บทที่ 104: ข้ากำลังหาความสมดุลในยมโลก (3)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 104: ข้ากำลังหาความสมดุลในยมโลก (3)

กระบี่ปีศาจถูกลากไปตามพื้นจนเกิดเสียงแหลมเสียดหูที่ดังแทรกผ่านความเงียบท่ามกลางบรรยากาศอันน่าอึดอัด สิ่งผลให้วิญญาณนับร้อยตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

“พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมาก่อความวุ่นวายในนรกของข้า?”

“เจ้าคิดว่ายมโลกนั้นเหมือนกันแดนมนุษย์หรืออย่างไร?! คิดจริง ๆ หรือว่าข้าจะต้องมานั่งพูดเรื่องสิทธิมนุษยชนกับพวกเจ้า?!!”

เสียงที่เอ่ยออกมานั้นคงเด่นชัดขณะที่เขาวาดกระบี่อีกครั้ง ตัวละครหลักที่นำไปสู่การก่อจลาจล รวมถึงชายกล้ามโตและชายร่างใหญ่ที่มีสีหน้าหวาดกลัวสุดขีดกลายเป็นเพียงกลุ่มก้อนพลังหยินและสลายตัวไปโดยรอบทันที

“มันก็ยังเบาไปอยู่ดี” เพียงแค่สะบัดข้อมือเบา ๆ กระบี่ปีศาจก็ลอยเข้าไปอยู่ในมือของอาร์ทิสอย่างรวดเร็ว นางยิ้มออกมาบาง ๆ ขณะที่กวาดสายตาไปมองเหล่าวิญญาณตรงหน้าทั้งหมด

เงียบ

ดวงวิญญาณทั้งหมดตัวสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ จากนั้นอาร์ทิสก็เหวี่ยงกระบี่ปีศาจเบา ๆ ด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า

ตูม!!!

ทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยการเคลื่อนไหวเพียงแผ่วเบา

แต่อากาศในบริเวณนั้นกลับรู้สึกหนาแน่นและหนักอึ้ง วิญญาณทุกดวงที่สัมผัสได้ถึงสิ่งนี้ต่างขนลุกซู่ไปทั่วทั้งร่าง และจากนั้น ความกดดันที่ท่วมท้นก็ปกคลุมไปทั่วทั้งสถานที่

นี่คือการแสดงพลังของตุลาการนรก!

ในเสี้ยววินาทีถัดมา เสียงกรีดร้องที่น่าสังเวชก็ดังขึ้นอย่างติดต่อกัน และวิญญาณจำนวนมากก็หายไปทีละตน ลูกไฟวิญญาณหลายร้อยวงลอยขึ้นในอากาศและพุ่งตรงเข้าไปในโถงพระราชวัง ภายในระยะเวลาไม่กี่นาที ทั่วทั้งโถงก็สว่างไสวด้วยแสงสีเขียว! โคมไฟโบราณนับร้อยดวงถูกจุดขึ้นพร้อมกัน

วิญญาณจำนวนมากหายไปในทันที

“จงจำไว้” เสียงที่เอ่ยออกมานั้นนิ่งเรียบ ราวกับสิ่งที่นางเพิ่งทำลงไปนั้นเป็นสิ่งที่นางคุ้นชิน “ที่นี่มีเจ้าเหนือหัวและเจ้านายเพียงคนเดียวเท่านั้น”

“เขา! เขาคือเจ้าเหนือหัวเพียงคนเดียวของพวกเจ้า” นางชี้นิ้วไปที่ฉินเย่ “ผู้ที่กล้าฝ่าฝืนจะต้องถูกสังหารทันที”

“นี่ก็คือกฎของที่นี่”

“เข้าใจหรือไม่?!!”

คำพูดประโยคสุดท้ายของนางทำให้พื้นดินทั้งหมดสั่นไหวอย่างรุนแรง ผู้ที่เหลืออยู่มีเพียงผู้ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อจลาจลเมื่อครู่เท่านั้น ทั้งหมดหมอบหน้าอยู่กับพื้น ตัวสั่นระริกพร้อมกับเอ่ยอย่างสุดเสียง “เข้าใจแล้วครับ/ค่ะ!”

