มือของมู่เอินดูเหมือนจะขยับอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นภาพพร่ามัวในอากาศ เขาขว้างลูกศรเหล่านั้นกลับคืนไปแบบส่งๆ อย่างไรก็ตาม ลูกศรที่เขาขว้างกลับไปนั้นกลับเหมือนว่าพวกมันมีดวงตา เสียงกรีดร้องจึงทยอยดังขึ้นมาตามไหล่เขา โจรหลายสิบคนที่เคยง้างธนูใส่พวกเขาต่างก็นอนเรียงรายกันอยู่ทั้งสองฝั่งของภูเขา ทั้งหมดตายคาที่โดยมีลูกศรปักคาอยู่กลางลำคอ โจรธนูเหล่านั้นอยู่ห่างจากบริเวณที่มู่เอินยืนอยู่ประมาณ 50 หลา ทั้งพวกมันยังอยู่บนที่สูง แต่มู่เอินที่ขว้างลูกศรออกไปแบบส่งๆ กลับสามารถโจมตีเป้าหมายได้มากกว่า 20 คนอย่างแม่นยำ ด้วยความยากระดับนี้ พูดได้เพียงแค่ว่าเขาทำได้ดีเกินมนุษย์ไปแล้ว!
นี่เป็นครั้งแรกที่โจวเหว่ยชิงเห็นอาจารย์ของเขาโจมตีเป้าหมาย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะจ้องมองด้วยความตกตะลึง
*ผลั่วะ* มู่เอินเตะก้นของโจวเหว่ยชิงอย่างแรงก่อนจะพูดอย่างโมโห “เจ้ามัวแต่จ้องอะไรอยู่!? อยากถูกฆ่าตายเรอะ? รีบไปจัดการกับกลุ่มข้างหน้าซะ ถ้ามีใครหนีไปได้ ข้าจะไม่ให้เจ้าสักแดงเดียว! อ้อ เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ธนู!” เมื่อเขาพูดจบ ธนูอุษาดำที่เคยอยู่ในมือของโจวเหว่ยชิงเมื่อครู่ก็ไปปรากฏอยู่ในมือของมู่เอินทันที
ถึงเวลานี้ กลุ่มโจรก็ตื่นตัวกับสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว แม้แต่คนที่โง่เขลาที่สุดก็คงตระหนักได้ว่ารถม้าคันนี้ไม่ใช่หญ้าที่เคี้ยวได้ง่ายๆ หัวหน้าโจรเพิกเฉยต่ออาการปวดแสบปวดร้อนที่ใบหูของเขาและตะโกนด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “วิ่ง! ส่งสัญญาณเตือนภัยเดี๋ยวนี้!” เมื่อพูดจบเขาก็รีบเผ่นหนีไปทันที เห็นได้ชัดว่ากลุ่มโจรกลุ่มนี้มีประสบการณ์ในการหลบหนีอย่างโชกโชน พวกมันรีบสลายตัวเพื่อหลบหนีไปในทุกทิศทาง แทบจะไม่มีใครวิ่งไปทางเดียวกันด้วยซ้ำ
เมื่อได้รับการเตือนจากมู่เอิน โจวเหว่ยชิงก็กระแทกเท้าขวาลงบนพื้นก่อนจะพุ่งไปข้างหน้าทันที เขารู้ว่าการที่มู่เอินไม่อนุญาตให้เขาใช้ธนู และลูกศรก็เพื่อทดสอบทักษะการต่อสู้ระยะประชิดของเขาบนสนามรบจริงนั่นเอง ถึงแม้เขาจะไม่รู้สึกอะไรมากนักหากต้องเสียหน้า แต่เขาก็ไม่อยากทำให้บิดาของตนต้องขายหน้าเช่นกัน! เมื่อคิดได้ดังนั้น โจวเหว่ยชิงจึงรู้สึกถึงเลือดในกายที่ร้อนเร่าขึ้นมา
ทันทีที่ขาขวาของโจวเหว่ยชิงกระแทกพื้น แรงระเบิดครั้งใหญ่ก็ทำให้มู่เอินชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อร่างกายของโจวเหว่ยชิงพุ่งทะยานออกไปดั่งลูกศร ดวงตาของมู่เอินก็เผยความประหลาดใจออกมา
