บันทึกเป็นตายในมือของฉินมู่นั้นได้มาจากราชาหมอผีขุย และพวกที่รู้ว่ามันอยู่ในมือของเขาก็คือซิงอ้าน ผานกงสั่ว เช่นเดียวกับหลวงจีนปีศาจแห่งวัดฟ้าคำราม
เทพหมอผีขุยนั่นน่าจะเป็นขุนนางฟ้าหรือขุนนางดิน เทพเจ้าที่จัดการดูแลดวงวิญญาณ
ไม่น่าจะเป็นเขาที่สร้างมันขึ้นมาด้วยตนเอง แต่มันจะต้องเป็นเขาได้รับมอบมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสภาสวรรค์คงไม่มีสมบัติล้ำค่าขนาดนี้มากมายเท่าไร และแต่ละชิ้นก็มีเจ้าของของมัน เพราะอย่างนั้น ผู้เฒ่านำทางความตายจึงแน่ใจว่าฉินมู่จะถูกสืบเสาะเบาะแสได้ในเวลาอันรวดเร็ว
การเสาะหาเบาะแสของบันทึกเป็นตาย นั้นง่ายกว่าการเสาะหาเบาะแสตัวฉินมู่
“ชื่อที่ปรากฏบนบันทึกเป็นตายเมื่อครู่คือเจว้หวง” ฉินมู่พลิกยันต์เหลืองขึ้นและเผยใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขา “เจว้หวงคือเทพอะไร”
“เขาเป็นเทพเจ้าในน้ำพุเหลือง หลังจากที่เขาสูดหายใจเข้าหรือออก อุทกภัยก็จะท่วมท้นขึ้นมาในโลกทั้งหลายและคร่าดวงวิญญาณมา เขาเป็นหนึ่งในสี่ผู้บัญชาการใหญ่สภาสวรรค์ส่งมาประจำการในแดนใต้พิภพ” ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าว
“เขานั้นมิใช่เพียงผู้เดียวที่กำลังตามหาเจ้า ยังมีอีกสามผู้บัญชาการใหญ่ สวนหมิงผู้ดูแลดวงวิญญาณ หานเหลยผู้ดูแลโชคชะตา และลู่หลีผู้ดูแลคุก เจ้าไม่น่านำบันทึกเป็นตายออกมา ด้วยการทำเช่นนั้น ก็คงไม่ยากที่พวกเขาจะสืบเสาะตัวเจ้า”
ฉินมู่เคร่งขรึมลง ผ่านไปครู่หนึ่ง และเขากล่าวด้วยเสียงอันยุ่งยากใจ “หากว่าข้าให้บันทึกเป็นตายแก่ผู้สูงศักดิ์หรือซิงอ้าน ผลักทุกอย่างไปให้พวกเขา ข้าก็คงจะยังเป็นบุคคลนิรนามอยู่…”
ผู้เฒ่านำทางความตายมองไปที่เขา “เจ้านั้นเพิ่งจะสิบแปดปี ดังนั้นเจ้ามีแต่ต้องใส่ไคล้ป้ายสีเด็กหนุ่มที่อายุเท่าๆ กับเจ้า สองคนที่เจ้ากล่าวถึงนั้นไม่เหมาะ หลังจากที่สี่ผู้บัญชาการใหญ่เก็บเกี่ยวดวงวิญญาณของใครก็ตามที่เจ้าโยนบันทึกไปให้เขา พวกเขาก็จะค้นพบเล่ห์กลของเจ้า ดังนั้นเรื่องจึงไม่ง่ายแค่ใส่ไคล้คนอื่นอย่างที่เจ้าคิด…บ๊ะ! ทำไมข้าต้องช่วยเจ้ามองหาแนวคิดร้ายๆ ด้วย!”