เสียงตอบดังกล่าวเจือมาพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้

“ข้างล่างนี้ เขาคือกฎ ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิต หรือเจ้าจะเป็นผู้ว่าราชการมณฑล นายก หรือเลขาธิการ ตราบใดที่พวกเจ้ายังอยู่ที่นี่ พวกเจ้าควรจะเรียนรู้ที่จะเคารพพวกข้า จำไว้ให้ดี”

จากนั้นนางจึงหันไปคืนกระบี่ให้กับฉินเย่ “ครั้งนี้ข้าจะทำให้ดูเป็นตัวอย่างว่าเจ้าควรจะปกครองที่นี่อย่างไร ส่วนครั้งหน้า เจ้าจะต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด”

ฉินเย่พยักหน้าและก้าวถอยหลังไป เสื้อคลุมของอาร์ทิสกระพืออย่างรุนแรงขณะที่นางกวาดสายตาเย็นเฉียบมองวิญญาณทั้งหมด “ตอนนี้ ข้าต้องการให้ผู้ที่เชี่ยวชาญในการร่างแผนผังเมืองและสถาปนิกจงก้าวออกมา”

วิญญาณทั้งหมดมองหน้ากันและกัน แต่ไม่มีผู้ใดก้าวออกมาเลยสักคน

“ไม่มีเลยหรือ” น้ำเสียงของอาร์ทิสยังคงไม่เปลี่ยนแปลงขณะที่นางเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าต้องการให้ผู้ที่เคยเริ่มธุรกิจของตัวเองและเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการก่อสร้างก้าวออกมา”

ยังคงไม่มีใครก้าวออกมา

อาร์ทิสเลิกคิ้วขึ้น “ผู้ที่เคยทำงานในหน่วยงานของรัฐ หรือเคยทำงานที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานของเขตหรือเทศบาลจงก้าวออกมา”

วิญญาณทั้งหมดตัวสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ สิบวินาทีต่อมาก็มีคนห้าคนลุกขึ้นยืนอย่างสั่นเทา

“พวกเจ้า พวกเจ้า และพวกเจ้า” อาร์ทิสใช้มือแบ่งวิญญาณทั้งหมดออกเป็นห้ากลุ่ม “กลุ่มละ 60 คน จะโดยอยู่ภายใต้การนำของพวกเจ้า ไปเตรียมที่ดินซะ”

เตรียมที่ดิน?

วิญญาณทั้งหมดมองหน้ากันอย่างมึนงง และทันใดนั้นวิญญาณของชายที่อยู่ในวัย 50 ก็ถามอย่างสุภาพว่า “นะ นายท่าน…ท่านต้องการจะให้เราเตรียมที่ดินอย่างไร?”

อาร์ทิสวาดวงกลมด้วยนิ้วของตน “ข้าต้องการให้พวกเจ้าตัดต้นไม้ทั้งหมดและปรับระดับหน้าดินในพื้นที่รัศมีสามกิโลเมตรรอบ ๆ ประตูนรก! ครั้งหน้า เราจะนำเครื่องมือเฉพาะทางมาด้วย ส่วนระหว่างนี้ พวกเจ้าต้องจัดการกำลังคนกันเองก่อน หากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก….หรือข้าเห็นว่าพวกเจ้าคนใดอู้งาน…”

ฟึ่บ…สายลมเย็นชืดพัดผ่านไปทั่ว ส่งผลให้ลูกไฟวิญญาณที่ลุกโชติช่วงอยู่ภายในโถงของพระราชวังวูบไหวอย่างน่ากลัว อาร์ทิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “เมื่อนั้น…จะไม่มีพวกเจ้าตนใดได้มีชีวิตอยู่อีกต่อไป”

นางแย้มยิ้มบาง และเสียงของนางก็อ่อนลงอีกครั้ง ดังเข้าไปในหูของวิญญาณทุกตน “และตายในที่นี้ ข้าหมายถึงกลายเป็นผุยผง ข้ารับรองได้ว่าจะไม่มีจิตวิญญาณของพวกเจ้าหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย”

“ทีนี้พวกเจ้ารู้หรือยังว่าตัวเองต้องทำสิ่งใด?”

