หลินหลันอยู่คุยเป็นเพื่อนแม่มดชราไปได้สักประเดี๋ยว หมิงจูกับอวี๋เหลียนก็พากันเดินจูงมือเข้ามา
สถานะตัวตนของหมิงจูในบ้านหลังนี้ถูกกดให้อยู่ในระดับที่ต่ำต้อย อย่างในปัจจุบันนี้มีอวี๋เหลียนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับนางซึ่งสถานะต่ำต้อยกว่านางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในที่สุดหมิงจูก็สามารถค้นพบคนที่สถานะพอๆ กัน ผนวกกับอวี๋เหลียนเชื่อฟังนางซึ่งนั่นทำให้จิตใจที่หยิ่งยโสของนางรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง และสำหรับอวี๋เหลียน การได้รับความถูกใจจนสามารถใกล้ชิดกับลูกพี่ลูกน้องของคนตระกูลหลี่นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อนางอยู่แล้ว แล้วเหตุใดนางจะไม่เชื่อฟังล่ะ ดังนั้นทั้งสองจึงสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว
หมิงจูมองผ่านหลินหลันไปเสมือนนางไม่มีตัวตนอยู่ โดยเดินมุ่งตรงไปก่อนจะหยุดลงเบื้องหน้านางฮานตามด้วยฉีกยิ้มระรื่นขณะย่อเข่าและโน้มลำตัวลงเล็กน้อยเพื่อแสดงการคาราวะ ก่อนจะเอ่ยเสียงหวาน “อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะท่านป้า”
อวี๋เหลียนดูเก้ๆ กังๆ อย่างเห็นได้ชัด ท่าทางคาราวะก็แข็งทื่อมากด้วยเช่นกัน “อรุณสวัสดิ์ท่านอาสะใภ้รองเจ้าค่ะ”
ฮานชิวเยว่เผยรอยยิ้มพลางบอกให้พวกนางลุกขึ้นก่อนจะเรียกชุ่ยจือให้จัดที่นั่งสำหรับสองคนนี้
ตามหลักการแล้ว หมิงจูและอวี๋เหลียนควรจะนั่งในตำแหน่งรองจากหลินหลัน ทว่าด้วยความปากไวของหมิงจู จึงบอกให้ชุ่ยจือย้ายเก้าอี้ไปยังด้านข้างนางฮานและนั่งลงข้างๆ นางฮาน
นางฮานมองตาเขม็งซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจเล็กน้อย ทว่าเมื่อมองดูบุตรสาวที่ไม่ได้มีท่าทางสุขใจเช่นนี้บ่อยครั้งนัก จึงได้แต่แอบถอนหายใจและปล่อยนางเลยตามเลย ก่อนจะหันไปเอ่ยถามอวี๋เหลียน “อาศัยอยู่ที่นี่คุ้นชินแล้วหรือไม่”
อวี๋เหลียนพยักหน้าแล้วตอบกลับด้วยเสียงบางเบา “คุ้นชินแล้วเจ้าค่ะ”
นางฮานมองดูอวี๋เหลียนที่ดูสงบเสงี่ยม ท่าทางขี้ขลาดเสียยิ่งกะไร จึงรู้สึกไม่สุขใจเท่าไหร่นัก มิใช่ว่าให้พี่สะใภ้ใหญ่ช่วยเลือกคนที่ฉลาดหลักแหลมมีไหวพริบมาหรือไร ทว่าลักษณะอวี๋เหลียนกลับไม่เข้าเกณฑ์เลยสักนิด…
“ท่านป้า ให้อวี๋เหลียนกับข้าพักอยู่ด้วยกันเถอะนะเจ้าคะ ที่พักข้านั่นกว้างใหญ่จะตายเจ้าค่ะ” หมิงจูกอดแขนของนางฮานทำทีออดอ้อน
นางฮานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อวี๋เหลียนน้องสาวเจ้าไปอยู่กับเจ้าทางนั้น แล้วท่านป้าสะใภ้เจ้าก็มิเท่ากับต้องอยู่ลำพังหรือ”
