เมื่อมาถึงทางแยกที่เคยหลงทางกันมาก่อนหน้า

ซ่งฝูหลิงแบกตะกร้าไว้ข้างหลัง นางช่วยพ่อของนางเข็นรถไปด้วย “ท่านพ่อ ท่านไม่สังเกตอะไรเลยหรือ? ตั้งแต่ตรงนั้น ถนนสายนี้ก็เริ่มเบี่ยงเบนทิศทางแล้วนะ”

“ถนนเบี้ยวแล้ว?”

“มันเบี้ยวแล้ว ทิศทางเหนือใต้ไม่ถูกต้องแล้ว ถ้าไปทางเหนือควรเลี้ยวไปทางขวา นั่นเป็นเหตุผลทำให้ท่านหลงทาง”

ซ่งฝูเซิงเหนื่อยจนเหงื่อไหลทั้งตัว ไม่ยอมรับว่าตนเองที่มีประสบการณ์ขับรถมาหลายปีแล้วจะเลี้ยวผิดพลาด ไม่ใช่ผีบังตาหรอกหรือ?

ซ่งฝูหลิงพูดต่อ

“บางคนที่หลงทางเพราะดูทิศไม่เป็น ข้างในก็เป็นป่า ไม่มีหมู่บ้านบอกทาง และยังเดินลึกเข้าไปข้างใน ยิ่งเดินก็ยิ่งหลง…

…ใครจะรู้ว่าคนที่เดินหายสาบสูญไปเป็นเพราะตายหรือโดนสัตว์ป่ากัดกินแล้ว หรือบางทีเดินหลงไปเดือนหนึ่งหรือครึ่งเดือนก็กลับไปบ้านแล้ว…

…ที่นี่ข้อมูลข่าวสารไม่ตรงกัน มักจะเชื่อคำบอกเล่าที่พูดต่อกันมา คำบอกเล่าเหล่านี้เมื่อแพร่ออกไปก็ทำให้ทุกคนตกใจกลัวได้ เพื่อเป็นการป้องกัน ทำให้ไม่มีใครเข้าไป มีเพียงพวกเขาเท่านั้น…

…ถ้าเป็นคนที่นำทางเป็น อืม ยกตัวอย่างเช่น ทหารเก่าที่มีประสบการณ์พวกนั้นหรือผู้นำทัพ เมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากประชาชนก็คงไม่สนใจ พวกเขาก็ไม่ทำผิดพลาดเช่นนี้…

ไม่ใช่เพราะข้าเก่งนะ ท่านพ่อ เพราะท่าน…”

ซ่งฝูหลิงหัวเราะออกมา ท่านพ่อของนางใช้ผ้าแดงคอยนำทาง

ซ่งฝูเซิง “…” เจ้าเด็กคนนี้ รีบออกเดินทางก็เหนื่อยมากแล้วยังไม่ลืมที่จะเหน็บแนมเขาอีก

เมื่อเดินทางมาถึงสี่แยกต้องเลี้ยวขวาเพื่อออกจากพื้นที่นี้ ไม่เพียงแค่สองพ่อลูกที่ต้องทอดถอนใจ ทุกคนก็รู้สึกผูกพันกับที่แห่งนี้มาก

“โอ้ คงไม่ได้เจอป่าสนอีกแล้ว”

“ป่าสนแห่งนี้มีคุณกับพวกเรามาก ให้เงินพวกเรามาไม่น้อย ขอบคุณนะป่าสน!”

“นี่ พวกเจ้าว่าเป็นไปได้ไหมที่พวกเรามีคนแซ่ซ่งเยอะ ทำให้พวกเรามีโอกาสมาพบป่าสน?”

“ทำไมหรือ?”

“คำอ่านออกเสียงคล้ายกัน”

“พูดจาเหลวไหว แต่ถ้าแถวนี้มีหมู่บ้านพวกเรามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน”

“เจ้าคิดซะสวยงาม เจ้าอยากตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่นั่นหรือไง”

เกาเถี่ยโถวพูดด้วยรอยยิ้ม “ลุงซ่ง ตั้งถิ่นฐานที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ ลุงสามบอกแล้วว่า ลูกสนต้องใช้เวลาสามปีถึงจะเก็บได้ก็เพียงเล็กน้อย ห้าปีถึงจะเก็บเกี่ยวได้เยอะ ปีนี้พวกเราเก็บกันไปหมดแล้ว ปีหน้ายังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร”

