เมื่อเรื่องราวมาถึงจุดนี้ ทุกคนต่างก็ได้พักผ่อนอย่างสงบสักที
มู่หงอวี๋ไปก่อไฟและพวกเขานั่งรอบกองไฟเพื่อรออาจารย์มาถึง
บริเวณใกล้เคียงนั้นฉู่หลิวเยว่ค้นพบสมุนไพรบางชนิด จึงนำมาช่วยเลี่ยวจงซู แต่ก็เพียงพันผ้าพันแผลเพื่อหยุดเลือดชั่วคราวเท่านั้น
คนอื่นต่างก็ได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกัน นางแจกจ่ายสมุนไพรและปล่อยให้พวกเขาจัดการตนเอง
ตลอดจนสุดท้าย นางใช้ยาที่เหลือกับแขนของนาง ความเจ็บปวดที่เพิ่งบรรเทาลงถูกกระตุ้นโดยคุณสมบัติของยา จนทำให้นางขมวดคิ้ว
มีคนเดินเข้ามา ฉู่หลิวเยว่จึงเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเขาคนนั้นคือกู้หมิงเฟิง
“เมื่อครู่นี้…ข้าขอบใจเจ้ามาก”
เปลวไฟอันโชติช่วงสะท้อนบนใบหน้าของกู้หมิงเฟิงทำให้เห็นสีหน้าของเขาฉายชัดมากขึ้น
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า
“ไม่ต้องขอบใจหรอก ราชาหมาป่าตัวนั้นแข็งแกร่งมาก ไม่ว่าเจ้าหรือข้าต่างก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ตัวต่อตัวของมัน ต้องร่วมมือกันถึงจะเอาชนะมันได้ พวกเรายังโชคดี”
กู้หมิงเฟิงจ้องนาง แต่มีความคิดมากมายพรั่งพรูในหัวใจของเขา
แม้ฉู่หลิวเยว่จะพูดสบายๆ แต่ในการต่อสู้กับความเป็นความตายเมื่อครู่นี้ ความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจจะนำไปสู่ความตายได้
แต่ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับต่อสู้อย่างไม่ลังเลสักนิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…เมื่อเขาคิดว่าเขากำลังจะตายด้วยคมเขี้ยวของราชาหมาป่า ถ้าฉู่หลิวเยว่มาช่วยไม่ทัน เขาก็คงอาการแย่กว่าเลี่ยวจงซูเป็นแน่
นางได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
แต่ดูเหมือนนางไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลยด้วยซ้ำ
ในโลกนี้มีคนเสียสละอย่างนั้นจริงหรือ? !
ฉู่หลิวเยว่สังเกตว่ากู้หมิงเฟิงยังอยู่ที่เดิม ดังนั้นนางจึงเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง แล้วก็เห็นแววตาวูบไหวของเขาพอดี
กู้หมิงเฟิงคิ้วกระตุกและละสายตาไปทันที
ฉู่หลิวเยว่แอบหัวเราะในใจ
ในอดีตชาตินางเคยเห็นผู้ที่มีความคิดคมในฝักมามาก นางจึงรู้ทันความคิดของกู้หมิงเฟิง
บางทีอาจเป็นเพราะภูมิหลังของเขา จึงทำให้เขามีอารมณ์ความรู้สึกที่มืดมนอ่อนไหว และไม่ไว้ใจใครตามสัญชาตญาณ
แม้ว่าพวกเขาจะอยู่กลุ่มเดียวกัน แต่ฉู่หลิวเยว่เชื่อว่ากู้หมิงเฟิงไม่เคยสนใจชีวิตของคนอื่นหรอก
เหตุผลสำคัญที่เขาดิ้นรนต่อสู้กับราชาหมาป่าก็คือเขาแค่ต้องการเอาชีวิตตัวเองให้รอด
“ข้าก็แค่ช่วยเจ้าไปตามสถานการณ์ เจ้าไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ สถานการณ์แบบนั้นไม่ว่าเป็นผู้ใด ข้าย่อมช่วยทั้งนั้น”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยเสียงเรียบนิ่ง
กู้หมิงเฟิงรู้สึกตกใจ จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าฉู่หลิวเยว่รู้ทันความคิดของเขาอย่างทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว
เขาขมวดคิ้วมุ่นและรู้สึกอึดอัดเขาจึงหันหลังจากไป
แต่พอเดินได้เพียงก้าวเดียว เขาก็หยุดฝีเท้า
“ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้ก็ถือว่าข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้า”
พูดเสร็จก็เดินไปนั่งไกลๆ จากนั้นเขาก็หลับตาแล้วปรับลมหายใจ
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองเขาอย่างครุ่นคิด และรู้สึกดีขึ้นกับทัศนคติของเขาขึ้นมาเล็กน้อย
กู้หมิงเฟิงผู้นี้นิสัยดีกว่ากู้หมิงจูน้องสาวต่างมารดาของเขามาก
…
หลังจากรอประมาณครึ่งชั่วยาม อาจารย์เหวินเยี่ยนซึ่งเป็นอาจารย์ผู้นำกลุ่มก็มาถึงในที่สุด
เขาดูเต็มไปด้วยฝุ่น มีคราบเลือดประปรายบนร่างของเขา ราวกับว่าเขาเพิ่งผ่านการต่อสู้
เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่และคนอื่นมีสภาพสะบักสะบอม เขาจึงก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและถามว่า
“พวกเจ้าก็ถูกสัตว์อสูรโจมตีเช่นกันหรือ”
โดนโจมตีเช่นเดียวกันหรือ?!