หมิงจูรู้สึกผิดหวังอย่างมาก “งั้นก็รอท่านป้าสะใภ้ใหญ่มาแล้วค่อยขอให้อวี๋เหลียนมาอยู่กับข้าก็ได้”
นางฮานฉีกยิ้ม “ไว้ถึงเวลาค่อยว่ากันอีกทีเถอะ”
หลินหลันนึกสงสัย อวี๋เหลียนมิใช่ว่าจะต้องคอยติดตามป้าสะใภ้ใหญ่หรอกหรือ และการที่แม่มดชราเลี้ยงนางไว้เพื่ออะไรกัน ลูกสาวคนหนึ่งของครอบครัวออกจากบ้านเกิดมาจะต้องการอะไรไปได้นอกเสียจากความปรารถนาเรื่องแต่งงานก็เท่านั้น ทว่าเอาเวลาไปจัดแจงหาคู่ให้ลูกสาวของตระกูลหลี่ยังไม่ดีกว่าหรือ ไฉนถึงยอมสิ้นเปลืองแรงให้กับหลานสาวของพี่สะใภ้ตนเองแทนเสียนี่ หลินหลันยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย และด้วยสถานะที่อวี๋เหลียนมี ถ้าให้เป็นนางบำเรอของหมิงเจ๋อก็คงพอไหวกระมัง ทันใดนั้นความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามา นี่นางแม่มดชราคงไม่ได้คิดจะหยัดเหยียดคนผู้นี้เข้ามาที่บ้านนางหรอกนะ…
หลินหลันอดไม่ที่จะชายตามองไปที่อวี๋เหลียน ใบหน้ารูปไข่จิ้มลิ้ม ดวงตาคมเฉี่ยว จะว่าไปแล้วก็หน้าตาสระสวยทีเดียว เพียงแต่เป็นลักษณะที่เหมาะสำหรับการเป็นบ้านเล็กบ้านน้อยเท่านั้น หลินหลันจึงตัดสินใจได้ว่า หากนี่เป็นเพียงนางบำเรอที่แม่มดชราตระเตรียมไว้ เช่นนั้นก็ช่างปะไร แต่ถ้าหากคิดจะผลักไสเข้ามาในห้องของนาง งั้นคงต้องขอโทษด้วย ถ้ากระตุกหนวดนาง นางจะโยนไปให้ท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย
คู่สามีภรรยาหลี่หมิงเจ๋อซึ่งมาถึงท้ายสุด ทั้งสองสีหน้าผิดปกติไปเล็กน้อย ดูเหมือนติงหลั้วเหยียนกำลังโกรธ ขณะที่หมิงเจ๋อมองไปที่สีหน้าของติงหลั้วเหยียนอยู่ตลอดอย่างระมัดระวัง
นางฮานมองความผิดปกตินี้ออกเช่นกัน อย่างไรก็ตามนางเป็นคนที่มองออกมากเสียยิ่งกว่าหลินหลันเสียอีก หลั้วเหยียนแม้จะปั้นหน้าบึ้งตึง ทว่าใบหน้าที่แดงระเรื่ออย่างกับไปทำเรื่องแย่ๆ อะไรเข้าอีกแล้ว ฮานชิวเยว่จ้องเขม็งไปที่หลั้วเหยียน อย่าเพิ่งมาชักสีหน้าอะไรตอนนี้ได้หรือไม่ อีกประเดี๋ยวต้องพากันไปเคารพท่านย่าอีกจะพาลเสียเวลาไปกันใหญ่ ปรับสีหน้าของเจ้าให้ดีๆ เสีย
เมื่อคนทางด้านนี้มารวมตัวกันพร้อมเพรียงแล้ว ฮานชิวเยว่จึงนำขบวนคนเดินไปยังโถงจาวฮุย
ขนบธรรมเนียมประเพนีนี้มันช่างน่าเบื่อยิ่งนัก ทำไปทำมาก็เป็นแค่การสนทนาเรื่อยเปื่อย และโชคดีที่มันไม่มีเรื่องของหลินหลันเข้าไปอยู่ในประเด็นด้วย นางจึงถือซะว่าเป็นการเข้าชั้นเรียนวิชาการเมืองอันน่าเบื่อ