“ใช่ ป่าแห่งนั้นถูกพวกเราทำร้ายไม่น้อย ตอนหลังกิ่งไม้ก็หักร่วงลงไปเยอะ อย่างน้อยต้องใช้เวลารักษาสองปี”

“นอกจากกิ่งก้านต้นไม้แล้ว ตอนเดินผ่านสุสาน พวกเราเดินจนเกือบทำให้หลุมฝังศพดินแบนราบโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลุมศพหลายหลุมที่อยู่หน้าทางเข้าป่า มันขวางทาง จึงให้พวกเราเดิน เหยียบเพื่อผ่านมันไป”

“เจ้าพูดมาก็น่าประหลาดใจ วันแรกที่ไปยังรู้สึกหวาดผวา ขนแขนลุกชัน แต่วันต่อมาไปอีก พวกเจ้ากลับไม่กลัวสุสานพวกนี้แล้ว”

หวังจงอวี้ออกแรงดันรถเข็นผ่านเนินดินนี้ไป เขาก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ก็รู้สึกหวาดผวาอยู่เหมือนกัน แต่ข้ามาคิดดูแล้ว ต่อให้โผล่มาตัวหรือสองตัว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสู้กัน หน้าตาของมันจะน่ากลัวแค่ไหนก็คงสู้กับหน้ากากของพั่งยาไม่ได้ ฮ่าๆ”

ทุกคนต่างหัวเราะ

หน้ากากของซ่งฝูหลิงใช้งานได้หลากหลายมาก ตอนอากาศร้อนสามารถกันแดดได้ ตอนอากาศเย็นสามารถให้ความอบอุ่นได้ เมื่อลมพัดแรงยังสามารถปกป้องใบหน้าไม่ให้โดนลมจนหน้าย่นและทำให้พวกหัวขโมยตกใจจนฉี่ราดได้ เมื่อทุกคนได้เห็นทุกวัน ยังเป็นการฝึกฝนให้เกิดความกล้ามากขึ้น

หน้ากากหลายอันของซ่งฝูหลิงตอนนี้ไม่ค่อยได้นำออกมาบ่อยนักเพราะกังวลว่าจะเกิดการทะเลาะกัน บางครั้งนางสวมหน้ากากและใช้ผ้าสีดำคลุมหัวอีกที มองเห็นเพียงแค่ดวงตาเพราะส่วนอื่นของใบหน้าถูกหน้ากากบดบังไว้ บางครั้งนางก็ไม่ได้ใส่หน้ากาก ท่านย่าหม่ากับเฉียนหมี่โซ่ว พี่หูจือก็ใช้หน้ากากเหมือนกัน พวกเขาเชื่อฟังคำพูดของซ่งฝูหลิงจะสวมใส่เฉพาะตอนเดินทางและเมื่อใกล้เขตเมืองเห็นผู้คนก็ถอดหน้ากากเก็บไว้

ทุกคนพูดคุยหัวเราะกัน ยามหิวก็กินอาหารแห้ง เมื่อหนาวและกระหายน้ำพวกเขาก็ใช้ลูกสนสุมไฟต้มน้ำและผิงมือที่หนาวจนแข็ง และนำถุงน้ำร้อนที่กอดไว้ยกขึ้นมาจิบเพื่อให้ท้องอุ่น

ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร แท้จริงแล้วมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รับรู้ถึงความยากลำบาก

โดยเฉพาะในนี้ที่มีผู้บาดเจ็บสาหัสสองคน คนหนึ่งตกลงมาจากต้นไม้ ไม่มีบาดแผลบนร่างกาย แต่เขาอาเจียนออกมาเป็นเลือด มองดูก็รู้ว่าต้องกระแทกกับพื้นแรงไม่น้อย อีกคนหนึ่งตกลงมาหัวกระแทกพื้น ตอนนี้ยังคงเวียนหัวแต่ก็ยังอดทนต่อไป ซ่งฝูเซิงรู้ว่าสมองคงได้รับการกระทบกระเทือน

เขาให้ทุกคนหยุดพักเมื่อถึงอำเภอที่อยู่ด้านหน้าเพื่อพาคนเจ็บไปหาหมอและซื้อยามากิน

ทุกครั้งที่จะต้องใช้เงินมักจะเป็นแบบนี้ ทุกคนจะไม่ค่อยเชื่อฟัง ซ่งฝูเซิงพูดจนปากเปียกก็ไม่มีประโยชน์ แต่ละคนต่างก็ส่ายหัวปฏิเสธ รวมทั้งผู้ป่วยที่ได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง

แย่แล้ว ซ่งฝูเซิงไม่คาดคิดว่าผู้อพยพลี้ภัยอย่างพวกเขาจะตกเป็นเหยื่อในสายตาของคนอื่น

