมมีนิสัยที่ไม่ธรรมดา ที่น่าเสียดายคือข้าไม่ได้เห็นด้วยกับนาง!” เยี่ยนมี่

เอ๋อร์กล่าวอย่างเยือกเย็น จื่ออวิ๋นในยามนี้ได้ชงชาเหมาเฟิงเสร็จแล้ว โดยมีจื่อหลัวยกไปให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดื่มสองถ้วย ก่อนที่อารมณ์ของนางจะค่อยๆ เย็นลงมา

“เหอะๆ…” สือหย่าฉีหัวเราะขึ้นมา กล่าวกับสาวใช้ที่ยกชาอิ๋นเจินคนนั้น “เทพธิดาอวี้โมโหก็เดินจากไปเสียแล้ว ชานี่ก็ไม่อาจสิ้นเปลืองได้ ยกเข้ามาให้ข้าดื่มเถิด!”

สาวใช้คนนั้นแย้มยิ้มเล็กน้อย เดินไปด้านข้างสือหย่าฉี ก่อนจะเทชาใส่จอกชาให้นาง สือหย่าฉีถือจอกชาเล็กๆ ขึ้นมา ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะดื่มรวดเดียวจนหมด “ชานี่อร่อยเสียจริง เสียดายที่จอกนี้เล็กไปหน่อย ไม่พอให้ข้าได้ดื่มเต็มคำเสียด้วยซ้ำ เปลี่ยนเป็นถ้วยใหญ่กว่านี้หน่อยเถิด!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยกคิ้วมองสือหย่าฉีหญิงสาวต่ำต้อยที่ไม่รู้ความไปทีหนึ่ง คนผู้นี้แสร้งทำเป็นฉลาดกว่าอวี้เมิ่งเหยาอยู่เล็กน้อยเท่านั้น นางขัดจังหวะเช่นนี้ บรรยากาศที่เคร่งขรึมนั้นก็ค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าให้จื่ออวิ๋น ก่อนจื่ออวิ๋นจะนำถ้วยที่ใหญ่ที่สุดออกมา หลังจากชงเสร็จแล้วก็ให้สาวใช้ยกไปให้สือหย่าฉี

“พี่มี่เอ๋อร์ ท่านดื่มชายุ่งยากถึงเพียงนี้เลยหรือ? ต้องให้คนคอยรับใช้เยอะแยะขนาดนี้เชียว” สือหย่าฉียิ้มตาหยีพลางกล่าว “เทพธิดาอวี้ของพวกเรานั้นเรียกทระนงตนว่าเป็นผู้สูงส่งมาโดยตลอด แต่ก็ไม่ได้พิถีพิถันถึงขนาดนั้น…แต่อย่างไรนางก็พิถีพิถันไม่ได้อยู่ดี ตระกูลนั้นไม่ได้ร่ำรวยเหมือนแต่ก่อนแล้ว สามารถใช้ชีวิตให้เป็นดั่งเช่นตอนนี้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”

ดูท่าแล้ว ความขัดแย้งระหว่างพวกนางทั้งสองคงจะไม่น้อย! เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มเล็กน้อย “เรื่องดื่มชาเป็นแค่เพียงความเคยชินเท่านั้น พอนานๆ ไปก็กลายเป็นความชอบไปเสียแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่ายุ่งยาก หากเป็นเรื่องที่คุ้นชินก็ไม่อาจรู้สึกอย่างนั้นได้แล้ว”

“พี่หญิง สาวใช้ผู้นี้นับว่าคล่องแคล่ว เป็นคนที่ฮูหยินตั้งใจเลือกให้พี่หญิงใช่หรือไม่?” หวงเซียวเซียงนั้นชื่นชมจื่ออวิ๋น เป็นอย่างมาก ข้างกายมีสาวใช้ที่เชี่ยวชาญในการชงชาเช่นนี้ นับว่าเป็นหน้าเป็นตาของเจ้านายด้วย