“ข้าได้ยินมาว่า เรือนของหมิงอวินข้ารับใช้สาวน้อยสาวใหญ่ล้วนเป็นคนจากตระกูลเยี่ยหรือ” หญิงชราเอ่ยประโยคดังกล่าวขึ้นมากะทันหัน
ประโยคดังกล่าวเรียกสติที่ล่องลอยไปบนท้องนภาของหลินหลันร่วงหล่นลงมายังพื้นดินอีกครั้ง
ฮานชิวเยว่กล่าวย้ำด้วยเสียงเรียบเฉย “ท่านย่าถามเจ้าน่ะ”
หลินหลันลุกขึ้นยืนและกล่าวตอบ “ก็มิได้มากเจ้าค่ะ มีแค่แม่โจวและกุ้ยซ่าว ด้วยหมิงอวินไปอยู่ที่เฟิงอานเป็นเวลาถึงสามปีโดยมีแม่โจวและกุ้ยซ่าวคอยปรนนิบัติ เลยกลายเป็นความคุ้นชินของหมิงอวินเจ้าค่ะ ท่านยายเลยให้ทั้งสองคนตามมาคอยปรนนิบัติหมิงอวินเจ้าค่ะ”
“พี่สะใภ้รอง หยินหลิ่วกับอวี้หลงที่คอยปรนนิบัติข้างกายเจ้าก็มิใช่คนของตระกูลเยหรอกหรือ” หมิงจูกล่าวอย่างหน้าตาเฉย นางยักคิ้วหลิ่วตา ทำทีท่าราวกับกำลังแสดงบทบาท
หลินหลันยิ้มอ่อนโยน “สาวใช้สองคนนี้หมิงอวินซื้อมาระหว่างการเดินทาง สัญญาซื้อขายยังอยู่ที่ข้านี่เลยน่ะ”
“เจ้าว่าใช่ก็ใช่งั้นหรือ” หมิงจูทำสีหน้าฝึดฝัด
หลินหลันไม่รู้ว่าการที่หญิงชราถามอะไรเช่นนี้หมายความว่าอันใด อย่างไรก็ตามนางไม่ชอบการถูกแหย่นักหรอก จึงเอ่ยถามขึ้น “ท่านย่าคิดว่าไม่เหมาะสมหรือเจ้าคะ”
หญิงชรามองไปยังหลินหลัน นัยน์ตาซับซ้อนและกล่าวถามกลับไป “แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
หลินหลันกล่าวอย่างอ่อนหวาน “ตระกูลเยี่ยเป็นอีกครอบครัวของหมิงอวิน ซึ่งหมิงอวินก็คือหลานชายคนหนึ่งของท่านย่าและท่านยาย จึงเป็นธรรมดาที่จะรักและเอ็นดูอย่างยิ่ง ดังนั้นการส่งหญิงรับใช้สักสองสามคนมาคอยปรนนิบัติหมิงอวินก็สมเหตุสมผลเช่นกันนะเจ้าคะ อีกอย่างในเมื่อผู้อาวุโสเป็นผู้เสนอก็คงมิอาจปฏิเสธได้ ซึ่งหลานเองก็จำได้ว่าในกฎระเบียบของบ้านดูเหมือนจะมีข้อนี้อยู่ด้วยเช่นกันนะเจ้าคะ”
ดวงตาของหญิงชรานิ่งสงบ “ข้าเองก็มิได้เอ่ยว่าไม่เหมาะสม เพียงแต่ข้าได้ยินมาว่าแม่โจวนั่นเป็นคนเก่าคนแก่ที่คอยปรนนิบัตินายหญิงชราของตระกูลเยี่ยมาหลายสิบปี จึงคิดว่าการที่นายหญิงชราเยี่ยต้องแยกห่างจากแม่โจวก็คงไม่คุ้นชินนัก”
นางฮานกล่าวแทรก “จะว่างั้นก็คงมิถูก หากหมิงอวินต้องการคนคอยรับใช้ปรนนิบัติ ในบ้านเราก็มีคนตั้งมากมาย จะให้ใช้คนจากทางท่านยายเขามาคงไม่ค่อยเหมาะนัก”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่ยังไงล่ะเจ้าคะถึงได้เห็นว่าท่านยายเขารักและเอ็นดูต่อหมิงอวินมากเพียงใด อย่าว่าแต่หญิงรับใช้ที่คอยปรนนิบัติข้างกายมาหลายสิบปีเลยเจ้าค่ะ ต่อให้ควักหัวใจออกมาก็คงยินยอมเช่นกัน ท่านย่าก็มีจิตใจที่รักและเอ็นดูหลานๆ เช่นกันใช่ไหมเจ้าคะ เพียงแต่ท่านย่าเป็นคนปากร้ายใจดีก็เท่านั้นเอง”