“เราเข้าใจแล้ว! นายท่าน พวกเราเข้าใจทุกอย่างแล้ว!” “ท่านสามารถวางใจได้ พวกเราจะปรับหน้าดินและแบ่งกำลังคนตามที่ท่านสั่งอย่างแน่นอน!” หัวหน้าทั้งห้าที่ถูกเลือกก่อนหน้านี้รีบเอ่ยตอบอย่างทันควัน

เมื่ออาร์ทิสและฉินเย่เดินกลับเข้าไปในประตูนรก ไม่วิญญาณที่เหลืออยู่ตนใดกล้าลอบมองทั้งคู่เลยสักนิด

พวกเขาต่างหวาดกลัว

พวกเขาหวาดกลัวอย่างแท้จริง ผู้ปกครองยมโลกนั้นน่ากลัวกว่าเจ้าหน้าที่ในแดนมนุษย์เสียอีก หากพูดกันตามจริง ทั้งคู่น่ากลัวจนไม่มีที่ให้พวกเขาได้เจรจาต่อรองได้เลย

ปฏิเสธเหรอ?

ก็คือความตายไงล่ะ

………………

“จงจำเอาไว้ กำจัดผู้ที่ไม่ยอมเชื่อฟังเจ้า หรือว่าเจ้ากำลังกลัวว่าจะมีกำลังคนไม่พอ? ตราบใดที่ยังมีมนุษย์เหลืออยู่บนโลก มันก็จะมีวิญญาณในยมโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ” ขณะที่เดินเข้าไปในประตูนรก อาร์ทิสยังคงอธิบายอย่างจริงจัง

“วิญญาณทุกตนบนแผ่นดินจีนย่อมสัมผัสได้ถึงการก่อตั้งของนรกแห่งใหม่ แม้ว่าจะไม่ใช่ทุกตนที่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของที่นี่ได้ แต่พวกที่สามารถระบุตำแหน่งได้โดยใช้สัญชาตญาณก็มีจำนวนไม่น้อยเช่นกัน”

แววตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้น อาร์ทิสไม่ได้อธิบายทุกอย่างอย่างละเอียด ดูเหมือนนางต้องการจะบอกใบ้กับเขาว่ามันไม่สำคัญว่าเขาจะสังหารวิญญาณไปมากเพียงใด แต่เขาจะลืมให้ความสนใจความหมายแฝงที่อยู่เบื้องหลังคำพูดพวกนั้นได้อย่างไรกัน?

คำสั่งแรกที่เขาได้เอ่ยออกไปส่งผลให้เกิดการจลาจลขึ้น หากการก่อสร้างหยุดลง แต่วิญญาณยังคงหลั่งไหลเข้ามาในนรกมากขึ้นเรื่อย ๆ มันก็อาจจะไปถึงจุดวิกฤติในท้ายที่สุด และเมื่อถึงเวลานั้น เขาก็อาจจะไม่สามารถพูดได้ว่านรกแห่งนี้เป็นของเขาอีกต่อไป!

กำลังคน! ทรัพยากร! นี่คือสองสี่ที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้

มีเพียงหลังจากที่รับงานนี้มาแล้วอย่างเป็นทางการแล้วเท่านั้น เขาถึงตระหนักได้ว่าการตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ไว้ที่เงิน 100 ล้านหยวนนั้นยากแค่ไหน

เมื่อมองย้อนกลับไป คำถามที่อาร์ทิสเคยถามออกมาก่อนหน้านี้ล้วนมีเป้าหมายเพื่อสิ่งนี้ทั้งสิ้น ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในการก่อตั้งเมืองก็คือกำลังคน และจากนั้นมันก็จะเป็นเรื่องของความต้องการพื้นฐานอย่างอาหาร เสื้อผ้า และที่อยู่อาศัย หากสภาพความเป็นอยู่ย่ำแย่ ประชากรวิญญาณพวกนี้ก็คงจะไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเขาในการฟื้นฟูยมโลกเป็นแน่