ในชั่วพริบตานั้นโจวเหว่ยชิงจับโจร 2 คนได้เกือบจะทันที โจรพวกนั้นมีร่างกายแข็งแรงกำยำพอๆ กับทหารธรรมดา พละกำลังของพวกเขาจึงไม่อาจจะเปรียบเทียบกับจ้าวมณีสวรรค์เช่นโจวเหว่ยชิงได้ มือแต่ละข้างของเขาคว้าคอโจรทั้ง 2 คนเอาไว้จากนั้นก็จับทั้งคู่กระแทกศีรษะเข้าด้วยกันเพื่อทำให้หมดสติไป ในเวลาเดียวกันร่างของเขาก็กระโดดไปข้างหน้าอีกครั้ง ครั้งนี้มือซ้ายของโจวเหว่ยชิงยื่นออกมาเพื่อยิงแสงสีดำที่คล้ายกับสายฟ้าออกไป เส้นแสงเหล่านั้นพุ่งทะยานไปยังกลุ่มโจรส่วนใหญ่ที่วิ่งอยู่เบื้องหน้า ร่างของเขากระโจนหายวับไปยังอีกทางหนึ่งด้วยแรงส่งอันทรงพลังจากขาขวาปีศาจ เขาจับโจรคนแล้วคนเล่า ก่อนจะโยนร่างที่หมดสติของพวกเขากลับไปยังบริเวณที่มู่เอินยืนอยู่ สำหรับแสงสีดำนั้นแน่นอนว่ามันคือผลจากทักษะสัมผัสมืด ตอนนี้กลุ่มโจรจำนวนมากกว่า 12 คนจึงถูกมันยึดร่างเอาไว้ก่อนจะลากมารวมกันเป็นกลุ่มก้อน มีเพียงแค่หัวหน้าโจรเท่านั้นที่เร็วพอจะวิ่งไปถึงภูเขา
แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงไม่อาจปล่อยมันหนีไปได้ เขาจึงเร่งความเร็วให้สูงขึ้นจากนั้นก็พุ่งทะยานไปหาหัวหน้าโจรผู้นั้นในชั่วพริบตา
ทว่าราวกับหัวหน้าโจรมีตาอยู่ด้านหลัง จู่ๆ ในขณะที่วิ่งอยู่เขาก็เตะสะบัดไปทางขวาอย่างแรง นั่นทำให้ร่างกายของเขาหมุนควงเป็นวงกลมด้วยท่าทางแปลกประหลาด มีดขนาดใหญ่ในมือของเขาหมุนเข้าหาโจวเหว่ยชิงอย่างอาฆาตมาดร้าย จากความแรงของการหมุนและเสียงหวีดหวิวตัดอากาศ เห็นได้ชัดว่ากระบวนท่านั้นมีพลังปราณสวรรค์ผสมอยู่
หัวหน้าโจรมีพลังปราณสวรรค์อยู่ในระดับที่ 2 แม้ว่าเขาจะไม่สามารถปลุกพลังมณีขึ้นมาได้ แต่มันก็ยังเป็นจุดแข็งที่ทำให้เขากลายเป็นหัวหน้าโจร แต่ทว่าคราวนี้เขากลับได้พบจ้าวมณีสวรรค์ของจริงเสียแล้ว
เหลืออีกเพียงครึ่งทางใบมีดขนาดใหญ่ก็หมุนเข้าตัดร่างโจวเหว่ยชิงแล้ว ทว่าจู่ๆ แสงสีเขียวก็สว่างวาบขึ้นมา จากนั้นหัวหน้าโจรพบว่าตนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้! ฉับพลันนั้นเอง โจวเหว่ยชิงก็คว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้ ด้วยระดับพลังปราณสวรรค์ที่เพิ่มขึ้นของโจวเหว่ยชิง หัวหน้าโจรผู้ซึ่งมีน้ำหนักอย่างน้อย 200 จินก็ถูกโยนกลับไปไกลกว่า 20 หลา อย่าง ไรก็ตาม โปรดอย่าลืมว่าโจวเหว่ยชิงมีมณียุทธ์บริสุทธิ์ประเภทความแข็งแกร่ง
ตั้งแต่โจวเหว่ยชิงระเบิดพลังขาขวาของเขาจนกระทั่งจับกุมกลุ่มโจรทั้งหมดมาได้ เขาใช้เวลาไปเพียงแค่หายใจเข้าออก 10 ครั้งเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นมู่เอินหรือสมาชิกคนอื่นๆ ในรถม้า ทุกคนต่างก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะจบเรื่องได้เร็วขนาดนี้
ดวงตาของหัวเฟิงสว่างวาบขึ้น เขามองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างครุ่นคิด
โจวเหว่ยชิงกลับไปยืนข้างๆ มู่เอินและพูดว่า “อาจารย์ พวกท่านชั่วร้ายเกินไปแล้ว! ถึงขั้นใช้รถม้าล่อโจรและปล้นพวกมันกลับ!”