ฉินมู่ปล่อยยันต์กระดาษเหลือง และมันร่วงลงมาปิดบังใบหน้าเขาอีกครั้ง เขากล่าวพลางหน้าแดงเรื่อ “อุดมการณ์อันเที่ยงธรรมย่อมได้รับการสนับสนุนจากผู้คน ส่วนที่ไม่เที่ยงธรรมย่อมมีผู้สนับสนุนน้อย ราชันย์ขุนนางคงจะต้องพบว่าข้านั้นสัตย์ซื่อ ทำให้ท่านยอมแบ่งปันปัญญาญาณ ในเมื่อพวกเราไม่อาจใส่ไคล้ป้ายสีคนอื่น แล้วเทพเจ้าทั้งสี่สามารถออกไปจากแดนใต้พิภพเพื่อเข้าไปในสวรรค์ไท่หวงหรือสันตินิรันดร์ได้ไหม”
เรือน้อยลอยอย่างแช่มช้าไปยังสวรรค์ไท่หวง ผู้เฒ่านำทางความตายวางตะเกียงของเขาลงไปบนเสาและนั่งลง “กำลังฝีมือของพวกเขาแข็งแกร่งเกินไป จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะเข้าไปในโลกมิติเหล่านั้น แต่ถึงอย่างไร พวกเขาก็จะแสวงหาหนทางจับตัวเจ้าอยู่ดี เมื่อเจ้าฝึกปรือจนถึงขั้นเป็นตายและเปิดสมบัติเทวะนั้น พวกเขาก็จะเข้ามาผ่านมันได้หลังจากระบุตัวตนเจ้าสำเร็จ”
ฉินมู่ตัวสั่นเทิ้ม เข้ามาจากสมบัติเทวะเป็นตายงั้นหรือ
ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเป็นตายทั้งหมดจะตกอยู่ในอันตรายอย่างนั้นหรือ
“แต่ถึงอย่างไร แดนใต้พิภพก็มีกฎของมัน การเข้าไปในสมบัติเทวะเป็นตายเพื่อคร่าชีวิตผู้อื่นนั้นขัดกับกฎแดนใต้พิภพ ดังนั้นพวกเขาก็จะไม่สามารถทำมันได้อย่างง่ายดาย”
ผู้เฒ่านำทางความตายพบว่าตนเองได้ปางโป้งบอกข้อมูลไปมากมายแล้ว งั้นก็บอกให้หมดไปเลยก็แล้วกัน “แต่ทว่า แม้ร่างจริงของพวกเขาจะออกไปไม่ได้ พวกเขาก็สามารถส่งศิษย์ของพวกตนไปยังสวรรค์ไท่หวงหรือสันตินิรันดร์ หรือไม่ก็หาใช้คนอื่น ฉวยมือของคนเหล่านั้นให้สังหารเจ้า”
“หรือเมื่อสวรรค์ไท่หวงถูกเผ่ามารบูชายัญเพื่อเชื่อมต่อโลกของพวกเขาเข้ากับสันตินิรันดร์ ม่านคุ้มกันโลกก็จะหายไป ในเวลานั้น พวกเขาจะสามารถเข้าไปในสันตินิรันดร์ได้อย่างไม่ยากเย็น”
ฉินมู่วางใจลงและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สังหารข้าไม่ง่ายนักหรอก และการโจมตีสวรรค์ไท่หวงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน มันได้ต่อสู้ต้านยันมาตลอดสองหมื่นปี และบัดนี้ด้วยมีการสนับสนุนของจักรวรรดิสันตินิรันดร์และกองหนุนที่ดาหน้ามาอย่างไม่จบสิ้น ก็น่าจะง่ายที่พวกเขาจะต้านทานต่อไปได้อีกสองหมื่นปี”
ผู้เฒ่านำทางความตายยิ้มหยันแก่เขา “เจ้าดูแคลนเผ่ามารมากเกินไป พูดยากว่าสวรรค์ไท่หวงจะอยู่ได้นานสักเท่าไร…พวกเรามาถึงแล้ว เจ้าปลดยันต์เหลืองและกลับไปได้ล่ะ”
ฉินมู่รีบหันขวับมองไปข้างหน้า และเห็นว่าพวกเขาอยู่ในสนามรบก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าจะกลับมายังจุดที่พวกเขาออกเรือไปไม่ผิดเพี้ยน ดังนั้นเขาจึงเพียงแค่กระโดดออกไปจากเรือเลย
“คืนยันต์เหลืองของข้ามา!” ผู้เฒ่านำทางความตายตะโกน
ฉินมู่เผ่นแผล็วไปพร้อมกับยันต์กระดาษเหลืองบนใบหน้า ราวกับว่าเขาคือหัวขโมยที่ถูกเจ้าทรัพย์พบเห็น
“ให้สวรรค์สาปเถอะ!”
