เมื่อชายชราได้รับสารก็รีบวิ่งมาทันที ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมอาจารย์ปู่ต้องกำชับว่าให้ตนเองไปหยิบเสื้อผ้าในห้องของเจ้าหนูมาด้วย แต่ในฐานะลูกศิษย์ เขาไม่เคยสงสัยการตัดสินใจของอาจารย์ปู่แม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงหยิบชุดนักพรตของเจ้าหนูติดมือมา โชคดีที่เมื่อเขามาถึง น้ำแข็งภายในเจดีย์หลอมละลายไปจนเกือบหมดแล้ว เพียงแต่ภายในเปียกชื้น ราวกับถูกล้างความสะอาดไปรอบหนึ่ง
เขาใช้เวลากว่าหนึ่งเค่อถึงจะปีนขึ้นมาถึงยอดเจดีย์ กำลังคิดจะออกเสียง กลับเห็นร่างทั้งสองที่กอดกันอยู่บนพื้น อีกทั้งเสื้อผ้าของทั้งสองคนยังสะเปะสะปะ โดยเฉพาะคนในอ้อมกอดของอาจารย์ปู่ นางจมอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์ มองไม่เห็นหน้า สามารถมองเห็นได้เพียงขอบเสื้อชั้นในสีแดงโผล่ออกมา บนพื้นยังหลงเหลือเศษผ้าอยู่หลายชิ้น เต็มไปด้วยกลิ่นอายของคลุมเครือ
ชายแก่รู้สึกเพียงมีอะไรบางอย่างดังขึ้นในหัว ตัวแข็งทื่อไป ปฏิกิริยาแรกคือ…
“ขออภัยที่รบกวน!”
หันหลังเตรียมเดินลงจากบันได ไม่คิดว่าท่านจะเป็นอาจารย์ปู่แบบนี้!
“หยุด!” เขายังไม่ทันได้จากไป เยี่ยยวนก็พูดขึ้น
ชายแก่รู้สึกเพียงใจหล่นวูบ ก่อนที่จะอธิบาย “อาจารย์ปู่! ข้าไม่เห็นหน้าของแม่หญิงในอ้อมกอดท่านอย่างแน่นอน จริงๆ นะ!”
“…” เยี่ยยวนสีหน้าดำลง แต่ก็รู้สึกแปลกใจ เขากอดศิษย์หลานของตัวเองจะเป็นอะไรไป ไม่ใช่ของเจ้าเสียหน่อย! แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่หลักก็พูดขึ้นอีกครั้ง “หยิบชุดมา”
“อ่อๆๆ…” ชายแก่พยักหน้า ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นปิดตาของตนเองแล้วเดินถอยหลังไปทีละก้าว ยื่นชุดนักพรตในมือออกไป พยายามแสดงให้เห็นว่าตนเองนั้นไม่เห็นแม้แต่นิดเดียว!
เยี่ยยวนไม่ได้สนใจเขา เพียงแค่รับชุดนักพรตมา ก่อนจะห่อตัวของศิษย์หลานไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นถึงได้อุ้มคนขึ้นมา และเดินลงจากเจดีย์ไป
ชายแก่สีหน้าฉงน มองไปยังอาจารย์ปู่ที่เกือบจะเดินลับไปแล้ว ทันใดนั้นเขาก็ตกอยู่ในความขัดแย้งของตนเอง เขาจะตามไปดีหรือตามไปดี
เอาเถอะ ตามขึ้นไป!