ในเวลานี้มู่เอินยืนอยู่ต่อหน้าหัวหน้าโจร เขาเตะมันซ้ำๆ ขณะที่พึมพำว่า “เรียกข้าว่าตาแก่งั้นรึ? เรียกข้าว่าตา แก่…” โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ด้านข้างพร้อมกับมุมปากที่กระตุกเบาๆ อาจารย์โหดร้ายเกินไปแล้ว!
“โปรดช่วยข้าด้วย ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิดนายท่าน…” หัวหน้าโจรร้องเสียงโหยหวน เขาพยายามจะดิ้นขัดขืนแต่ก็ไม่อาจรวบรวมกำลังทำเช่นนั้นได้เพราะทักษะโซ่ตรวนวายุของโจวเหว่ยชิงไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถจัดการง่ายๆ
มู่เอินมองกลุ่มโจรที่ถูกมัดอยู่ด้านหน้าพร้อมกับพูดว่า “เจ้าเด็กเหลือขอ ทักษะแรกที่เจ้าเก็บไว้ในมณีธาตุมืดของเจ้าคือทักษะสัมผัสมืด?”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “อาจารย์ ท่านช่างรอบรู้และเก่งกาจมากจริงๆ!”
มู่เอินกล่าวอย่างมีน้ำโห “รอบรู้บ้านเจ้าสิ! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตาแก่นั่นส่งเจ้ามาที่หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ เจ้าไม่รู้หรือว่าทักษะในมณีดวงที่ 8 ของบิดาเจ้าคือทักษะสัมผัสมืด? ด้วยเหตุนั้นเขาถึงไม่มีหน้าจะสั่งสอนเจ้าด้วยตัวเองยังไงล่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ ตาแก่โจวก็มีวันเช่นนี้เช่นกันหรือนี่ ฮ่าๆๆๆๆ เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าเป็นสมาชิกของพวกเราชาวสำนักสวรรค์พิสดารอย่างเป็นทางการแล้ว รู้หรือไม่ว่าเจ้าก็เป็นเด็กแปลกประหลาดคนหนึ่งเช่นกัน! ฮ่าๆๆ”
มู่เอินหันไปหาหัวหน้าโจร จากนั้นก็จับเขาขึ้นมาและพูดว่า “ที่ซ่อนของเจ้าอยู่ที่ไหน! พาพวกเราไปที่นั่นเดี๋ยวนี้”
ประมาณหนึ่งชั่วโมงให้หลัง โจรสิบคนที่มีใบหน้าซีดเซียวก็ช่วยกันถือเหรียญทองกลับไปที่รถม้าและวางกระสอบเข้าไปในช่องลับใต้ท้องรถภายใต้การควบคุมของมู่เอินและโจวเหว่ยชิง ก่อนจากไปมู่เอินตบหน้าหัวหน้าโจรแล้วพูดว่า “จำไว้! แม้ตกนรกไปแล้วเจ้าก็ยังต้องเก็บเงินให้มากกว่านี้ก่อนจะคิดมาปล้นพวกข้า!”