เมื่อผู้เฒ่านำทางความตายเห็นเขาลื่นปรู๊ดออกไป เขาก็อดไม่ได้ที่เดือดดาลไปหมด เขากำลังจะไล่ตาม แต่ทันใดนั้นก็ชะงักและระเบิดหัวเราะออกมา “มันก็แค่ยันต์กระดาษเหลือง ข้าจะให้เขาเป็นของขวัญล่ะกัน เพื่อว่าจะได้ไม่ก่อเรื่องยุ่งอีก” เรือน้อยจึงหันกลับ และหายลับไปในความมืด
ฉินมู่วิ่งหน้าตั้งไปได้สิบลี้ ก่อนที่จะกล้าเหลียวหลังไปมอง ตอนนั้นเขาถึงเห็นว่าผู้เฒ่านำทางความตายไม่ได้ไล่ตามเขามาจริงๆ เขาจึงระบายลมหายใจโล่งอก เขาดึงยันต์กระดาษเหลืองออกจากใบหน้า และตรวจตราดูมันก่อนที่จะเก็บเอาไว้
ยันต์เหลืองนี่เป็นของดี แม้แต่เทพละมารก็ไม่อาจจดจำข้าได้หากว่าข้าแปะมันไว้บนใบหน้า อย่างน้อยข้าก็ได้ของดีๆ ติดมือมาจากการเดินทางไปแดนใต้พิภพครั้งนี้
เขาเงยหน้าขึ้นและตะลึงไปเล็กน้อย เขาเห็นกองเรือเหาะกำลังแล่นตรงไปยังเมืองหลี และพวกมันอยู่ห่างจากเขาไปเพียงไม่กี่ร้อยลี้ เตาหลอมยาของเรือเหาะพ่นแสงเจิดเจ้าออกมาเพื่อทำให้มันยังลอยอยู่บนฟ้า
“ข้าออกจากสวรรค์ไท่หวงไปตั้งนาน อย่างน้อยก็หกชั่วโมง แล้วทำไมเรือเหาะยังแล่นไปเพียงแค่ไม่กี่ร้อยลี้ล่ะ จากความเร็วของมัน จริงๆ น่าจะแล่นไปได้หลายพันลี้แล้ว มันเหมือนกับว่าเวลาเพิ่งผ่านไปได้เพียงสิบห้านาที…”
ฉินมู่วิ่งตะบึงไปด้วยกำลังทั้งหมดที่เขามี เพื่อตามให้ทัน จังหวะแรกเขาตามกองทัพภาคพื้นดินทัน และไม่นานนักเขาก็ไล่ตามกองเรือเหาะ เขามุ่งหน้าไปยังเรือรบหลัก
ราชครูสันตินิรันดร์และเทพเสือขนดำหันไปมองหน้ากันและกันด้วยความแตกตื่น เช่นเดียวกับทุกๆ คนในบริเวณโดยรอบ พวกเขายังคงปรึกษาหารือกันอยู่เลยว่าฉินมู่ถูกผู้นำทางความตายเชิญตัวไปยังแดนใต้พิภพได้อย่างไร และอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ฉินมู่ก็ดันเลือกจังหวะนั้นมาปรากฏตัวข้างหลังพวกเขาพอดิบพอดี
“ข้ากลับมาแล้ว ข้าหายไปนานแค่ไหนล่ะ” เขาถามด้วยรอยยิ้ม
“มะ–ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง” ซังฮั่วตะกุกตะกักด้วยความตื่นตระหนก “เจ้าถูกผู้นำทางความตายพาตัวไป และก็กลับมาจากแดนใต้พิภพเรียบร้อยแล้วหรือ”
“ผู้นำทางความตายเป็นราชันย์ขุนนางแห่งแดนใต้พิภพ เขาถึงกับพาข้าไปยังโลกอื่น และเสาะตัวยอดฝีมือขั้นสะพานเทวะนามหานเจิน เขากล่าวว่าจะมาเก็บเกี่ยววิญญาณของคนผู้นั้นในอีกสามวันให้หลัง จากนั้นเขาก็พาข้าไปพบภูติบดีและสนทนาเกี่ยวกับต้นสายปลายเหตุของการกระทำของข้า ภูติบดีกล่าวว่าไว้เขาจะจัดการกับข้าอีกทีหลังจากที่ข้าตายไปแล้ว จากนั้นก็ไล่ข้าออกมา ระหว่างทาง พวกเราก็ยังได้พบกับเทพและมารบางพวกที่ต้องการจะชิงตัวข้าอีกด้วย”
ฉินมู่แบ่งปันเรื่องราวทุกอย่าง พบว่ามันค่อนข้างน่าประหลาดที่เขาได้ทำเรื่องราวต่างๆ มากมายขนาดนี้ในระยะเวลาอันสั้น มันน่าจะใช้เวลาถึงสี่ห้าวันในโลกแห่งคนเป็นเพื่อจะเสร็จธุระทั้งหมดที่ว่ามา
แต่มันสั้นกว่านั้นมากในแดนใต้พิภพ และยิ่งเวลาบนโลกแห่งคนเป็นก็ยิ่งผ่านไปกระชั้นสั้นกว่าเช่นเดียวกัน
“แดนใต้พิภพเหมือนกับความฝัน การเดินทางไปแดนใต้พิภพของเจ้าเหมือนกับหลับฝันไปตื่นหนึ่ง” ราชครูสันตินิรันดร์ดวงตาเป็นประกายวูบวาบ และเขาก็กล่าว “แต่ตราบเท่าที่เจ้ารอดชีวิตกลับมา เรื่องพวกนั้นไม่สลักสำคัญเลย ภูติบดีน่าสะพรึงกลัวมากหรือไม่”
ฉินมู่ส่ายหัว “ภูติบดีไม่ถือตัวพูดจากันง่าย ผู้นำทางความตายก็เช่นกัน”
ทุกคนมีสีหน้าพิลึกประหลาด ภูติบดีและผู้นำทางความตายไม่ถือตัวและพูดจากันง่ายอย่างนั้นหรือ มีก็แต่ฉินมู่ที่สามารถพูดอะไรแบบนี้ได้!
ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมาร ก็จะหน้าเปลี่ยนสีทันทีที่กล่าวถึงภูตบดี พวกเขายังรูดซิปปากสนิทเมื่อเอ่ยถึงผู้นำทางความตาย
“มาฮา…”
มังกรน้อยบนร่างของฉินอวี้รีบเลื้อยลงมาและวิ่งไปหาฉินมู่เพื่อถูไถตัวกับเขาอย่างรวดเร็ว ฉินอวี้รู้สึกตัดพ้อใจและครุ่นคิดกับตนเอง ข้ายังได้มันคืนมาไม่ทันอุ่นเลย และมันก็ถูกเขาล่อลวงไปอีกแล้ว…
ฉินมู่ลูบมังกรน้อยและยกมันไปไว้ที่หู หัวของมันห้อยลงมาขณะที่หนวดมังกรสะบัดปลิวไปในอากาศ
ฉินอวี้อิจฉาจนฝังใจ
“ศิษย์น้องฉิน ให้ข้ายืมมังกรน้อยของเจ้าสักระยะหนึ่งเถอะ ข้าอาจจะต้องนำเขาไปที่แดนโบราณวินาศ ข้าจะคืนให้เจ้าหลังจากที่ข้ากลับมาแล้ว และเจ้าจะต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน!” ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าถูกฟู่ยื่อลัวจับตัวไป และต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด หลังจากนั้นก็ยังต้องไปที่แดนใต้พิภพ ข้าเหนื่อยมากจริงๆ ดังนั้นข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อน”
ฉินอวี้มองที่เขาซึ่งนำมังกรน้อยไปจากไปละคิดในใจ ผ่านไปสองสามวันข้าสงสัยว่ามังกรน้อยของข้าจะยังเป็นของข้าอยู่อีกไหม วิญญาณของมันถูกเขาล่อลวงไปเรียบร้อยแล้ว…
…
ผู้เฒ่านำทางความตายกลับมาที่คฤหาสน์ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์ และพลิกเปิดสมุดเล่มหนา มันเป็นสมุดเล่มที่เขาส่งให้กับภูติบดีแมกม่า
ก่อนหน้านั้นฉินมู่ก็อยากจะไปอ่านมันด้วยเช่นกัน แต่ภูติบดีแมกม่าตัวสูงจนเกินไป ทั้งเขายังต้องทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เขาจึงไม่ขึ้นไปดูเนื้อหาในสมุด
ผู้เฒ่านำทางความตายพลิกกลับไปที่หน้าแรก และเห็นภาพอันเคลื่อนไหวไปดุจสายน้ำ มันคือแผ่นปฐพีอันมืดมนกระผีกหนึ่งอันมีสตรีครรภ์แก่กำลังคลอดบุตร ปราณมารและความอาฆาตจำนวนไร้ประมาณของดวงวิญญาณแตกหักทั้งหลายได้ไหลบ่าเข้าไปอย่างเกรี้ยวกราดสู่ห้องทำคลอด
สถานที่นั้นดูราวกับจะมีราชามารที่น่าสะพรึงกลัวอันกลืนกินสันดานมารอันชั่วร้ายและปราณมารแห่งแดนใต้พิภพราวกับปลาวาฬตัวหนึ่ง
ขณะเดียวกัน ที่นอกกระผีกปฐพีนั้น มารเทวะจำนวนนับไม่ถ้วนแตกตื่นต่อเหตุการณ์และซ่อนตัวอยู่ในความมืด มองไปยังสิ่งมีชีวิตแรกในประวัติศาสตร์ของแดนใต้พิภพที่ถือกำเนิดมาจากครรภ์
“การจุติลงมาของโอรสเทพยดา!” มารเทวะตนหนึ่งกล่าวอยู่ที่มุมหน้ากระดาษ
ในท้องฟ้าเหนือห้องทำคลอด ดวงตาแดงฉานลืมเปิด มันมีหนึ่งดวง สองดวง ไม่สิ สามดวง