ฉินเย่เบนสายตาไปมองเหล่าวิญญาณที่อยู่ด้านนอกซึ่งกำลังหารือกันอย่างจริงจังและถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนแรง “ตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงเตรียมการสำหรับการสร้างเมืองแห่งใหม่ และสิ่งสำคัญประการแรกก็คือ การตั้งรกรากของเหล่าวิญญาณ เพื่อที่จะทำเช่นนั้น เราจะต้องเตรียมที่ดิน และหากเราต้องเตรียมที่ดิน สิ่งแรกที่เราต้องการก็คือกลุ่มวิศวกรและอุปกรณ์ในการก่อสร้าง…ไม่ว่าจะเครื่องตัดไม้อัตโนมัติ รถขุด พลั่ว ปั้นจั่น…ทั้งหมดนั่นจะคิดเป็นราคาเท่าไหร่?!”

“ช้าก่อน…” อาร์ทิสเอ่ยแทรกขึ้น “เครื่องตัดไม้อัตโนมัติ? รถขุด? ปั้นจั่น? มันคืออะไร?”

“เอ่อ มันคือเครื่องจักรที่มีเลื่อนขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า และผู้ปฏิบัติงานจะนั่งอยู่ในตู้ควบคุมและกดปุ่มเพื่อตัดต้นไม้ มันสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็วมาก…ท่านไม่รู้จักเครื่องจักรพวกนี้หรอกหรือ?”

ฉินเย่มองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ ในขณะที่อาร์ทิสจ้องกลับไปตาโต ครู่ต่อมา นางก็กลบเกลื่อนความอายของตัวเองและกระแอมออกมาเบา ๆ “มันแตกต่างจากสังคมสมัยก่อนเล็กน้อย ตอนนั้น…คนงานนับแสนจะต้องระดมกำลังกัน….”

แตกต่างเล็กน้อย?

“ข้าขอแนะนำให้ท่านเพลา ๆ จากการติดตามละครน้ำเน่า แล้วเปลี่ยนไปใช้อินเทอร์เน็ตแทน…”

“นั่นไม่ใช่ประเด็น!” อาร์ทิสเอ่ยแทรกก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยจบ “สิ่งสำคัญก็คือ…เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องกำลังคนอีกต่อไป ตอนนี้อุตสาหกรรมการก่อสร้างกำลังเฟื่องฟู และหกในสิบของงานก็เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มันน่าจะใช้เวลาไม่นานในการรวบรวมกำลังคนที่มีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องได้ครบ แต่—!”

นางสูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยต่อว่า “ในสังคมสมัยใหม่มีผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในสถาปัตยกรรมโบราณอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น”

“เดี๋ยวนะ…” ครั้งนี้เป็นฉินเย่เองที่เอ่ยขึ้นมา “สถาปัตยกรรมโบราณ?”

“ถูกต้องแล้ว” อาร์ทิสเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย “เจ้าคิดหรือว่าสิ่งก่อสร้างในยมโลกจะต้องถูกสร้างขึ้นด้วยรูปแบบเดียวกับสิ่งก่อสร้างในแดนมนุษย์สมัยนี้? วางโครงสร้าง ตั้งป้าย และงานทุกอย่างก็จะเสร็จออกมาอย่างสมบูรณ์แบบอย่างนั้นหรือ?”