หัวใจของฉู่หลิวเยว่กระตุกวูบ
“ท่านอาจารย์เหวินเยี่ยนรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ”
เหวินเยี่ยนขมวดคิ้วเป็นปม
“เมื่อครู่นี้ลู่เฟยเยี่ยนและคนอื่นรวมห้าคนก็เจอเหตุการณ์นี้เช่นเดียวกัน กลุ่มนางห้าคน มีสามคนได้รับบาดเจ็บสาหัส และอีกสองคนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ข้าได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากพวกเขาเมื่อหนึ่งชั่วยามที่แล้ว และเพิ่งส่งพวกเขาออกไป จากนั้นข้าก็มาที่นี่นี่แหละ”
พวกมู่หงอวี๋ต่างตกตะลึง
“สาหัสขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ”
อาจารย์เหวินเยี่ยนพยักหน้าจริงจัง
“ถูกต้อง ตามที่พวกนางเล่าฟัง พวกนางถูกเสือดาวทะยานฟ้าโจมตี”
เสือดาวทะยานฟ้าก็เป็นสัตว์อสูรระดับสามเหมือนกัน ทั้งยังมีพลังแข็งแกร่ง นิสัยดุร้าย ไม่ใช่ผิดแปลกหากพวกของลู่เฟยเยี่ยนจะได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้น
“เช่นนั้น…ในเมื่อพวกนางออกไปหมดแล้ว ก็ต้องถอนตัวออกจากการล่าสัตว์ครั้งนี้หรือเจ้าคะ”
“ใช่ บาดเจ็บสาหัสถึงสามคนก็ไม่มีกำลังต่อสู้อีก เหลือแค่พวกลู่เฟยเยี่ยนสองคน เมื่อผ่านเหตุการณ์การต่อสู้ที่น่าหวาดกลัวในคราวนี้ พวกนางก็ไม่กล้าไปต่อแล้ว”
เหวินเยี่ยนพูดพลางเดินไปหาเลี่ยวจงซู หลังจากตรวจดูบาดแผลอย่างละเอียดแล้ว เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“แม้ว่าอาการบาดเจ็บจะรุนแรง แต่โชคดีที่ได้รับการช่วยเหลือทันท่วงที ตอนนี้กลับไปก็ยังมิสาย”
เลี่ยวจงซูรู้ดีว่าถ้าเขาอยู่ต่อก็จะเป็นตัวถ่วงของทุกคน ดังนั้นเขาจึงพูดว่า
“เช่นนั้นขอรบกวนท่านอาจารย์เหวินเยี่ยนด้วยขอรับ”
เหวินเยี่ยนถอนหายใจ
“จงซู เป็นผู้มีต้นทุนดีเลิศ เดิมทีครั้งนี้เจ้าสามารถล่าสัตว์อสูรที่เหมาะสมกับเจ้าได้…”
แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้กลายมาเป็นเยี่ยงนี้ได้ ก็ต้องล้มเลิกความคิดไปเสียแล้วล่ะ
มุมปากซีดเซียวของเลี่ยวจงซูไม่มีแรงขยับยิ้ม
“อาจารย์เหวินเยี่ยนมิต้องเป็นห่วง ศิษย์ทราบดีว่าชีวิตสำคัญยิ่งกว่าขอรับ”
“เจ้าคิดเช่นนี้ได้ก็ดี รอรักษาจนหายดีมักมีโอกาสเสมอ แต่การดันทุรังต่อไปมันไม่คุ้มเลยสักนิด”
เหวินเยี่ยนรู้สึกโล่งใจ จากนั้นก็มองไปที่ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ
“ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าสี่คนล่ะ”
เฉินหู่พูดเสียงห้าว
“ไปต่อแน่นอน!”
ถอนตัวแบบนี้คงน่าอับอายเกินไปแล้ว!
เลี่ยวจงซูเกือบตายเพียงเพื่อช่วยพวกเขาต้านหมาป่า ถ้าพวกเขายังถอยด้วยกันแล้วจะมีความหมายอะไร
“พวกเจ้าแน่ใจหรือ” อาจารย์เหวินเยี่ยนถอนหายใจ “คราวนี้ที่บรรพตวั่นหลิงช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก สัตว์อสูรบางประเภทที่อาศัยอยู่แค่ข้างในเท่านั้นกลับออกอาละวาดข้างนอก ทั้งยังจู่โจมแข็งแกร่งมาก เมื่อครู่นี้ข้าติดต่ออาจารย์ท่านอื่นแล้ว มีหลายกลุ่มที่เผชิญเหตุการณ์เช่นเดียวกัน หากยิ่งถลำลึก ก็จะยิ่งอันตราย”
เฉินหู่อึ้งพร้อมกับเกาศีรษะ จากนั้นก็หันไปมองฉู่หลิวเยว่โดยไม่รู้ตัว
มู่หงอวี๋และกู้หมิงเฟิงก็หันไปมองพร้อมกัน
“…หลิวเยว่ เจ้าว่าอย่างไร”
มู่หงอวี๋ถาม
อาจารย์เหวินเยี่ยนรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
หัวหน้ากลุ่มของพวกเขามิใช่มู่หงอวี๋หรอกหรือ
แต่ทำไมตอนนี้ดูเหมือนฉู่หลิวเยว่จะกลายเป็นเสาหลักของกลุ่มเลยล่ะ
ฉู่หลิวเยว่ไตร่ตรองครู่หนึ่ง แล้วกวาดสายตามองทุกคนด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ข้าเลือก…ไปต่อ!”