“นางน่ะหรือ เป็นหนึ่งในสาวใช้สินเดิมของข้า รับใช้ข้างกายข้ามาได้สักช่วงหนึ่งแล้ว หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับชาหรือเหล้าล่ะก็ จะยืดหยัดในความคิดตนอย่างถึงที่สุด ยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ล่วงเกินแขกอยู่บ้าง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างราบ เรียบ “ท่านแม่ก็รู้ว่าข้าชอบชา ทุกครั้งที่ได้ชาดีมาก็ไม่ลืมส่งมาให้ข้า ดังนั้นชาที่นี่ของข้า อย่างไรก็นับว่าดีที่สุด เยอะที่สุด และครบครันที่สุดของตระกูลซั่งกวน หากคุณหนูทั้งสองมีเวลาว่างก็เข้ามาดื่มชาที่นี่ได้”

“นั่นจะไม่รบกวนพี่หญิงหรือ?” หวงเซียวเซียงกล่าวอย่างเกรงใจ ทว่าในใจกลับยินดีอยู่บ้าง เยี่ยนมี่เอ๋อร์หมายความว่าอย่างไร ไม่ใช่ว่าแสดงท่าทีเป็นมิตรกับพวกนางอยู่หรอกหรือ?

“ข้าก็ไม่ได้มีภาระมากมายถึงเพียงนั้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบางๆ “เรื่องภายในบ้านก็มีเพียงเรื่องในครัวเท่านั้น เรื่องพวกนี้สำหรับข้าก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ไม่ต้องกังวลไป”

“พี่มี่เอ๋อร์ทำอาหารเป็นนับว่าเหนือความคาดหมายจริงๆ!” สือหย่าฉีกล่าวด้วยถอนหายใจ “มิน่าเล่าฮูหยินเอาแต่กล่าวว่าพี่หญิงนั้นมีความสามารถ ทั้งชำนาญเรื่องดูแลบ้าน? พี่เจวี๋ยมีภรรยาเฉกเช่นท่าน ก็ไม่ต้องกังวลใจเรื่องภายในบ้านแล้ว”

“ผู้หญิงนั้นไม่ช้าก็เร็วต้องเรียนรู้ดูแลเรื่องในบ้าน ไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นเช่นนี้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “นายบ่าวตระกูลซั่งกวนนั้นมากมายราวกับเมฆ มีหลายเรื่องที่ข้าเองก็ทำแค่เพียงเอ่ยออกคำสั่ง ทำอะไรเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ถือว่าทำอาหารเป็นแต่อย่างใด! เพียงแต่มีบางเรื่อง ตัวเองไม่อาจทำได้ ก็ไร้ทางที่จะจัดการ ข้ากับสามีหมั้นหมายกันตั้งแต่เด็ก ในยามที่ข้ารู้ความก็รู้แล้วว่าตัวเองจะเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวน เช่นนั้นเรื่องพวกนี้ข้าก็ไม่จำเป็นต้องทำด้วยตนเอง ตัวข้าเองอาจจะเลือกไม่ทำได้ย่อมได้ แต่ไม่อาจทำไม่เป็นไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกบ่าวทำถูกหรือไม่ถูก แอบอู้งานหรือไม่…คุณหนูสื่อถูกตามใจตั้งแต่เด็ก ย่อมไม่อาจเข้าใจว่าหญิงสาวอย่างพวกเรานั้นได้รับการสั่งสอนที่เข้มงวดขนาดไหน”

สือหย่าฉีเผยยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้กล่าวอะไร ไม่ใช่ว่านางเปลี่ยนเป็นฉลาดขึ้น แต่ว่าเมื่อคืนได้ขอคำปรึกษากับหวงเซียวเซียงซึ่งเคยเรียนสำนักดรุณีที่เซิ่งเจิงเป็นเวลาหนึ่งปี นางจึงค่อยเข้าใจว่าคนชนชั้นธรรมดา คนที่มีเงินอยู่บ้าง หรือตระกูลที่อยู่ดีๆ ก็มีอำนาจมีเงินขึ้นมา พวกคุณหนูเหล่านั้นจึงจะนับว่าอยู่ในตระกูลที่มีอันจะกินอยู่บ้าง แต่หญิงสาวที่เพียบพร้อมที่แท้จริงนั้น นอกจากความสามารถด้านพิณหมากพู่กันจีนและวาดภาพแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือต้องเรียนรู้ว่าจะดูแลจัดการเรื่องในบ้านอย่างไร เพื่อเป็นนายหญิงของตระกูล มิน่าเล่าทั้งในบรรดาตระกูลเก่าแก่น้อยใหญ่ล้วน ไม่มีทายาทสายตรงของตระกูลไหนที่รับหญิงสาวที่มีตัวตนทางยุทธภพเป็นภรรยาเอกเลย ไม่ใช่ไม่ชอบพวกนาง แต่เพียงความชอบอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอให้เขาได้วางใจส่งมอบเรื่องน้อยใหญ่ภายในบ้านให้หญิงสาวที่ทำเป็นแต่ร่ายรำกระบี่กระบองหรือพูดคุยแต่เรื่องความงามของธรรมชาติได้