ผู้เฒ่านำทางความตายพลิกไปที่หน้าที่สอง และภาพก็เปลี่ยนไป เด็กทารกตัวอ้วนจ้ำม่ำตัวใหญ่ กระโดดออกไปจากอ้อมกอดของหญิงผู้นั้น รูปทรงดวงตาทั้งสามของเขาจับความสนใจของผู้นำทางความตาย ทารกผู้นั้นอาละวาดปั่นป่วนในแผ่นปฐพีอันมืดมน กำปั้นอ้วนๆ สองข้างของเขาคว้าจับมารเทวะสองตนที่มาลอบสังหารเขาไว้แน่น ดวงตาทั้งสามของเขาเปิดออก และลำแสงสามลำก็ยิงออกไป พวกมันแผดเผาแผ่นปฐพี เผาไหม้สัตว์ประหลาดมากมายให้กลายเป็นผุยผง
ภูตผีทั้งหลายที่นั่น ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ก็ล้วนแต่หนีเอาชีวิตรอด แม้แต่ราชาภูตผีก็วิ่งหนีไม่เหลียวหลัง ใบหน้าอันน่าสยดสยองของพวกมันเต็มไปด้วยความหวาดผวา ทำให้เกิดเป็นภาพอันประหลาดพิลึก
ทารกได้นำมารเทวะเข้าไปในปากของเขา และกัดหัวออกไปครึ่งหนึ่ง มันดูสยดสยองนองเลือด
ผู้เฒ่านำทางความตายส่ายหัวและเปิดดูต่อไป ภาพถัดมาคือการบรรยายว่าเด็กทารกกลืนกินดวงวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าไปอย่างไร ทั้งยังกินมารเทวะเข้าไปสองตน เขากลายเป็นตัวใหญ่มหึมาอย่างประหลาดและทำให้ทุกคนที่ได้พบต้องอกสั่นขวัญแขวนกับท่วงทีอันดุร้ายของเขา เขาบดขยี้ขุมนรกไปจำนวนมาก สังหารมารเทวะทุกตนที่ไล่ล่ามารดาและผู้คนร่วมตระกูลของเขา เขาทำให้พวกนั้นทุกตนกลัวจนเยี่ยวราดและวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง
แต่ทว่า ทารกผู้นี้ดูจะมีสันดานความคิดมารอันเหลือแสนโดยธรรมชาติ สำหรับเขาแล้วไม่ว่าจะเป็นเผ่ามารที่ไล่ล่าเขาหรือภูตผีที่เพียงแต่พำนักอยู่ในแดนใต้พิภพ เขาก็ฆ่าและกินพวกมันไปทั้งหมด
ผู้เฒ่านำทางความตายเห็นความตระหนกและความหวาดกลัวบนใบหน้าของผู้เป็นมารดา นางดูเหมือนจะกลัวบุตรชายของนาง กลัวสันดานมารของเขา
ผู้เฒ่านำทางความตายพลิกหน้าถัดไป และมันก็เป็นอีกภาพที่เด็กทารกฆ่าล้างสังหารทุกๆ คน ในภาพนั้นเขายืนอยู่บนมังกรมารตัวมหึมาและกำลังแหวะผ่าพุงของมันออก ดวงตาทั้งสามของเขาเผยประกายรังสีสังหาร
กระนั้นที่ตอนจบของภาพวาด เมื่อทารกกินอาหารของเขาเสร็จแล้ว เขาก็แปลงร่างกลับเป็นทารกตัวเล็ก และร้องขอให้แม่ของตนอุ้มขึ้นมา
ผู้เฒ่านำทางความตายพลิกหน้าแล้วหน้าเล่า และเฝ้าดูสิ่งที่ยากจะทนดูได้มากขึ้นทุกที เด็กทารกบดขยี้มารเทวะที่ไล่ล่าพวกเขามาระลอกแล้วระลอกเล่า และการฆ่าล้างจนเลือดนองของเขาได้ทำให้ตัวเป้งทั้งหลายที่ซุ่มซ่อนในแดนใต้พิภพต้องแตกตื่น