หญิงชราอมยิ้มเล็กน้อยและไม่ได้เอ่ยถึงประเด็นนี้ต่อ ทุกคนจึงหันไปพูดคุยสัพเพเหระอีกสักพัก หลังจากนั้นหญิงชราจึงให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับไป
หลินหลันคิดไม่ตก การเอ่ยถามถึงประเด็นนี้หญิงชราคงไม่ได้ถามเพียงส่งเดชอย่างแน่นอน แต่คงเป็นเพราะแม่มดชราที่คอยเป่าหูอยู่ข้างๆ เห็นได้ชัดว่านางต้องการขับไล่แม่โจวออกไป ซึ่งนั่นไม่ต่างไปจากการตัดแขนของนางไปหนึ่งข้าง ซึ่งจะว่าไปแล้วตอนนี้แม่โจวก็จำเป็นสำหรับนางอย่างมาก การมีแม่โจวอยู่ด้วย อย่างน้อยๆ นางก็ไม่ต้องกังวลปัญหาต่างๆ ภายในเรือน เรื่องนี้เป็นแผนการของนังแม่มดชราหรือหญิงชราเลือกทำในสิ่งที่ขัดต่อบรรทัดฐานของตนกันแน่ ในเมื่อพวกนางเริ่มความนึกคิดนี้ขึ้นมาก็คงไม่ยอมวางมืออย่างง่ายดายไปเช่นนี้ เห็นทีนางจำเป็นต้องคอยรับมือเข้าไว้ถึงจะเป็นการดี
เพื่อไม่ทำให้แม่โจวเป็นกังวลไปหลินหลันเลือกที่จะไม่บอกเรื่องนี้ให้นางรับรู้
เมื่อรับประทานมื้อค่ำเป็นที่เรียบร้อยและกลับมาถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจาย หลังจากทั้งสองต่างก็อาบน้ำอาบท่ากันเป็นที่เรียบร้อย หลี่หมิงอวินโอบกอดหลินหลันให้มานั่งลงบนตักเขาแล้วเอ่ยถามถึงสิ่งที่นางทำไปในวันนี้ เวลานี้เองนางถึงเอ่ยประเด็นในเช้าวันนี้ขึ้น
หลี่หมิงอวินแสยะยิ้มเย็นชาเมื่อได้รับฟัง “ไม่ต้องเดาก็รู้ได้เลยว่าเป็นแม่มดชราที่คิดจะเล่นตุกติกขึ้นมาอีกแล้ว ท่านย่าเพิ่งมาได้ไม่กี่วันเองมิใช่หรือ เช่นนั้นจึงไม่เข้าใจสถานการณ์ในจวนอะไรเท่าไหร่นัก และในส่วนที่นางเข้าใจ เกรงว่าล้วนเป็นการสดับรับฟังจากปากแม่มดชราเท่านั้น แม่มดชราคิดจะยืมมือท่านย่า นอกจากคนของเรือนเราซึ่งเป็นเรือนเดียวที่นางไม่อาจแทรกแซงเข้ามาได้ จึงรู้สึกปั่นป่วนใจไม่น้อยเลยล่ะ”
“เช่นนั้นหากท่านย่าถูกนางใช้เป็นเครื่องมือขึ้นมาจริงๆ ล่ะ” หลินหลันกล่าวด้วยความกังวลใจ และอดไม่ได้ที่จะกรอกตามองบนอย่างเหนื่อยใจแล้วกล่าวขึ้น “วันนี้หากพวกนางพูดมากไปอีกสักประโยค ข้าคงได้โต้เถียงกลับไปว่า ทีคนของตระกูลเยี่ยพวกเจ้าดันไม่ต้องการ แต่พอเป็นเงินของตระกูลเยี่ยพวกเจ้ากลับวิ่งแจ้นเข้าใส่ แน่จริงก็ส่งมอบหมู่บ้านและห้องแถวคืนตระกูลเยี่ยสิ”
หลี่หมิงอวินหัวเราะขึ้นมาอย่างเปิดเผยก่อนจะกล่าวออกไป “ประโยคนี้ของเจ้าหากหลุดออกไป มีหวังท่านย่าคงได้โกรธจนกระอักเลือดเป็นแน่ อย่างไรก็ตามเจ้าก็ไม่ควรทำเช่นนั้น เดี๋ยวจะกลายเป็นผู้ที่ขึ้นชื่อได้ว่ากระทำผิดต่อผู้อาวุโสเอาได้ และเจ้าอย่าได้ตกหลุมพรางของแม่มดชราเข้าเชียว”