ชายแก่ตาลุกวาว เดินตามลงจากเจดีย์ไป แต่กลับพบว่าอาจารย์ปู่อุ้มคนเดินไปยังห้องทางด้านขวาของตำหนักหลัง ดูท่าทางอีกฝ่ายกำลังจะเปิดประตูออก เขาผงะไป ก่อนจะพูดเตือน
“เดี๋ยว อาจารย์ปู่ นั่นเป็นห้องของเจ้าหนู” เขามองหาอวิ๋นเจี่ยว แต่กลับพบว่าตั้งแต่ขึ้นไปบนเจดีย์ก็ไม่เห็นอีกฝ่าย
เยี่ยยวนไม่ได้สนใจเขา เพียงแต่เดินตรงเข้าห้อง วางคนที่อยู่ในมือลงบนเตียง อีกทั้งยังดึงผ้าห่มมาคลุมไว้อย่างแน่นหนา
ชายแก่ที่ตามเข้ามายังคิดจะพูดปราม “อาจารย์ปู่ ท่านไม่…เฮ้ย!” เขามองเห็นคนที่อยู่บนเตียง ทันใดนั้นเบิกตาโพลง เมื่อกี้อาจารย์ปู่อุ้มเอาไว้ เขาจึงมองไม่เห็นลักษณะของคนที่อยู่ในอ้อมกอด ไม่คิดว่าจะเป็นอวิ๋นเจี่ยว
ทันใดนั้น เขารู้สึกไม่ดีขึ้นมา มองไปยังคนที่นอนสลบอยู่บนเตียง จากนั้นหันไปมองเยี่ยยวน ในหัวราวกับมีอะไรบางอย่างระเบิดออก อาจารย์ปู่…กับเจ้าหนู!!!!
(⊙_⊙)
อาจารย์ปู่ของเขาเป็นคนแบบนี้หรือ
“นี่…นี่…” เขามองสลับระหว่างทั้งสองคนไปมา พยายามซึมซับข่าวที่น่าตกใจนี้ สักพักถึงได้สูดลมหายใจเข้าหนึ่งที ก่อนจะพูดขึ้น “อาจารย์ปู่…นี่ไม่เหมาะสม” ห่างกันหลายรุ่นขนาดนี้
สีหน้าของเยี่ยยวนดำทะมึนลงไปทันที
ชายแก่ก็ยังพูดต่ออย่างไม่กลัวตาย “ เจ้าหนูยังเป็นแค่…” เด็กนะ!
“ออกไป!” พลังเทพกลุ่มหนึ่งโจมตีเข้ามาในทันที เขายังพูดไม่ทันจบก็ลอยออกไปด้านนอก ทันใดนั้นเสียงของอาคารล้มกันเป็นระนาวดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
วันนี้คำที่เขาเกลียดที่สุดก็คือ…ไม่เหมาะสม!
(╰_╯)
——————
ตอนที่อวิ๋นเจี่ยวตื่นขึ้นมา นางรู้สึกว่าโลกทั้งใบเปลี่ยนไป แต่ว่าเปลี่ยนไปอย่างไร นางไม่สามารถบอกได้ แต่เพียงแค่รู้สึกว่าระหว่างนางกับโลกใบนี้มีความเชื่อมโยงที่บอกไม่ถูกเพิ่มขึ้นมา เดิมทีนางไม่ใช่คนของโลกใบนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะศึกษาหมอรักษาพลังลมปราณ หรือว่าหลอมยา หรือว่าข่ายพลังก็ดี มักจะมีความรู้สึกล่องลอยอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ความรู้สึกนั้นได้หายไปแล้ว
นางรู้สึกว่าความรู้ทฤษฎีที่เรียนมาก่อนหน้านี้มีหลักฐานที่ชัดเจนขึ้นในทันใด แม้แต่การคาดเดาที่ไม่แน่ใจก็ได้รับคำตอบที่ชัดเจน อีกทั้งยังมีความรู้สึกว่าตอนนี้สามารถทำได้
ในใจรู้สึกถึงความตื่นเต้น คิดอยากจะทดลองว่าตนเองสามารถชักนำพลังลมปราณเข้าร่างได้หรือไม่ ทันใดนั้นข้างเตียงก็ปรากฏร่างหนึ่งขึ้น อีกทั้งยังยื่นถ้วยของเหลวสีน้ำตาลมาให้ “ดื่มเสีย”
อวิ๋นเจี่ยวผงะไป นาทีถัดมาก็ได้กลิ่นยาที่เข้มข้น นางพอจะแยกชนิดยาบางอย่างในนั้นออก ซึ่งเป็นยาที่ใช้สำหรับเสริมสร้างรากฐานรักษาจิตหลักทั้งสิ้น ดังนั้นนางจึงรับมาโดยไม่ได้ปฏิเสธ “ขอบคุณอาจารย์ปู่”