พวกเขารวมพลังกันต่อต้านทารก และต่อสู้กับเขาจนกระทั่งฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย
ใกล้ๆ ตอนจบของสมุด ทารกนี้ได้อาศัยสันดานมารและความโหดเหี้ยมของตนเพื่อกลายเป็นหนึ่งในอิทธิพลของแดนใต้พิภพ วันหนึ่งเขามายังชายขอบของแดนใต้พิภพ และใช้ดวงตาสีแดงฉานของเขาส่องมองเข้าไปยังโลกแห่งคนเป็นด้วยสายตาตื่นเต้น
อีกฝั่งหนึ่งของภาพวาด ผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลายแห่งแดนใต้พิภพกำลังสนทนาบางสิ่งบางอย่างกับภูติบดี ผู้เป็นแม่ก็อยู่ที่นั่นด้วย กำลังวิงวอนขอความเมตตาจากจ้าวเหนือหัว
ภูติบดีจึงนำชิ้นหยกแตกหักชิ้นหนึ่งมาจากเศษปลายเขาของเขา และหลอมสร้างมันขึ้นมาเป็นจี้หยก ผู้เป็นแม่สะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ขณะที่เขาถ่ายทอดเวทปิดผนึกไว้บนนั้น จากนั้นนางก็เรียกบุตรชายของตนมา และสวมจี้หยกลงที่คอของเขา
สันดานมารของเขาถูกสะกดเอาไว้ทันทีพร้อมๆ กับสันดานเทพ ร่างกายของเขากลับเป็นปกติ แปรเปลี่ยนเป็นทารกอันธรรมดาสามัญที่สุด เป็นสิ่งเล็กๆ กระจ้อยร่อยอย่างแท้จริง เขานอนอยู่ในผ้าอ้อมของตนและยกแขนชูขา พลางร้องเอิ้กๆ อ้ากๆ จากนั้นเขาก็ดูดหัวแม่มือของตนเองอย่างขะมักเขม้น
ผู้เป็นแม่อุ้มเขาขึ้นมา และจุมพิตเขาหลายๆ ที จากนั้นก็วางเขาลงไปในตะกร้าอย่างอิดออด หญิงอีกคนหนึ่งหยิบตะกร้าขึ้น และขึ้นเรือกระดาษเพื่อจากไปในที่ไกลๆ
ทางด้านหลัง ราชาผี ภูตผีทุกขนาด เช่นเดียวกับมารเทวะทั้งหลายก็เห็นอยู่รางๆ ว่ากำลังตีเกราะเคาะไม้เพื่อเฉลิมฉลองการจากไปของทารก
ผู้เฒ่านำทางความตายพลิกไปที่หน้าสุดท้าย อันเป็นภาพของฉินมู่ที่อยู่ในแดนลางร้าย ด้วยผมอันปล่อยยาวสยายมาถึงบ่า เขาร่ายเวทมนตร์ด้วยกระบี่ของเขาที่ชูขึ้นสูงและเปิดประตูน้อมสวรรค์เพื่อเพรียกขานดวงวิญญาณออกมาจากโลกแห่งคนตาย
ในตอนนั้น จี้หยกที่คอของเขาก็ลอยขึ้นมา
“สิบแปดปี” ผู้นำทางความตายปิดสมุดและเก็บซ่อนไว้เป็นดิบดี จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเฮือกยาว “นึกภาพไม่ออกเลยว่าเจ้าเด็กนี่จะเคยเป็นแบบนี้มาก่อน ข้าหวังว่าสันดานมารในตัวของเขาคงไม่ตื่นขึ้นและควบคุมเขาอีกครั้ง…โชคดีที่ว่า ภูติบดีปิดผนึกและเนรเทศเขาออกไปยังโลกแห่งคนเป็น ไม่อย่างนั้น แดนใต้พิภพจะมีสภาพอย่างไรแล้วทุกวันนี้ กระนั้นหากว่าเขาอาศัยอยู่ในแดนใต้พิภพ เขาก็อาจจะไม่มีชีวิตรอดถึงสิบแปดขวบปี เขาอาจจะถูกภูติบดีกินเข้าไปตั้งนานแล้วจากการก่อกรรมทำเข็ญมากเกินไป…”
……………….