ทหารที่เฝ้าประตูอำเภออู่เฉวียนหลายนายสบตากับหัวหน้าหน่วย โอ้ คนพวกนี้มีสิ่งของมากมายมาด้วย

คนส่วนใหญ่แบกเครื่องนอนไว้ข้างหลัง ผู้หญิงบางคนแบกตะกร้าไม้ไผ่ ในตะกร้ามีเสื้อผ้าขาดๆ คลุมไว้อีกที ไม่รู้ว่าข้างในใส่อะไรไว้

รถเข็นสองคันเข็นถังที่บรรจุน้ำจนเต็ม บนรถเข็นสองคันเต็มไปด้วยหม้อเหล็กขนาดใหญ่กับเครื่องมือการเกษตรต่างๆ มีครบหมด

ดูพวกอาหารแห้งนี่สิ ทหารคนหนึ่งเดินไปที่รถเข็น เขาดึงกระเป๋าผ้าสัมภาระทำให้หมั่นโถวหลายลูกหล่นตกลงมา กินกันดีมาก เขาก็หยิบกระเป๋าผ้าสัมภาระอีกใบทั้งที่รู้ว่าข้างในอาจจะเป็นหมั่นโถว เขาเขย่าแขนไปมาอย่างแรง หมั่นโถวยี่สิบกว่าลูกก็ตกลงพื้น

ท่านย่าหม่านั่งคุกเข่าเก็บหมั่นโถว “ใต้เท้า ท่านทำอะไร? พวกเราจะกินมันอย่างไร”

“ข้าจะดูว่าข้างในใส่สิ่งของที่ต้องสงสัยหรือไม่ ทำไม? ดูไม่ได้หรือไง?”

ทหารอีกคนก็มาวนดูรอบรถเข็นรื้อค้นสิ่งของบนรถ เมื่อเห็นไม้แขวนเห็ดที่ตากอยู่บนรถหลายคัน เขาก็ใช้มือดึงออกมา เห็ดพวงใหญ่ทั้งที่แห้งและไม่แห้งก็หลุดหล่นเป็นชิ้นๆ

ท่านยายหวังยืนบังหน้ารถเข็นอีกคันหนึ่งด้วยความหวาดกลัว นางบังรถคันนี้ที่มีเห็ดตากอยู่ ยกสองมือพนมขึ้นเพื่อขอร้อง “ใต้เท้า พวกเรามีทั้งคนแก่และเด็ก ระหว่างทางไม่มีอะไรกินถึงต้องเก็บเห็ดไว้กินรองท้อง”

ไม่มีประโยชน์ ใต้เท้าท่านนี้ผลักท่านยายหวังล้มลง ชายหลายคนที่อยู่ใกล้ รีบวางรถเข็นแล้วมาบังหน้าท่านยายหวังไว้

ซ่งหลี่เจิ้งกับซ่งฝูเซิงเพิ่งจะมาถึง หัวหน้าหน่วยของพวกทหารเหล่านี้ใช้มีดกรีดถุงกระสอบออก ถั่วเมล็ดสนที่อยู่ในกระสอบร่วงตกลงมาเต็มพื้น

ซ่งฝูเซิงทำการคารวะ “เรียนถามใต้เท้า พวกข้า?”

“ไสหัวออกไป!” หัวหน้าหน่วยผลักซ่งฝูเซิงและตะโกนพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “เปิดถุงตรวจ!”

แต่ละกระสอบโดนเจาะจนขาด ไม่ได้แกะเปิดตรวจสอบแบบดีๆ แต่ทำให้ถุงกระสอบโดนเจาะจนพัง

พวกผู้หญิงที่โถมตัวกอดกระสอบไว้ก็ไม่สามารถปกป้องได้ พวกเด็กๆ ต่างตกใจกลัวจนร้องไห้ และคอยเก็บถั่วเมล็ดสนที่ตกตามพื้น แต่พวกเขาลืมไปแล้วว่าบนตัวเขาเองแต่เดิมแบกถั่วเมล็ดสนประมาณห้ากิโลอยู่ เมื่อก้มลงเก็บถั่วเมล็ดสนที่อยู่ในหมวกด้านหลังก็ร่วงหล่นลงมา

เฉียนหมี่โซ่วร้องไห้กอดขาทหารคนหนึ่งที่จะเข้ามาเจาะถุงกระสอบ “พวกเรายังต้องขายมันเพื่อหาเงินนะ ท่านอย่าได้ทำแบบนี้เลย”