สือหย่าฉีครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่ทั้งคืน คิดว่าตนเองนั้นย่อมสามารถแต่งให้กับซั่งกวนเจวี๋ยได้อย่างแน่นอน อันดับแรก ซั่งกวนเจวี๋ยมีภรรยาที่สามารถดูแลเรื่องภายในบ้านได้แล้ว เช่นนั้นเรื่องที่ตัวเองควบคุมดูแลเรื่องในบ้านได้หรือไม่ได้นั้นก็ไม่สำคัญแล้ว อย่างที่สอง ซั่งกวนเจวี๋ยจะเป็นผู้นำของตระกูลคนต่อไป ตระกูลซั่งกวนนั้นเป็นตระกูลทางยุทธภพ ดังนั้นเขาย่อมต้องการผู้ติดตามทางยุทธภพอยู่แล้ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ท่าทางอ่อนแอบอบบางเช่นนี้ เดิมทีก็ไม่อาจเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับซั่งกวนเจวี๋ยได้ แต่ตนเองนั้นสามารถทำได้ สุดท้าย แม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะนับว่าอ่อนโยน แต่ก็ยังร่าเริงใจกว้างไม่พอ ผู้ชายชื่นชอบภรรยาที่มีนิสัยอ่อนโยนนั้นเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อนานไปก็ย่อมเบื่อหน่าย ตนเองนั้นร่าเริงสดใด สามารถแต่งเติมในส่วนที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขาดได้พอดี

และจุดที่สำคัญคือ นางไม่ได้คิดเหมือนหวงเซียวเซียงที่มองตัวเองสูงจนเกินไป คาดหวังจะได้กลายเป็นภรรยารองของซั่งกวนเจวี๋ย นางนั้นไม่ได้โลภมาก ขอเพียงแค่เป็นอนุภรรยาได้ก็เพียงพอแล้ว ไม่อาจกลายเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ยิ่งไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต่อต้านการรับตนเองเข้าตระกูล แต่ว่าเรื่องพวกนี้นางยังต้องการปรึกษาส่วนตัวกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ คาดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์คงจะยินดีรับนางเข้าตระกูลอย่างแน่นอน แน่นอนว่าหากนางไม่ยอบรับก็ไม่มีปัญหา เทียวไปเทียวมาบ่อยครั้งหน่อย หลังจากคุ้นเคยกับพื้นที่ของเรือนมีคู่แล้ว นางย่อมสามารถทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์นอนหลับตายในฝันอย่างที่ใครไม่อาจรู้ได้แน่นอน…

“ได้ยินว่าพี่หญิงได้รับอนุภรรยาเพื่อพี่เจวี๋ยมาหนึ่งคน เป็นหลานสาวอนุภรรยาอู๋ที่ชื่ออู๋เลี่ยนเยี่ยน ไม่ทราบว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่?” หวงเซียวเซียงถามหยั่งเชิง นางอยากรู้เป็นอย่างมากว่าอู๋เลี่ยนเยี่ยนในยามนี้ใช้ชีวิตผ่านไปอย่างไรบ้าง หญิงสาวผู้ที่พวกนางสามคนเพิ่งจะก้าวเท้าเข้าสู่ตระกูลซั่งกวนก็เห็นพวกนางเป็นดั่งตะปูในตาคนนั้น เมื่ออยู่ในมือของเยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้วใช้ชีวิตผ่านไปอย่างไร อีกทั้งต้องการใช้เรื่องนี้หยั่งเชิงท่าทีการรับอนุภรรยาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่มีต่อซั่งกวนเจวี๋ยด้วย