“อืม” เขาพยักหน้า ดูนางดื่มจนหมด ถึงได้พูดขึ้น “เจ้าเพิ่งหลอมรวมเส้นชีพจรเสวียนเข้าร่าง ร่างกายยังรับไม่ได้ ดังนั้นเจ้าต้องฟื้นบำรุงให้มากไม่ต้องรีบร้อน”
อวิ๋นเจี่ยวนึกถึงความเจ็บปวดในตอนนั้น รู้สึกเกรงกลัว ถึงได้ละทิ้งความคิดที่จะชักนำพลังลมปราณเข้าร่างกาย ก่อนจะพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “รับทราบอาจารย์ปู่”
สีหน้าของเยี่ยยวนยิ่งจริงจังมากขึ้น ก่อนจะเก็บชามในมือของนาง ดวงตามีอะไรบางอย่างแวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขายังคงพูดต่อ “ยานี้เจ้าต้องกินครบเจ็ดวันถึงจะเริ่มฝึกฝนได้ ถึงแม้ยานี้จะขมไปหน่อย แต่ต้องอดทน”
อวิ๋นเจี่ยวกำลังจะบอกว่ายานี้ยังดี ไม่ขมเท่าไหร่ อีกฝ่ายกลับพูดขึ้น “หากเจ้าไม่สามารถทนได้ก็มีวิธีอยู่บ้าง ทำพวกผลไม้แช่อิ่ม ลูกอม ขนมปัง หรือว่าอาหารที่ปรุงรสก็ได้” เขายิ่งพูดยิ่งจริงจัง อีกทั้งยังพูดเสริม “จริงสิ! ขนมเค้กที่ทำครั้งที่แล้วก็ไม่เลว กินอันนั้นดับรสขม ข้าก็ไม่ห้ามเจ้า”
เขาทำท่าทางราวกับกำลังจะบอกว่า ข้าเป็นอาจารย์ปู่ที่เปิดกว้าง
อวิ๋นเจี่ยว ”…” ท่านอยากกินก็พูดมาตรงๆ ว่าท่านอยากกิน จำเป็นต้องอ้อมวงกว้างขนาดนี้หรือ
凸(艹皿艹)
นางถอนหายใจยาว รู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย ก่อนจะถามขึ้น “ข้าสลบไปนานแค่ไหน”
“สามวันกับอีกห้าชั่วยามสี่เค่อ” เขาตอบออกมาในทันที อีกทั้งยังเสริมอีกหนึ่งประโยค “ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วยามก็ถึงเวลาเที่ยงแล้ว!” เที่ยงตรง พอดีกับการกินข้าวอย่างยิ่ง
“…อืม!” พูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว นางก็ไม่อาจนอนอยู่บนเตียงได้อีก อวิ๋นเจี่ยวดึงผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นยืน พลางพับแขนเสื้อพลางเดินออกไปข้างนอก “ข้าไปทำอาหารเดี๋ยวนี้”
ที่แท้ก็หิวมาสามวันแล้ว มิน่าพอนางตื่นมาอาจารย์ปู่ถึงได้มา
“เดี๋ยว!” เมื่อเห็นนางจะออกจากประตูไป เยี่ยยวนก็ตามขึ้นมา อีกทั้งยังพูดด้วยสีหน้าจริงจังอีกเช่นเคย
“เจ้าเพิ่งหาย ไม่ควรเหนื่อยเกินไป”
อวิ๋นเจี่ยวผงะ ไม่คิดว่าเขาจะพูดเรื่องนี้หรือว่าตนเองเข้าใจความหมายของเขาผิดไป ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เร่งให้นางไปทำอาหาร
นาทีถัดมาเห็นเพียงเขาหยิบยันต์สีทองออกมาหนึ่งใบ พร้อมกับยื่นให้นางด้วยสีหน้าจริงใจ
“ดังนั้นข้าเตรียมยันต์ตัวเบานี้ไว้ให้เจ้า เช่นนี้ก็ไม่มีผลกระทบแล้ว!”
อวิ๋นเจี่ยว”…”
( ̄△ ̄;)
เฮ้อ! อยากจะดรอปเรียน!