หลินหลันเบ้ปาก “ข้าก็แค่พูดสนุกๆ ตรงนี้เท่านั้นแหละ เจ้าวางใจได้ ถึงเวลาจริงข้ายังสามารถสงบสติอารมณ์ไหวอยู่หรอกน่า”
“อันที่จริง ทุกคนต่างก็มีจุดอ่อนทั้งนั้น ถึงจะเห็นว่าท่านย่าดูเคร่งครัด แต่นางก็มีจุดอ่อนเช่นกัน” หลี่หมิงอวินลูบเส้นผมของนางเป็นระยะๆ
ใบหน้าของหลินหลันเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง ทันใดนั้นก็นึกถึงคำมั่นสัญญาที่เอ่ยไว้เมื่อเช้า นางแอบปลุกความกล้าหาญในตัวเอง ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกน่า
“ขอเพียงสามารถหาจุดอ่อนของนางได้ การรับมือก็จะง่ายดายอย่างมาก…” เขามองดูใบหน้าของนางที่ค่อยๆ แดงระเรื่อเด่นชัดยิ่งขึ้น ความรู้สึกของหลี่หมิงอวินพุ่งพล่านขึ้นมาทันใด อันที่จริงตลอดทั้งวันเขาไม่เป็นอันสงบสุข ด้วยมัวแต่คิดถึงคำสัญญาที่นางให้ไว้จึงเฝ้ารอให้ยามค่ำคืนมาเยือนอย่างเร็วไว
หลินหลันพยักหน้าทั้งที่จิตใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และทำทีท่าราวกับน้อมรับคำแนะนำของเขาอย่างดิบดี “ข้าจะคอยสังเกตให้ละเอียดเข้าไว้”
หลี่หมิงอวินจับคางของนางอย่างเบามือและเชยใบหน้าของนางขึ้น เพื่อเผชิญหน้ากับดวงตาคู่กลมโตสดใสราวกับสายน้ำ หัวใจเต้นระรัวจนยากเกินกว่าจะจับจังหวะได้ เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “อย่ามัวแต่สังเกตจุดอ่อนของผู้อื่นเพียงอย่างเดียว จนลืมมองจุดอ่อนของตนเองล่ะ”
หลินหลันครุ่นคิดแล้วจึงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “จุดอ่อนเดียวของข้าก็คือ…ไม่มีจุดอ่อน”
หลี่หมิงอวินหลุดหัวเราะ ดวงตาสีดำเข้มฉายให้เห็นถึงอารมณ์หยอกล้อ “เจ้านี่ช่างหลงตัวเองเสียจริง เจ้าว่าเจ้าไม่มีจุดอ่อนจริงๆ งั้นหรือ”
หลินหลันเริ่มเห็นสัญญาณอันตรายจากนัยน์ตาของเขาจึงอดไม่ได้ที่จะลุกหนี ทว่ากลับสายเกินไปเสียแล้ว เขากอดนางไว้อย่างแนบแน่นจึงทำได้เพียงยอมสิโรราบแต่โดยดี หลินหลันก้มหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยออกไป “จุดอ่อนของข้าก็มีเพียงเจ้านี่ไง…”
หลี่หมิงอวินเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ ยังนับว่ารู้จักตนเองอยู่เหมือนกันนี่ เขาประคองดวงหน้าเล็กๆ ของนางแล้วจรดริมฝีปากลงไปที่กลีบปากสีชมพูระเรื่อ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงนุ่มนวล “ที่พูดตอนเช้านั่นหมายความแบบนั้นจริงๆ ไหม”
หลินหลันอยากจะส่ายหน้าเพื่อกลับคำ ทว่าเมื่อได้เห็นเขาที่กำลังเร้าร้อนดั่งเปลวเพลิง ทั้งดวงตายังเต็มไปด้วยการรอคอย จึงพยักหน้าอย่างจำยอม