“ไม่ทราบว่าคุณหนูหวงไปรู้มาจากผู้ใด?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองหวงเซียวเซียงอย่างตกใจ “คนของตระกูลซั่งกวนล้วนทราบทั่วกันว่าสามีนั้นยังไม่ได้รับอนุภรรยา อู๋เลี่ยนเยี่ยนก็เป็นเพียงเมียบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น!”

“เมียบ่าวจะช้าหรือเร็วก็ต้องเลื่อนขั้นเป็นอนุภรรยาทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?” หวงเซียวเซียงย้อนถาม “อีกทั้งนางยังเป็นหลาน สาวของอนุภรรยาอู๋ เป็นญาติใกล้ชิดของตระกูลซั่งกวน เมื่อลองนับญาติอย่างละเอียดก็ถือว่าเป็นญาติผู้น้องของพี่เจวี๋ย ทั้งยังถูกเลี้ยงดูในตระกูลซั่งกวนมาสองสามปี คงไม่อาจเป็นเมียบ่าวไปได้ตลอดหรอกกระมัง!”

“คุณหนูหวง ญาติใกล้ชิดอะไรกัน อย่างไรภายหลังขออย่าได้พูดขึ้นมาอีก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มีท่าทีเคร่งขรึม กล่าวอย่างจริงจังเป็นอย่างมาก “ตระกูลของอนุภรรยาอู๋ไม่ใช่ญาติใกล้ชิดของตระกูลซั่งกวน!”

ในใจของหวงเซียวเซียงนั้นชะงักไปชั่วครู่ รู้ว่าตัวเองได้พูดผิดไป แต่ยามนี้ก็เปลี่ยนคำพูดไม่ทันเสียแล้ว เผยยิ้มออกมา ยังไม่ทันที่นางจะได้พูดแก้ตัวใหม่ ก็ได้ยินเยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวต่อออกมา “อนุภรรยาอู๋เป็นเพียงอนุภรรยาของท่านพ่อ หากไม่ใช่เพราะความเมตตาของท่านพ่อ อาศัยเพียงนางที่ไม่อาจมีบุตรมาหลายปี ทั้งยังมีฐานะเป็นสาวใช้สินเดิมของเจ้าสาว ก็ไม่อาจเป็นอนุภรรยาได้ ได้ยินมาว่าคุณหนูหวงเคยได้ร้องขอเรียนที่สำนักดรุณีที่เซิ่งจิง เช่นนั้นก็ควรกระจ่างแจ้งดี แม้อนุภรรยาจะสูงส่งขนาดไหน แต่ครอบครัวของนางก็ไม่อาจเป็นญาติสนิทกับตระกูลของเจ้านายได้ คำพูดเช่นนี้ของเจ้า เป็นการไม่ให้เกียรติต่อตระกูลซั่งกวน ทั้งยังเป็นการดูหมิ่นต่อท่านแม่ ตระกูลอู๋เป็นญาติสนิทของตระกูลซั่งกวน เช่นนั้นตำแหน่งของตระกูลหวงฝู่นั้นอยู่ที่ใด? อู๋เลี่ยนเยี่ยนกลายเป็นญาติผู้น้องของสามี แล้วน้องๆ ในตระกูลหวงฝู่นั้นนับว่าเป็นอะไร?”

หวงเซียวเซียงเย็นเยียบไปทั้งขั้วหัวใจ หากคำพูดนี้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ไปถึงหูของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ฮูหยินซั่งกวนที่เดิมทีก็ไม่ได้ชื่นชอบตนผู้นั้น ย่อมต้องถูกเกลียดมากขึ้นอีกเป็นแน่ การที่ตนเองจะกลายเป็นภรรยารองของซั่งกวนเจวี๋ยก็จะยากขึ้นไปอีก กระทั่งแม้แต่ตำแหน่งอนุภรรยาก็ยังจะลำบาก…นางรีบกวาดตามองดูรอบๆ ในห้องนี้มีสาวใช้แปดเก้าคน ย่อมมีผู้ที่เป็นหูเป็นตาของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเป็นแน่ เมื่อได้ล่วงเกินหวงฝู่เยวี่ยเอ้อไปแล้ว เช่นนั้นเหตุใดไม่ใช้โอกาสนี้ กระชับความสัมพันธ์กับอนุภรรยาอู๋สักหน่อยเล่า?