“ไม่ สิ่งปลูกสร้างในนรกทุกอย่างต่างมีความพิเศษ ทั้งหมดถูกจารึกไว้ด้วยอักขระค่ายกลโบราณและมีพลังงานไหลอยู่ภายใน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ นอกเหนือจากการดำเนินงานตามพิมพ์เขียวแล้ว เจ้ายังต้องพิจารณาถึงวิธีการเขียนอักขระค่ายกลไว้ภายในพิมพ์เขียวของตัวอาคารด้วย เหตุใดเราจึงต้องการหินวิญญาณ? ก็เพราะว่าหินวิญญาณคือพลังของค่ายกลพวกนี้อย่างไรล่ะ”

“หาเปรียบเทียบพิมพ์เขียวของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่กับสมัยโบราณ เจ้าจะสังเกตเห็นว่าพื้นฐานของโครงสร้างของพวกเขาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และเราก็ไม่สามารถนำพิมพ์เขียวอันเก่ากลับมาใช้ใหม่ได้เช่นกัน เจ้ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับสถานการณ์ที่การก่อจลาจลของเหล่าวิญญาณสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ลองดูที่ประตูนรก มันมีความสามารถในการต้านทานวิญญาณนับล้านตน เจ้าต้องการให้สิ่งก่อสร้างที่เจ้าสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันพังทลายลงด้วยการก่อจลาจลเพียงครั้งเดียวอย่างนั้นหรือ?”

ฉินเย่เงยหน้ามองฟ้าพร้อมกับถอนหายใจออกมาในใจ

ทำไมทุกอย่างถึงยุ่งยากแบบนี้นะ…

ตอนนี้มันอาจจะยังมีอะไรให้ทำไม่มากนัก แต่ความโกลาหลและไม่เป็นระเบียบในยมโลกกลับทำให้เขาไม่สามารถหาจุดเริ่มต้นที่เหมาะสมได้ เด็กหนุ่มคลึงขมับของตนเอง ดึงกระดาษออกมาและกัดฟันแน่นขณะที่เริ่มจดรายการสิ่งที่เขาต้องทำ “สถาบันออกแบบ นี่ก็คือแบบวาดของสถาปัตยกรรมโบราณ“

ลายมือของเขาค่อนข้างดี เด็กหนุ่มนวดหว่างคิ้วของตนเองขณะที่เขียนต่อไป “รถขุด เครื่องตัดไม้ วิญญาณวิศวกรที่มีพรสวรรค์ ทีมก่อสร้าง…”

“และเรายังต้องการนักสำรวจปริมาณ นอกจากนี้ แม้ว่าเราจะมีพิมพ์เขียว แต่เขาต้องใช้กำลังคนมากแค่ไหนกันล่ะ? ต้องใช้ไม้ กระเบื้อง และทรัพยากรอื่น ๆ มากแค่ไหน? อ้อ! มันยังมีปัญหาเรื่องที่พักพิงชั่วคราวสำหรับวิญญาณด้วย หากเจ้าไม่สามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานของพวกเขาได้ เจ้าอาจจะต้องเผชิญหน้ากับการจลาจลจากรอบด้านอีกครั้ง….” อาร์ทิสเอ่ยเสริมขณะที่มองไปยังชายหนุ่มที่กำลังกัดฟันแน่นและจดทุกอย่างลงไปในรายการ

“ข้าไม่สามารถลาออกได้แล้วจริง ๆ อย่างนั้นหรือ? ข้ารู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่นี้…”

“เจ้าคิดว่าการพูดเรื่องพวกนี้ตอนนี้จะไปมีความหมายอะไร?” อาร์ทิสเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที นางเพิ่งตระหนักได้ว่าการสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ตั้งแต่เริ่มนั้นยากเพียงใด

การสนทนาและการเขียนรายการสิ่งของของทั้งคู่ยังคงดำเนินต่อไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็สามารถแจกแจงข้อมูลเฉพาะทั้งหมด รวมถึงเรื่องของกำลังคนและเครื่องจักรที่พวกเขาต้องการสำหรับการเริ่มต้นได้ ตอนนี้ฉินเย่ได้เขียนกระดาษไปสองสามแผ่นแล้ว และเขาก็รู้สึกว่าหางตาของตัวเองกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทุกอย่างจะยุ่งยากเป็นอย่างมาก แต่ความหวังอันริบหรี่ของพวกเขาในตอนนี้ก็คือในที่สุดพวกเขาก็สรุปประเด็นหลักๆจากประเด็นรองได้แล้ว