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มระรื่น แล้วโอบอุ้มนางลอยขึ้น หลินหลันคุดคู้อยู่ในอ้อมแขนของเขาภายใต้สีหน้าแดงกล่ำด้วยความเขินอาย
ครั้งนี้หลี่หมิงอวินไม่ให้โอกาสนางได้หลุดพ้นไปอีกแล้ว ทันทีที่ขึ้นไปอยู่บนเตียงก็จัดการปลดเปลื้องเสื้อคลุมของนางเป็นอันดับแรกจนเผยให้เห็นผิวขาวเนียนประดุจหิมะของหลินหลัน นางคว้าผ้าห่มมากดกอดเอาไว้ภายใต้เนื้อตัวที่เริ่มสั่นสะท้าน นี่เขาจะทำทั้งอย่างนี้โดยไม่ปิดไฟเลยหรือ
หลังจากนั้นเขาก็หันมาปลดเปลื้องเสื้อผ้าท่อนบนของตนเองออกไปเช่นกัน เขาเคลื่อนตัวโดยนำพาแผงอกร้อนแนบชิดกับแผ่นหลังผิวเนียนของหลินหลัน ทันใดนั้นนางก็รู้สึกราวกับกำลังถูกแผดเผา หลินหลันรีบเคลื่อนตัวหนีออกไปอยู่ภายใต้ผ้าห่มอีกผ้าอย่างรวดเร็ว
“ดับไฟสิ…”
หลี่หมิงอวินยื่นท่อนแขนแกร่งออกไปแล้วคว้าตัวนางเข้ามาโอบรัดไว้ มันรวดเร็วจนนางไม่มีโอกาสได้ขัดขืน แล้วกระชากผ้าห่มของนางออกไป เขาตรึงข้อมือทั้งสองของนางขึ้นเหนือศีรษะ คนทั้งคนจึงตกอยู่ภายอาณัติของเขาไปโดยปริยาย คู่สามีภรรยาอื่นอาจมิได้ต้องสิ้นเปลืองแรงกันขนาดนี้ ทว่าอะไรที่ได้มาง่ายๆ มันก็ไม่สนุกเช่นกัน
“ข้าอยากมองดูเจ้า…” เพราะเลือดที่พุ่งพล่านโจมตีขึ้นไปจนถึงกล่องเสียง เนื้อเสียงของหลี่หมิงอวินแหบพร่า
หลินหลันอยากจะเอาหัวชนกำแพงให้มันรู้แล้วรู้รอด “ไม่ได้”
หลี่หมิงอวินยกยิ้มมุมปากให้ความรู้สึกเสมือนรอยยิ้มแห่งความเจ้าเล่ห์ “นั่นมิได้ขึ้นอยู่กับเจ้าหรอกนะ”
หลินหลันเห็นว่าการดื้อดึงปฏิเสธใช่ไม่ได้ผล จึงกล่าวด้วยท่าทีงอแง “เจ้าไม่เข้าใจความรู้สึกของข้าเลยสักนิด เจ้าทำเช่นนี้ข้ายิ่งหวาดกลัวอย่างมากนะ…”
หลี่หมิงอวินจนปัญญา เพื่อเห็นแก่ความรู้สึกของนางจึงชันตัวขึ้นเพื่อดับตะเกียงไฟบนหัวเตียง
ภายในห้องตกอยู่ในห้วงแห่งความมืดมิด หลินหลันจึงค่อยๆ รู้สึกถึงความคลายความกังวล
จูบของเขาค่อยๆ เริ่มจากแผ่วเบา หลังจากนั้นประทับลงมาอย่างหนักแน่นขึ้น ทุกตำแหน่งที่กลีบปากเขาพาดผ่านล้วนเสมือนการจุดไฟขึ้นบนเรือนร่างนางทีละน้อย และค่อยๆ เผาไหม้รุนแรงยิ่งขึ้น
ความรู้สึกเบาวิวและความว่างเปล่าทำให้หลินหลันรู้สึกไม่ต่างไปจากกำลังลอยเคว้งอยู่ในอากาศโดยมีน้ำพุเป็นที่กำลังพวยพุงเป็นตัวรองรับ นางทำได้เพียงจับท่อนแขนแข็งแกร่งของเขาเอาไว้แน่น ราวกับจับเชือกฟางหนึ่งเส้นที่จะช่วยชีวิตนางเอาไว้
“หมิงอวิน ข้ารู้สึกทรมานเหลือเกิน…”
หลี่หมิงอวินรู้สึกตระหนกอยู่ภายในใจ นี่เจ้าจะปวดท้องอยู่เรื่อยคงมิใช่กระมัง