เมื่อตัดสินใจได้ หวงเซียวเซียงก็กล่าวยิ้มๆ “ข้าก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น เหตุใดพี่หญิงต้องจริงจังถึงขนาดนั้นเล่า? แม้ข้าจะมีโอกาสพบเจออนุภรรยาอู๋ไม่มาก แต่ก็รู้ว่านางดูแลจัดการเรื่องภายในตระกูลซั่งกวนได้อย่างรอบคอบ ไม่ละเลยอันใดแม้แต่น้อย หลานสาวในตระกูลของนาง แม้ว่าจะไม่ใช่ญาติสนิทของตระกูลซั่งกวนหรือญาติผู้น้องของพี่เจวี๋ย แต่ก็ไม่อาจปฏิบัติราวกับเป็นสาวใช้ธรรมดาได้ ชั่วชีวิตทำได้เป็นเพียงเมียบ่าวอย่างนั้น หรือพี่หญิงจะไม่ไว้หน้าอนุภรรยาอู๋สักนิดเลยหรือ?”

“ไว้หน้าอนุภรรยาอู๋กับให้อู๋เลี่ยนเยี่ยนเป็นอนุภรรยาไม่ใช่เรื่องเดียวกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบาง “อู๋เลี่ยนเยี่ยนกำลังศึกษากฎระเบียบ รอจนวันที่นางเรียนรู้หมดแล้ว ย่อมออกมารับใช้สามีได้ หากนางรู้หน้าที่ เมื่ออยู่ในสายตาสามี ตัวเองก็ย่อมเป็นการเป็นงานขึ้นมา สามารถขยายกิ่งก้านให้ตระกูลซั่งกวนได้ สามีก็ย่อมให้ตำแหน่งที่เหมาะสมกับนาง หากนางไม่เป็นโล้เป็นพาย แม้ว่าจะเลื่อนตำแหน่งเป็นอนุภรรยาก็ทำได้เพียงเพิ่มความลำบากให้สามีเท่านั้น”

หวงเซียวเซียงแข็งทื่อไป ไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูดเช่นนี้ออกมาได้ นางส่งสายตาเป็นนัยให้สือหย่าฉีที่กำลังมองทั้งสองคนประชันฝีปากอยู่ตรงหน้า บอกเป็นนัยให้นางพูดรอมชอม

“พี่มี่เอ๋อร์ เช่นนี้ข้าก็คิดไม่ออกแล้ว ในเมื่อท่านเป็นฝ่ายรับอู๋เลี่ยนเยี่ยนเป็นเมียบ่าวให้พี่เจวี๋ย เหตุใดไม่ปฏิบัติอย่างดีให้ถึงที่สุด เลื่อนตำแหน่งให้นางเป็นอนุภรรยาให้รู้แล้วรู้รอดไป?” สือหย่าฉีรู้ว่าถึงคราวที่ตัวเองต้องออกโรงแล้ว ก็ถามตรงๆ ออกไป