หนึ่ง – เครื่องจักร สอง – แบบวาด

ตราบใดที่เขายังไม่สามารถเติมเต็มข้อกำหนดเบื้องต้นทั้งสองได้ เขาก็อาจจะ GG [1 ได้เมื่อวิญญาณในที่แห่งนี้มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ

“กลับกันเถอะ” ฉินเย่พึมพำด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “พวกเราสามารถตรวจดูราคาของเครื่องจักรพวกนี้ในอินเทอร์เน็ตได้ นอกจากนี้ ต่อให้พวกเราสามารถซื้อพวกมันมาได้ แต่เราจะขนมันมาที่นี่ด้วยวิธีใดกัน?”

“เผามันซะ ข้าจะเขียนยันต์ให้เจ้าเพื่อนำไปแปะลงบนเครื่องจักรพวกนั้น จากนั้นเมื่อเจ้าเผามัน เครื่องจักรพวกนั้นก็จะถูกส่งมาที่นรกโดยตรง…อ้อ! นอกจากนี้ เจ้ายังต้องเช่าเตาเผาขนาดใหญ่ด้วย เร็วเข้า เขียนมันลงไปด้วย….”

“… ข้าไม่ควรถามคำถามนี้เลยสักนิด!”

ฉินเย่หยิบเศษตราจ้าวนรกออกมา ทว่าขณะที่เขากำลังจะห่อหุ้มมันด้วยพลังหยินของตนเอง เด็กหนุ่มก็ชะงักไป จากนั้นจึงรีบเดินออกไปนอกประตูนรกและตรงไปที่ขอบของดินแดน

สถานที่ซึ่งยมโลกแห่งใหม่ตั้งอยู่นั้นเป็นเหมือนกับภูเขา มันครอบคลุมพื้นที่ประมาณห้าตารางกิโลเมตร และสิ่งที่อยู่นอกเหนือขอบเขตพื้นที่ดังกล่าวก็คือทะเลแห่งพลังหยิน มันคือทะเลสีดำที่เย็นยะเยือกและเต็มไปด้วยความขื่นขม มันไม่ใช่สิ่งที่ฉินเย่สามารถเข้าไปได้ในตอนนี้ โชคดีที่ถนนสู่ยมโลกแห่งใหม่ทำให้เขาสามารถเดินเข้าไปใกล้ขอบของดินแดนได้

ดังนั้น ฉินเย่เดินไปที่ขอบของพื้นที่และชะโงกหน้าไปมองด้านล่างอย่างระมัดระวัง

ร่างขนาดมหึมาของตี้ทิงกำลังนอกอยู่ใต้เขาเพียงไม่กี่พันเมตรเท่านั้น เสียงกรนเบา ๆ ดังขึ้นให้ได้ยินขณะที่มันพยายามฟื้นตัวจากบาดแผล นอกจากนี้ ฉินเย่มองเห็นด้วยว่ามีเสาพลังงานหยินขนาดใหญ่พรั่งพรูออกมาจากร่างของตี้ทิง และพุ่งขึ้นมายังยมโลกแห่งใหม่ ระลอกพลังหยินยังคงแพร่ไปทั่ว และทุกๆวินาทีที่ผ่านไป ที่ดินทั้งหมดของยมโลกก็ค่อย ๆ ขยายตัวออกอย่างช้า ๆ

ดอกห้วงคำนึงจำนวนมากเบ่งบานอยู่รอบ ๆ ตี้ทิงราวกับมหาสมุทรสีดำที่กระเพื่อมเบาๆตามจังหวะการหายใจเข้าออกของอสูรศักดิ์สิทธิ์

ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในที่สุดความกังวลในใจของเขาก็ลดลง เด็กหนุ่มเปลี่ยนร่างเป็นลูกไฟวิญญาณสีเขียวหยกและพุ่งกลับขึ้นไปบนแดนมนุษย์

[1] GG หมายถึง “good game” ซึ่งจะถูกประกาศออกมาเมื่อมีทีมหนึ่งยอมรับความพ่ายแพ้ในเกม MOBA