ในชั่วพริบตาต่อมา มู่เอินก็ยิงธนูออกไปอย่างโหดเหี้ยมเพื่อปลิดชีพโจรทั้งหมด “อาจารย์ พวกเขาก็ให้เงินพวกเรามาแล้ว ทำไมถึงต้องฆ่าพวกเขาด้วย?” โจวเหว่ยชิงยังเด็กอยู่พอสมควร เมื่อเห็นมู่เอินสังหารพวกเขาอย่างเลือดเย็น เขาก็รู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง
มู่เอินพูดขึ้นว่า “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร เจ้าคิดว่าเราเป็นเป้าหมายแรกของโจรพวกนี้งั้นรึ? หากพวกเราไม่มีความสามารถเช่นนี้ เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น? ไอ้โจรพวกนี้สมควรตายมากกว่า 10 ครั้งด้วยซ้ำ”
ในขณะที่ทั้งคู่กลับไปที่รถม้า หลัวเขอตี้ก็ขยับเข้ามาถามว่า “ตาแก่อันธพาล คราวนี้เจ้าได้เงินเท่าไหร่?”
มู่เอินกล่าวอย่างโกรธเคือง “ไอ้โจรสารเลวพวกนี้มีเงินไม่ถึงแสนเหรียญทอง ไม่มีจ้าวมณี โจรเหล่านี้จะแข็งแกร่งแค่ไหนกันเชียว? หวังว่าเราจะโชคดีและพบกับกลุ่มโจรอีกในภายหลัง”
หัวเฟิงกล่าวว่า “อย่าบ่นนักเลย อย่าลืมส่วนแบ่ง 3 ใน 10 ของข้าด้วยล่ะ”
มู่เอินส่งเสียงครวญครางและกล่าวว่า “เจ้าคนหน้าเลือด!”
ริมฝีปากของปากของฮั่วเฟิงยกยิ้มอย่างสง่างาม “ถ้าไม่มีรถม้าของข้า เจ้าคิดว่าโจรพวกนั้นจะมาปล้นหรือ? เหว่ยน้อย ทักษะแรกในมณีธาตุมืดของเจ้าคือทักษะสัมผัสมืดงั้นหรือ เจ้าวางแผนที่จะฝึกในวิถีการควบคุมหรือ?”
โจวเหว่ยชิงชะงักและพูดว่า “วิถีการควบคุมคืออะไรหรือ?”
ในขณะที่เขาถาม มู่เอินก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาปกปิดใบหน้าของเขาและทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ เกาเฉินรู้สึกประหลาดใจมากจนตาของเขาแทบจะปูดโปนออกมา ขณะที่ลั่วเค่อตี้กล่าวว่า “นี่เจ้าไม่รู้จริงๆรึเหว่ยน้อย? ในฐานะบุตรชายคนเดียวของแม่ทัพโจว เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือวิถีการควบคุม? แล้วใครสอนเจ้าเกี่ยวกับมณีสวรรค์?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าแดงและกล่าวว่า “ข้าเป็นคนสอนเขาเอง แม่ทัพโจวเพิ่งรู้เรื่องมณีสวรรค์ของเขาก่อนที่เราจะมายังหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ แม่ทัพโจวไม่ได้มีโอกาสสอนเขาเลย”
หัวเฟิงกล่าวว่า “พูดง่ายๆ ก็คือเมื่อจ้าวมณีทุกคนฝึกปราณ พวกเขาจะเลือกวิถีที่เหมาะสมกับทักษะธาตุของตนเอง ตัวอย่างเช่น จ้าวมณีธาตุไฟมักจะเลือกวิถีการโจมตีที่รุนแรง ในขณะที่จ้าวมณีธาตุลมมักจะเลือกวิถีความว่องไวหรือความยืดหยุ่น เมื่อข้ากล่าวถึงวิถีการควบคุม นั่นหมายถึงการมุ่งเน้นไปที่การควบคุมศัตรูในสนามรบโดยการจำกัดการเคลื่อนไหวและการโจมตีของพวกมัน ทักษะสัมผัสมืดของเจ้ามีทักษะการควบคุมเป็นพื้นฐาน มีข้อได้เปรียบเพิ่มเติมคือการประสาทสัมผัสที่เพิ่มมากขึ้นและอาจมีประโยชน์อื่นๆ อีก ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากักเก็บมันมาได้อย่างไร แต่ข้าต้องบอกว่าข้าไม่เคยเห็นทักษะในมณีดวงแรกอยู่ในระดับที่สูงเช่นนี้มาก่อน”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “หัวหน้า ก่อนหน้านี้ข้าไม่เข้าใจว่าทักษะกักเก็บและศาสตรามณียุทธ์นั้นแยกแยะพลังอย่างไร ระดับของพวกมันไม่ได้พัฒนาขึ้นตามจำนวนมณีที่เพิ่มขึ้นหรอกหรือ?”