“คุณหนูสื่อ เมียบ่าวกับอนุภรรยานั้นไม่เหมือนกัน แม้ฐานะอนุภรรยาจะต่ำต้อยอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็นับเป็นเจ้านาย แต่เมียบ่าวนั้นก็เป็นได้แค่บ่าวแทบเทียบไม่ได้อะไรกับสาวใช้ใหญ่ข้างกายของเจ้านาย ตระกูลซั่งกวนเป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง ทั้งสามีก็เป็นลูกภรรยาเอก ถึงแม้จะเป็นการรับอนุภรรยา ก็ยังต้องไตร่ตรองถึงฐานะอยู่ดี ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเป็นอนุภรรยาได้ หากอู๋เลี่ยนเยี่ยนสร้างคุณงามความชอบ จะเลื่อนตำแหน่งเป็นอนุภรรยาก็พอเป็นไปได้ แต่ถ้าจะให้เลื่อนเป็นอนุภรรยาอย่างไร้สาเหตุนั้น ก็เท่ากับเป็นการทำลายกฎของตระกูลซั่งกวน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวทำลายความคาดหวังของทั้งสองคนอย่างเรียบนิ่ง “ฐานะของอู๋เลี่ยนเยี่ยนนับว่าไม่เลว เพียงแต่บกพร่องเรื่องกฎระเบียบอยู่บ้าง แต่ก็ยังนับว่าพอได้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าแม้แต่ตำแหน่งเมียบ่าวก็คงให้ไม่ได้”

นี่กำลังพูดให้พวกนางฟังอยู่หรือเปล่า? หวงเซียวเซียงและสือหย่าฉีส่งสายตาคลุมเครือให้กัน ในใจมีความไม่พอใจและโกรธแค้นอยู่บ้าง เมื่อหวงเซียวเซียงเห็นว่าไม่อาจได้รับข้อมูลดีๆ อะไรจากทางด้านเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่นี่ได้แล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่หญิงนั้นคงมีงานที่ต้องสะสางอยู่บ้าง ข้าและน้องฉีไม่รบกวนพี่หญิงแล้วดีกว่า ไว้จะมาเยี่ยมเยียนวันอื่น!”

“ข้านั้นมีธุระจริงๆ เช่นนั้นคงไม่อาจรั้งตัวคุณหนูทั้งสองได้อีกแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยัดกายขึ้นอย่างเรียบนิ่ง “หากทั้งสองคนมีเวลาว่างก็เข้ามานั่งเล่นได้ หรือจะมาเล่าเรื่องสนุกๆ ทางยุทธภพก็ได้ โอกาสเช่นนี้มีไม่มาก!”

หัวใจของหวงเซียวเซียงหดเกร็ง กล่าวยิ้มๆ “แน่นอน แน่นอน! น้องทั้งสองขอตัวก่อน!”

“คุณหนู พวกนางอยากให้ท่านหลุดปาก รับพวกนางเข้าตระกูลกระมัง! ไฉนจึงมีหญิงสาวที่น่าไม่อายเช่นนี้ได้ จะไล่ตามมาเพื่อต้องการมอบตัวเป็นอนุภรรยาไม่ว่า ยังจะออกหน้าด้วยตัวเองอีก!” จื่อหลัวกล่าวอย่างดูแคลน

“นั่นเป็นพวกนางที่ปรารถนาแต่เพียงฝ่ายเดียว ขอเพียงแค่สามีไม่ปริปากออกมา ข้าย่อมไม่อาจยอมรับอนุภรรยาให้เขาได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้ม “อย่างไรก็อย่าเพิ่งพูดเรื่องคนที่น่ารำคาญพวกนี้ดีกว่า จื่อหลัว ตอนบ่ายเจ้าไปดูแม่นมจ้าวทางนั้นที อู๋เลี่ยนเยี่ยนเรียนรู้กฎระเบียบเป็นอย่างไรบ้าง หากผ่านแล้ว ก็ปล่อยให้ออกมาพบเจอคนได้ ข้าไม่อยากให้คนอื่นกล่าวว่าข้ากังวลว่านางจะแย่งชิงความโปรดปรานจากสามี จึงกักขังนางไว้”

“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” จื่อหลัวเข้าใจดี อู๋เลี่ยนเยี่ยนนั้นไม่อยู่ในสายตาซั่งกวนเจวี๋ยยิ่งกว่าสาวใช้อันดับล่างพวกนั้นอีก ปล่อยออกมาก็ย่อมไม่มีผลอันใด อย่างไรก็คงวิ่งเต้นไปมากับหญิงสาวสามคนนั้น เช่นนั้นจัดการไปพร้อมกันก็หมดเรื่องแล้ว ดีกว่าที่จะปล่อยให้ลวกอยู่ในกำมือเช่นนี้

——————-