หัวเฟิงตอบกลับเบาๆ ว่า “แน่นอนว่ามีความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะที่กักเก็บไว้ พวกมันจะถูกจำแนกตามระดับพลังของมันและถูกกำหนดโดยปัจจัยหลายประการ ประการแรกคือปัจจัยการเพิ่มระดับของพวกมัน เจ้าพูดถูกที่ทักษะทั้งหมดจะพัฒนาขึ้นเมื่อจำนวนมณีเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม พวกมันมีอัตราการวิวัฒน์ที่แตกต่างกัน และเมื่อมณีเพิ่มจำนวนขึ้น แต่ละทักษะอาจมีการเพิ่มระดับที่แตกต่างกันมาก ตัวอย่างเช่นหากเจ้าเก็บทักษะจากอสูรสวรรค์ระดับปฐม เมื่อทักษะนั้นพัฒนาขึ้น ระดับของมันอาจจะเพิ่มขึ้นทีละ 1 ส่วน ในขณะที่ทักษะของอสูรสวรรค์ระดับ ปรมะอาจเพิ่มขึ้นทีละ 2 ส่วน ระดับเทวะ 4 ส่วน และอื่นๆ ดังนั้นสำนักกักเก็บทักษะจึงมีการจัดระดับดาวสำหรับศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บเพื่อพิจารณาว่ามีความแข็งแกร่งในระดับไหน แน่นอนว่ายิ่งทักษะนั้นแข็งแกร่งมาก จำนวนดาวก็ยิ่งมีมากเท่านั้น ระดับต่ำที่สุดก็คือ 1 ดาว ส่วนระดับสูงสุดคือ 12 ดาว”
“ยกตัวอย่างเช่นทักษะสัมผัสมืดของเจ้า มันถูกจัดว่าเป็นทักษะระดับ 8 ดาวโดยสมาคมสำนักกักเก็บทักษะ โดยทั่วไปแล้วทักษะของอสูรสวรรค์ระดับปฐมจะมีตั้งแต่ 1-3 ดาว ระดับปรมะ 4-6 ดาว ระดับเทวะ 7-9 ดาว สำหรับทักษะที่มีระดับเหนือกว่า 9 ดาวนั้นจะมีเพียงจ้าวมณีสวรรค์เท่านั้นที่สามารถครอบครองได้ โดยปกติแล้วเจ้าจะต้องกักเก็บทักษะที่มีระดับดาวใกล้เคียงกันกับจำนวนมณีของเจ้า หากเจ้าเก็บทักษะที่มีระดับดาวต่ำกว่าจำนวนมณีของเจ้า เจ้าก็อาจจะไม่สามารถดึงพลังของเจ้าออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่ถึงกระนั้น การกักเก็บทักษะระดับ 8 ดาวในขณะที่มีมณีเพียงชุดเดียวก็เป็นสิ่งที่พวกเราไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพูดถึงการจัดระดับทักษะ ทักษะการควบคุมจะถือว่าเหนือกว่าทักษะอื่นๆ ในระดับเดียวกันถึง 1 ดาว ดังนั้นแม้ว่าทักษะสัมผัสมืดจะเป็นทักษะระดับ 8 ดาว แต่ก็ยังเทียบได้กับทักษะระดับ 9 ดาว สำหรับศาสตรามณียุทธ์เองก็เหมือนกัน ศาสตรามณียุทธ์ที่มีหลุมบรรจุมณีมักจะได้รับการจัดอันดับดาวเพิ่มขึ้นจากศาสตรามณียุทธ์ธรรมดาๆ นอกจากนี้ ยังอาจกล่าวได้ว่าระดับดาวของทักษะจ้าวมณียังเป็นสิ่งที่พวกเราใช้กำหนดความสามารถและความเป็นไปได้ในอนาคตของบุคคลนั้นด้วย”
……………………………